“พี่เคนจะไปไหนคะ”
เสียงหวานใสดังขึ้นมาแต่ไกลทำให้เคนต้องหยุดเท้าทั้งสองข้าง
ที่กำลังก้าวไปข้างหน้าโดยอัตโนมัติ เช้านี้หลังจากที่เขารับประทานอาหารกับครอบครัวเสร็จเรียบร้อยก็ขอตัวพ่อกับแม่เข้าไปในไร่อย่างเช่นทุกครั้งที่มา บรรยากาศยามเช้าของไร่ส้มเป็นอะไรที่สดชื่นมาก ซึ่งหาไม่ได้ในเมืองหลวง เขาจึงไม่อยากพลาดโอกาสดี ๆ
“พี่จะไปในไร่ เรามีอะไรกับพี่”
เขาหันมาตอบหญิงสาวด้วยน้ำเสียงนิ่งราบเรียบ ใบหน้าไม่ยิ้มแม้แต่น้อยเพราะกำลังโกรธเคืองเธอที่กล้าเอาตนเองไปเป็นพระเอกนิยายแต่ไม่บอกสักคำ
คะนึงนิจมองไม่เห็นถึงความผิดปกติ จึงยิ้มแป้นพลางวิ่งมาหยุดตรงหน้าชายหนุ่มด้วยอาการเหนื่อยหอบเนื่องจากขาดการออกกำลังกาย
“แป๊บนะคะ เหนื่อย ฟู่ ฟู่” เธอยืนหายใจเข้าหายใจออกอยู่หลายนาที ด้วยความสงสารทำให้คนตัวโตใจอ่อนยอมพูดกับสาวอวบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอีกครั้งอย่างเช่นเมื่อวานซืน
“หายใจเข้าออกลึก ๆ อย่างนั้นแหละ”
“ฟู่ พี่เคนจะไปไหนคะ เพื่อนจะไปด้วย”
“พี่จะไปปั่นจักรยานรอบ ๆ ไร่ เช้า ๆ แบบนี้อากาศดีมาก”
“พาเพื่อนไปด้วยนะคะ เพื่อนอยากไปสูดอาการสดชื่นเข้าปอด”
“ทำไมไม่ให้ไอ้คินกับเมียมันพาไป”
“เพื่อนเกรงใจพี่คิน เกรงใจขนมเบื้อง”
“แต่ไม่เกรงใจพี่” เขาชี้มาที่ตัวเองพลางยักคิ้วเหมือนกวน หญิงสาวจึงยิ้มแหย ๆ ปั้นเรื่องโกหกแล้วอ้อนต่อ
“เกรงใจค่า แต่น้อยกว่านิดนึง นะคะพี่เคน พาเพื่อนไปด้วยนะ”
“ก็ได้ ๆ แต่เราต้องปั่นจักรยานไปเองนะ พี่ไม่ให้ซ้อนท้าย”
“แหะ ๆๆๆ เพื่อนปั่นจักรยานไม่เป็นค่ะ”
เธอยิ้มตาหยีให้เขาเพื่อขอความเห็นใจเนื่องจากปั่นจักรยานไม่เป็นจริง ๆ ไม่ได้โกหก เมื่อคืนหลังจากกลับไปนั่งคิดนอนคิดเธอก็ตัดสินใจได้ว่าปฏิบัติการเก็บข้อมูลของเคนต้องเริ่มตั้งแต่เช้าวันนี้ เพราะอีกหลายวันกว่าจะได้กลับไปที่กรุงเทพจะได้ไม่เสียเวลาเปล่า
หลังจากที่รับประทานอาหารเช้าเสร็จเธอก็คอยมองเคนอยู่ตลอด ครู่เดียวที่เดินไปทำธุระในห้องน้ำไม่คิดเลยว่าพอกลับมาชายหนุ่ม
จะหายออกไปเสียแล้ว ขาทั้งสองข้างจึงวิ่งตามอย่างรวดเร็ว โชคดีจริง ๆ ที่เคนยังไม่ไปไหนไกลไม่อย่างนั้นเธออดเก็บข้อมูลแน่ ต้องเสียเวลาไปอีกหนึ่งวัน
“งั้นก็ซ้อนท้ายเดี๋ยวพี่ปั่นเอง หวังว่ายางไม่แบนหรอกนะ”
“ปากร้าย เพื่อนไม่ได้อ้วนขนาดนั้น”
“หึ พี่ยังไม่ได้บอกเลยว่าเราอ้วน คิดไปเอง”
“อยากพูดอะไรก็พูดไปเถอะ เดี๋ยวเพื่อนก็จะลดความอ้วนแล้ว พี่เคนคอยดูละกัน”
