“เฮ้ย! ทำไมจู่ๆ ก็เห็นภาพบ้านเมืองของคนโบราณ มิหนำซ้ำยังเห็นคนตายเกลื่อนไปทั่วทั้งเมืองแบบนั้นขึ้นมาได้นะ แปลกจริงๆ เลย”หญิงสาวพูดพลางส่ายศีรษะของตัวเองไปมาติดต่อกัน
โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือถูกเก็บใส่ลงในกระเป๋าหน้าของกางเกงยีนที่เธอกำลังสวมอยู่บนเรือนร่างงาม หญิงสาวยังคงถือสร้อยหยกที่กำลังถืออยู่ในเวลานั้นพลางชะเง้อมองหาพนักงานต้อนรับคนดังกล่าวที่เพิ่งเดินผ่านไปเมื่อครู่เพื่อต้องการจะบอกว่าสร้อยหยกนี้ไม่ใช่ของหญิงสาวไม่รู้ว่าเหตุใดจึงมาห้อยคล้องอยู่กับกระเป๋าโน๊ตบุ้คของเธอได้อย่างไรกัน
ทว่าจนแล้วจนรอดพนักงานต้อนรับคนดังกล่าวก็ไม่ยอมเดินกลับออกมาเสียที ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตอนที่กำลังคุยกันอยู่เมื่อครู่ที่ผ่านมาลี่ย่าอ่านป้ายชื่อของพนักงานคนดังกล่าว จึงทำให้ล่วงรู้ว่ามีชื่อแซ่อะไรก่อนจะรีบเอ่ยถามกับพนักงานต้อนรับที่คอยให้บริการอยู่ในเวลานั้น ที่กำลังเข็นเครื่องดื่มนำมาแจกจ่ายให้กับผู้โดยสาร ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเธอพร้อมเอ่ยถามหญิงสาวกลับไป
“คุณผู้หญิงต้องการเครื่องดื่มอะไรดีค่ะ”พนักงานต้อนรับเอ่ยถามหญิงสาว
“ขอกาแฟร้อนค่ะ...เออ...”ลี่ย่าบอกความต้องการของเธอออกไปและหยุดลงไปชั่วขณะก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เออ...ขอโทษนะคะคือพี่พนักงานต้อนรับที่มีชื่อว่าหวังเจียอี ไปไหนเสียแล้วละคะ พอดีมีเรื่องต้องการสอบถามกับพี่เขาหน่อยค่ะ”เธอถามกลับไป
ในขณะที่พนักงานต้อนรับคนดังกล่าวที่กำลังเทน้ำสีดำใส่ลงในถ้วยกาแฟ ขมวดคิ้วงามของเธอเข้าหากันทันใดครั้นได้ยินหญิงสาวตรงหน้าเอ่ยถามเช่นนั้น
“เที่ยวบินนี้ของเราไม่มีพนักงานต้อนรับที่มีชื่อว่าหวังเจียอี ทำหน้าที่ประจำเครื่องบินลำนี้เลยนะคะคุณผู้หญิง เข้าใจอะไรบางอย่างผิดพลาดหรือเปล่าคะ”กล่าวพร้อมวางถ้วยกาแฟลงบนพนักวางสำหรับวางอาหารและเครื่องดื่มตรงหน้าหญิงสาวสวย
ครั้นหญิงสาวได้ยินคำตอบดังกล่าวเช่นนั้นถึงกับมีอาการงงงันขึ้นมาทันใด
“มะ..ไม่...ไม่มีพนักงานที่ชื่อหวังเจียอี มากับเที่ยวบินนี้จริงๆ เหรอคะ”หญิงสาวถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
“เป็นความจริงค่ะคุณผู้หญิง ไม่มีพนักงานต้อนรับชื่อนี้มากับเที่ยวบินนี้แน่นอนค่ะ ไม่ทราบว่ามีความเสียหายเกิดขึ้นกับคุณผู้หญิงหรือเปล่าค่ะ”พนักงานต้อนรับคนดังกล่าวถามกลับมาด้วยความอยากรู้
และคำถามดังกล่าวทำให้ลี่ย่าปิดเปลือกตาลงทันใดด้วยเพราะรู้สึกมึนงงและสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธออย่างยิ่งยวด ท่ามกลางอาการแปลกใจของพนักงานต้อนรับที่กำลังให้บริการเธออยู่ในเวลานั้น