“ไม่ต้องลดหรอก”
“ทำไมคะ ทำไมเพื่อนไม่ต้องลดความอ้วน”
“แบบนี้ก็น่ารักดี”
เขาทิ้งท้ายด้วยประโยคชวนคิดก่อนจะเดินไปเอาจักรยานซึ่งเก็บอยู่ในโรงจอดรถแล้วปล่อยให้คะนึงนิจยืนกะพริบตาปริบ ๆ
ด้วยความไม่เข้าใจ อ้วนแบบเธอมันน่ารักตรงไหน
หญิงสาวไม่เข้าใจชายหนุ่มเลยสักนิดจึงเอามือขึ้นมาเกาหัวพลางครุ่นคิด แต่ไม่ทันที่สมองจะได้คำตอบเสียงห้วน ๆ ของเคนก็เข้ามาขัดจังหวะเร่งให้เธอเดินไปเสียก่อน จากนั้นก็สั่งให้คนปั่นจักรยานไม่เป็นขึ้นไปนั่งซ้อนท้าย
“จับด้วยเดี๋ยวตก”
“จับตรงไหนคะ”
“ตรงนี้ ตรงเอวของพี่” ชายหนุ่มชี้ไปที่เอวสอบของตนเองอย่างไม่อาย แต่หญิงสาวกลับคิดว่าไม่เหมาะสมจึงอ้อมแอ้มปฏิเสธ
“จะดีเหรอคะ เพื่อนว่านั่งแบบไม่จับก็ได้”
“แล้วแต่” เขายิ้มร้ายแล้วปั่นจักรยานให้มันกระชากไปข้างหน้าอย่างแรงเพื่อแกล้งคนซ้อนท้าย ทำให้คะนึงนิจร้องเสียงหลงรีบคว้าเอว
ของชายหนุ่มทันที ก่อนจะทุบหลังเขาเบา ๆ ด้วยความโมโห
“ว้ายยยยยยยย พี่เคนอย่าแกล้งเพื่อน”
“หึ ทีนี้เราจะกอดเอวพี่ได้หรือยัง”
“กอดค่ะกอด เพื่อนจะกอดไม่ปล่อยเลย”
เธอกอดหมับไปที่เอวสอบของคนขี้แกล้งแล้วรัดอย่างแน่นหนาเพราะกลัวตก ทำให้คนตัวโตยิ้มออกมาเล็กน้อยตรงมุมปาก เคนรู้สึกสนุกกับการได้แกล้งคะนึงนิจจนเขาอยากหาเรื่องแกล้งเธอบ่อย ๆ
บางทีการที่นักเขียนตัวกลมเข้ามาเก็บข้อมูลของตนเอง
ไปเขียนนิยายอาจจะทำให้ชีวิตที่เงียบเหงามีสีสันขึ้นมาก็ได้
'แบบนี้ค่อยหายโกรธหน่อย'
คนตัวโตคิดในใจอย่างเงียบ ๆ ในขณะขาทั้งสองข้างกำลังทำหน้าที่ของมันโดยมีหญิงสาวนั่งซ้อนท้ายและกอดเอวของชายหนุ่มไม่ยอมปล่อย
บรรยากาศของสวนส้มในยามเช้าตรู่เต็มไปด้วยความสดชื่น ลมเย็น ๆ บวกกับหมอกจาง ๆ ทำให้คะนึงนิจลืมไปเสียสนิทว่าตนเองติดตามเคนมาทำไม จึงลืมเป้าหมายและมัวแต่ถ่ายรูปมุมนั้นมุมนี้อย่างชอบอกชอบใจ หันมาอีกทีเคนก็หายไปจากตรงที่จักรยานจอด
เสียแล้ว หญิงสาวจึงรีบเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋าแล้วก้าวเท้าเดินหาพระเอกนิยายของตนเองทันที
“น้องเพื่อนจะไปไหน” เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นมาเสียก่อน
ทำให้หญิงสาวหมุนตัวหันกลับมามองอย่างรวดเร็ว
“พี่เคนไปไหนมา เพื่อนนึกว่าถูกทิ้งแล้ว” เธอต่อว่าเขาอย่างไม่จริงจังนัก แต่ใบหน้ากลับงอเป็นจวักทำให้เคนหลุดขำออกมา ก่อนที่ใบหน้าจะเคร่งขรึมเหมือนเดิมคล้ายคนลืมตัวเสียอาการ
“ก็เรามัวแต่ถ่ายรูป พี่อยากกินส้มสด ๆ จากต้นเลยเดินไปเก็บ นี่ของเรา พี่เก็บมาเผื่อ”
“แบบนี้ค่อยน่าคุยหน่อย” เห็นของกินตรงหน้าความโกรธที่มีก็หายไปอย่างรวดเร็ว หญิงสาวจึงยื่นมือไปข้างหน้าหมายจะเอาส้มจากมือชายหนุ่มแต่เขากลับยื่นลูกที่ปอกเปลือกแล้วมาให้เธอแทน
“กินลูกนี้สิ พี่ปอกให้แล้ว”
“ฮูยยยย เพื่อนไม่แปลกใจเลยทำไมสาว ๆ ถึงชอบพี่นัก ปากหวานไม่พอ สุภาพบุรุษอีกต่างหาก หวังว่าเพื่อนจะไม่ใช่ผู้หญิงคนแรกที่พี่เคนปอกผลไม้ให้นะ”
“แล้วถ้าใช่ เราจะว่ายังไง”
“ตอบเลยว่าไม่เชื่อ”
“แต่มันคือเรื่องจริง” เขาเอ่ยเสียงหวานพร้อมกับฉีกยิ้มใส่เธอคล้ายๆ โปรยเสน่ห์แบบฉบับผู้ชายเพลย์บอย ก่อนจะเดินไปที่รถจักรยานแล้วปล่อยให้หญิงสาวยืนงงเป็นครั้งที่สอง แต่ครั้งนี้มันแปลกจากเดิมมากเพราะหัวใจของเธอเต้นตุบ ๆ ราวกับว่ามีเรื่องให้ดีใจอย่างไรอย่างนั้น
“ทำไมหัวใจเต้นเร็วแบบนี้ ป่วยไหมเนี่ยเรา” คะนึงนิจเอามือขึ้นมาลูบตรงอกแล้วส่ายหัวเบาๆ ด้วยความสงสัย ทำให้ชายหนุ่มตัวต้นเหตุที่คอยมองเธออยู่ตลอดเวลามีรอยยิ้มตรงมุมปาก
ใจจริงเคนก็ไม่อยากใช้วิธีนี้นักหรอก แต่เธอกล้ามาล้วงคองูเห่าก่อน เพราะฉะนั้นเธอต้องถูกสั่งสอน คิดเหรอว่าเขาไม่รู้ที่เธอขอตามมาด้วยไม่ใช่แค่มาสูดอากาศสดชื่นเข้าปอด แต่มาเก็บข้อมูลต่างหาก
'หึหึ เด็กน้อยไร้เดียงสาหรือจะสู้หมาป่ากร้านโลกอย่างเขา'
ช่วงสาย ๆ เคนได้ปั่นจักรยานพาคะนึงนิจกลับมาที่บ้าน ตลอดทางเขาตะล่อมถามเธอตั้งหลายอย่างทำให้รู้ประวัติของสาวน้อยเพิ่มขึ้นมาอีกนิด ในขณะที่หญิงสาวไม่ได้อะไรจากเขาเลยเพราะไม่มีช่องว่างให้ถาม ทันทีที่ทั้งสองคนเดินเข้าไปในบ้าน คินซึ่งรอพี่ชายอยู่ก็รีบเดินเข้าไปหาพวกเขาด้วยท่าทางเคร่งเครียด
“พี่เคน ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”
“งั้นเพื่อนขอตัวก่อนนะคะ คุณลุงคุณป้าอยู่ไหนคะพี่คิน”
“กำลังคุยกับเมียพี่อยู่ในห้องรับแขกครับ”
คะนึงนิจพยักหน้ารับก่อนจะก้าวขาทั้งสองข้างไปยังห้องรับแขก คินจึงบอกให้เคนไปคุยกันที่สำนักงานเพราะไม่ต้องการให้ใครรู้เรื่องนอกจากพี่ชายและภรรยา โดยเฉพาะบิดามารดาเนื่องจากไม่ต้องการให้พวกท่านเป็นห่วง เรื่องของภรรยาเขามันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายมีคนรู้น้อยดีกว่า
“มีอะไร ทำไมดูเหมือนมีลับลมคมในจัง”
“ผมมีเรื่องขอร้องให้พี่เคนช่วย”
“เรื่องอะไร เรื่องใหญ่เหรอ”
“ใหญ่มากพี่ คือเรื่องมันเป็นแบบนี้...”