“คุณผู้หญิงเป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ”เสียงถามดังแทรกขึ้นพร้อมเปลือกตาที่ของลี่ย่าค่อยๆ เปิดขึ้นมาอย่างช้าๆ ก่อนจะเอ่ยตอบกลับไป
“อะ..เออ...ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ กำลังคิดทบทวนอยู่ว่าสมองคงจะจำอะไรสับสน อาจจะเป็นเพราะว่าพักผ่อนน้อยไปหน่อยก็อาจเป็นได้”หญิงสาวกล่าวตัดบทออกไปเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ขยายออกเป็นวงกว้างมากไปกว่านี้
รอยยิ้มแย้มเยือนอย่างเป็นมิตรถูกส่งให้พร้อมร่างของพนักงานต้อนรับคนดังกล่าวก้าวเดินจากไป เพื่อคอยดูแลผู้โดยสารคนอื่นๆ ในขณะที่หลิงลี่ย่าซึ่งในเวลานั้นยังมีอาการมึนงงไม่หายกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเธอ
“เอาไงดีกับสร้อยหยกเส้นนี้ และก็ไม่รู้ด้วยว่าใครเป็นเจ้าของจะทำอย่างไงดีละเนี่ย”เธอเฝ้าครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เอาเป็นว่าพอถึงตุนหวง เราค่อยเอาสร้อยไปให้กับตำรวจประจำท่าอากาศยานให้เขาประกาศหาเจ้าของก็แล้วกัน เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้องและดีที่สุด”หญิงสาวพูดพลางยกสร้อยหยกดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาพลางถอนหายใจ
“สวมไว้ในคอก่อนแล้วกันง่ายดี เดี๋ยวค่อยถอดออกตอนส่งให้กับตำรวจ”สิ้นเสียงพึมพำของหญิงสาว
หลิงลี่ย่าเกิดมีอาการคล้ายว่ากำลังจะหมดสติ ศีรษะได้รูปสวยสลัดไปมา เมื่อจู่ๆ ก็มีความรู้สึกว่าเปลือกตาทั้งสองข้างหนักอึ้งขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ
“ทำไมถึงฉันถึงได้มีอาการแบบนี้ขึ้นมาด้วยนะ ไม่ได้อดนอนเสียหน่อยเมื่อวานก็ไม่ได้เข้าไปทำงานในโรงพยาบาลแล้ว เพราะต้องเตรียมตัวเข้าไปประจำที่โรงพยาบาลในกวางโจว นอนทั้งวันจนอิ่มแต่ว่าร่างกายกลับมีปฏิกิริยาแบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไงกัน เราพักผ่อนยังไม่พออย่างนั้นเหรอ”เธอกล่าวพร้อมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ก่อนจะผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว ทันที่เปลือกตาของหญิงสาวปิดลง
หญิงสาวแสนสวยกำลังหลับใหลสนิทไปโดยไม่รู้ตัว สร้อยหยกที่มีเพียงครึ่งเสี้ยวซึ่งสวมอยู่บนคอของเธออยู่ในขณะนั้นเกิดประกายวูบวาบขึ้นมาโดยพลัน พร้อมนำเธอไปพบกับเหตุการณ์บางอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในยุคที่แผ่นดินจีนเต็มไปด้วยแคว้นน้อยใหญ่มากมาย