คินเล่าเรื่องที่บ้านของขนมเบื้องให้พี่ชายฟังอย่างละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ รวมทั้งบอกถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่ภรรยากำลังตกอยู่ในอันตรายและขอให้เคนช่วยเป็นหูเป็นตาแทนตนเองในช่วงที่เขายังอยู่ไร่ เพราะตนเองนั้นมีงานต้องทำ กลัวมันจะเล็ดลอดสายตา อาจจะเกิดเรื่องร้ายกับขนมเบื้องได้
“โอเค เดี๋ยวพี่จะช่วยดูอีกแรง แกไม่ต้องกังวลไปหรอก”
“ขอบคุณมากครับพี่เคน”
เจ้าของไร่ยิ้มบาง ๆ ให้พี่ชายแต่ใบหน้ายังคงความเครียดเช่นเดิม ไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นจะลอบทำร้ายภรรยาของตนเองช่วงไหน ไม่อาจคาดเดาได้จริง ๆ เคนจึงตบบ่าน้องชายเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ จากนั้นก็ขอตัวกลับบ้านแล้วปล่อยให้คินนั่งทำงานต่อ
เสียงหัวเราะของ ขนมเบื้อง คะนึงนิจ รวมถึงมารดาของชายหนุ่มดังลั่นไปทั่วห้องรับแขกโดยมีคุณคิงส์เป็นผู้ฟังที่ดี เคนเดินเข้ามาแล้วไปนั่งข้าง ๆ บิดาที่นั่งมองภรรยากับลูกสะใภ้และลูกสาวของเพื่อนสนิทคุยกันด้วยรอยยิ้ม
“อ้าว มาแล้วเหรอตาเคน ไปไหนมาลูก” มารดาของชายหนุ่มหันไปถาม
“ผมไปคุยงานกับเจ้าคินน่ะครับ ไม่มีอะไร แล้วนี่คุยอะไรกันอยู่เสียงดังลั่นเชียว”
“เรื่องความรัก” และเป็นมารดาของเขาอีกที่ตอบ
“ใช่ค่ะ เพื่อนเห็นขนมมีแฟนแล้ว รู้สึกอยากมีบ้างจัง ทำยังไงให้ผู้ชายจีบ”
คะนึงนิจเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่ประโยคดังกล่าวกลับสร้างความไม่พอใจให้แก่ชายหนุ่ม เขาไม่รู้หรอกทำไมถึงได้รู้สึกอย่างนี้
แต่ที่แน่ ๆ หญิงสาวจะมีแฟนตอนนี้ไม่ได้ เพราะเธอต้องโดนสั่งสอนเสียก่อน
“เดี๋ยวพี่บอกเอง พี่เป็นผู้ชายให้คำตอบได้อยู่แล้ว”
“จริงเหรอคะ งั้นบอกมาเลย”
“ไม่มีอารมณ์ จบนะ”
“อ้าว พี่เคนทำไมตอบแบบนี้ แล้วจะไปไหนอีก”
“อยากรู้ก็ตามมา”
“พี่เคนรอด้วย เพื่อนไปนะคะคุณลุงคุณป้า ขนม”หญิงสาวพูดจบก็วิ่งตามชายหนุ่มไปด้วยความเร็วแล้วปล่อยให้คนในห้องมองตามหลังอย่างงง ๆ สองสามีภรรยาจึงหันมามองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมาย ก่อนที่ใบหน้าของทั้งสองจะมีรอยยิ้มปรากฏเหมือนรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร ถ้าใช่อีกไม่นานเคนได้สละโสดตามน้องชายแน่นอน