ยุคสมัยที่แผ่นดินมังกรยังไม่รวมเป็นหนึ่งพร้อมภาพเหตุการณ์ปริศนาพลันปรากฏขึ้นหลังจากราชวงศ์โจวล่มสลายไปแล้ว ก้าวเข้าสู่ยุคของเจ้าผู้ครองแคว้นแคว้นมากมายหลายร้อยแคว้นที่มีทั้งกำลังเรืองอำนาจถึงขีดสุด และกำลังล่มสลายลงไปเพราะถูกเข้ายึดครอง
เมืองเป่ยเยี่ยน
เปลวเพลิงเผาผลาญเต็มไปด้วยกลุ่มควันขาว พลังแห่งไฟอัคคีสีส้มแสดกำลังลุกโชนลามเลียไปทั่วทั้งเมือง และกำลังเริ่มแผ่ขยายออกเป็นวงกว้าง ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและซากศพทหารของเมืองเป่ยเยี่ยน นอนตายเกลื่อนกลาดเต็มไปทั่วทุกหัวระแหง ไม่เพียงแต่ร่างไร้วิญญาณของเหล่าทหารเท่านั้นแต่ยังมีซากศพของชาวเมืองทั้งชาย หญิง เด็กเล็กและคนชราถูกเข่นฆ่าและล้มตายดั่งเช่นใบไม้ปลิดปลิว
ท่ามกลางซากศพนับร้อยพันหมื่นมากมายพากันทอดร่างนอนตายเกลื่อนกลาด ปรากฏบุรุษในชุดเกราะสีดำทะมึนเต็มไปด้วยหยาดโลหิตของผู้คนมากมายเปรอะเปื้อนเต็มไปทั่วตัวของเขาจนหมด ใบหน้าคมคร้ามที่มีแต่ความเย็นชาในเวลานี้มีแต่โลหิตเกรอะกรังและเศษฝุ่นดินมากมายเกาะเต็มไปทั่วบริเวณกรอบหน้าที่แสนดุดัน ดวงตาสีนิลคมกริบกำลังจับจ้องอยู่ที่ร่างของบุรุษอีกผู้หนึ่งที่ยืนอยู่บนเหนือกำแพงเมือง
ทว่าดวงตาที่กำลังจับจ้องอีกฝ่ายนั้นกลับมีเพียงข้างเดียวเท่านั้น ดวงตาข้างซ้ายถูกปิดทับด้วยผ้าสีขาวเพื่อปกปิดอาการบาดเจ็บที่ได้รับ เพราะถูกสหายรักวางแผนลอบสังหารจนเกือบทำให้แทบเอาชีวิตไม่รอดและต้องสูญเสียกำลังทหารเพราะแผนชั่วของคนที่เคยคิดว่าคือเพื่อนแท้
เมื่อสหายรักนามว่าซุนเหว่ยอี้ใช้แผนการอันแสนชั่วช้าลอบสังหารตงฟางลี่หยาง แม่ทัพชื่อก้องของแคว้นเทียนหยวน ตระกูลตงฟางเป็นขุนศึกยอดนักรบของแผ่นดินเทียนหยวนมาโดยตลอด นำทัพออกทำศึกเคียงคู่กับองค์ฮ่องเต้จนสามารถแผ่ขยายอาณาเขตดินแดนครอบครองพื้นที่แคว้นน้อยใหญ่มาอยู่ในกำมืออย่างมากมาย
ตระกูลตงฟางเป็นขุนศึกคู่บัลลังก์แผ่นดินเทียนหยวนสืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน และเว้นว่างลงไปนานถึงห้าสิบปีเมื่อตระกูลตงฟางไร้สิ้นขุนศึกเพราะบุรุษในตระกูลมีจำนวนเพียงน้อยนิด และทายาทบางรุ่นก็ช่างขลาดเขลาเสียนี่กระไรเกลียดชังการนองเลือดเพราะการทำศึกต้องจากบ้านและครอบครัวไปอย่างไม่มีกำหนด จวบจนกระทั่งมาถึงแผ่นดินฮ่องเต้ไท่อู่ ตระกูลตงฟางจึงได้มียอดคนถือกำเนิดขึ้น
เมื่อตงฟางลี่หยางได้ถือกำเนิดเกิดขึ้นในตระกูลขุนศึก เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลเท่านั้น และมีน้องสาวหนึ่งคนนามว่าตงฟางเหมยฮัว ซึ่งนับตั้งแต่จำความได้นั้น
ลี่หยางก็จับดาบไม้ร่ายรำและชอบการฝึกฝนอาวุธเป็นชีวิตจิตใจ ตงฟางลี่หยางเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์และความปราดเปรื่อง สามารถเรียนรู้ทั้งบู๊และบุ๋นจนเก่งกล้าเหนือคน และเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในกองทัพตั้งแต่อายุเพียงแค่สิบปีเท่านั้น
และเมื่ออายุเข้าสู่ปีที่ 14 ตงฟางลี่หยางเข้าร่วมคัดเลือกชิงตำแหน่งรองแม่ทัพที่ว่างลงเพื่อเข้าไปรับใช้ผืนแผ่นดินเกิดเพื่อต้องการกอบกู้เกียรติยศและศักดิ์ศรีของตระกูลตงฟางให้หวนกลับมายิ่งใหญ่ดั่งเดิม และตงฟางลี่หยางก็สามารถทำสำเร็จเมื่อสามารถชิงตำแหน่งรองแม่ทัพมาไว้ในครอบครอง
ตงฟางลี่หยางรองแม่ทัพหนุ่มน้อยซึ่งในเวลานั้นมีอายุเพียง14 ปีเท่านั้น ได้นำกองทัพออกตีแคว้นน้อยใหญ่ที่อยู่ในแผนขยายอำนาจของเทียนหยวนมาไว้ในกำมือภายในเวลาอันรวดเร็ว และเพียงแค่ห้าปีตงฟางลี่หยางสามารถล่าแคว้นมากมายมาให้เทียนหยวนนับสองร้อยแคว้น เกิดสินสงครามตลอดจนทรัพย์บรรณาการมากมายล้นท้องพระคลังหลวงของเทียนหยวนเลยทีเดียว
เชลยนับแสนจากแคว้นที่พ่ายแพ้สงคราม บุรุษถูกคัดเข้ามาอยู่ในกองทัพและนำมาใช้แรงงานหนัก สตรีถูกนำมาใช้แรงงานทางด้านการเกษตรและอื่นๆ จนแผ่นดินเทียนหยวนรุ่งเรืองมั่งคั่งและมีอาณาเขตกว้างขวาง
และแล้วในปีที่หกตงฟางลี่หยาง ในเวลานั้นมีอายุ 20 ปีได้รับตราบัญชาการทัพให้ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งเทียนหยวน ขุนศึกคู่ราชบัลลังก์ของแผ่นดินนำความยิ่งใหญ่หวนคืนกลับสู่ตระกูลตงฟางได้อีกครั้งหลังจากที่หายไปอย่างยาวนานเป็นเวลาถึงห้าสิบปี และกลับมาผงาดในยุคของตงฟางลี่หยาง
ทว่าแม่ทัพใหญ่แห่งเทียนหยวนก้าวขึ้นมาถึงจุดสูงสุดในชีวิตนี้ ผ่านการทำศึกสงครามมานานนับสิบปี ชำนาญการทำสงครามและเจนจัดเยี่ยมยุทธ์ในการวางแผนที่ไม่ได้อยู่เขียนอยู่ในตำราพิชัยสงครามแม้แต่น้อย แต่นำกองทัพออกทำศึกมาจากจิตวิญญาณของแม่ทัพใหญ่ลี่หยาง ชัยชนะและความสำเร็จมากมายที่นำกลับมามอบให้แก่ฮ่องเต้เทียนหยวนอยู่ภายใต้คราบน้ำตาของแคว้นน้อยใหญ่ที่พ่ายแพ้สงคราม
ตงฟางลี่หยาง ผู้บัญชาการทัพแห่งเทียนหยวนมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้าไม่มีแคว้นใดที่ไม่รู้จัก ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทำสงครามปราศจากจิตเมตตา ขึ้นชื่อว่าสงครามไม่เคยที่จะปรานีผู้ใดไม่ว่ามิตรหรือศัตรู แม้จะปราดเปรื่องเพียงใดแต่ใช่ว่าจะไม่พลาดท่าเสียทีเข้าให้สักวัน และตงฟางลี่หยางก็ต้องพบกับคำว่าพลาดท่าเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในชีวิต