“ท่ะ ท่านอ๋อง”
หลี่อี้กับเซวียเทาลุกพรวดอย่างตกใจทันที พานให้เพ่ยหนิงตื่นตระหนกลุกขึ้นตามด้วยสัญชาตญาณ ทั้งสามเลิ่กลั่กยิ่ง
บรรยากาศชื่นมื่นสดใสเมื่อครู่พลันแปรเปลี่ยนเป็นอึดอัดอึมครึมทันใด
บุรุษผู้หนึ่งแม้ใบหน้าหล่อเหลา รูปร่างองอาจผึ่งผาย เรียวคิ้วคมคายเสริมดวงตาคมกริบให้เป็นประกายขนาดนั้น แต่เมื่อรวมกับท่าทางเย็นชา ใบหน้าไร้รอยยิ้ม กลับทำให้คนรู้สึกเหมือนเจอวิญญาณอาฆาตในบ่อลึกอันเย็นเยียบเสียดแทงกระดูก
จ้าวเฟิ่งขมวดคิ้วมอง
อันที่จริงเขาค่อนข้างไม่พอใจมากที่บ่าวรับใช้ไร้มารยาท ไม่คำนึงถึงฐานะ แต่พอเห็นเพ่ยหนิงรีบยืนบังอีกสองคนไว้ในท่าพร้อมสู้กับเขาเช่นนั้นพลันทำคนถึงขั้นพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
เมื่อครู่นางแย้มยิ้มมีความสุขก็พอจะเข้าใจ ย่อมเป็นเขาเองที่ทำรอยยิ้มสดใสของนางหายไป
อ๋องหนุ่มไม่พูดอะไร เพียงโบกมือให้ข้ารับใช้ออกไป
เมื่อผู้เป็นนายไม่เอ่ยถึงความผิด ไม่กล่าวถึงโทษทัณฑ์ คนมีความคิดย่อมไม่ทำตัวโง่งมยืนเสนอหน้านานกว่านี้ เซวียเทากับหลี่อี้รีบค้อมศีรษะ ยกมือปิดปากที่กำลังเคี้ยวตุ้ยๆ ออกจากห้องปิดประตูทันที
ควรต้องทราบว่าคนที่รู้สึกพิเศษ การได้อยู่เพียงลำพังแบบสองต่อสองคือสิ่งที่ต้องการเหนืออื่นใด บริวารล้วนเข้าใจ
เมื่อในห้องเหลือแค่สองคน เพ่ยหนิงยู่หน้าช้อนตามองเขา นึกขัดเคืองที่ทำลายอารมณ์กินข้าวของนาง
หญิงสาวหลุบตานั่งลงที่เดิม ไม่อยากมองเขาอีก แต่ปากยังยื่นเหมือนเป็ด
จ้าวเฟิ่งมองนาง หางตาถึงกับกระตุก สีหน้าเช่นนี้คืออันใด ไยน่าเกลียดเสียจริง
“เหตุใดไม่กินต่อล่ะ?”
เพ่ยหนิงเบ้ปาก “แค่เห็นท่าน ข้าก็อิ่มแล้ว”
เขาเดินเข้ามา ลากเก้าอี้มาใกล้นาง แล้วนั่งลงแบบซ้อนแผ่นหลัง วงแขนโอบกระชับเอวคอดกิ่ว แนบชิดขนาดนั้น
เพ่ยหนิงปรายตามอง จะเอาแต่ใจอะไรอีก?
“หน้าข้าทำให้เจ้าอิ่มเอมกระมัง” สุ้มเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นเหนือมวยผมนุ่มหอมก่อนที่ลมหายใจร้อนๆ จะเลื่อนลงต่ำมาที่ใบหู
เพ่ยหนิงเอียงคอหลบอย่างจั๊กจี้ “ใครว่า แค่เห็นหน้าท่าน พานให้อาหารจืดชืดไม่น่ากินมากกว่า”
“หึ!” คำตอบนางทำคนฟังนึกเข่นเขี้ยวนัก จ้าวเฟิ่งก้มหน้าขบติ่งหูนางเสียหนึ่งที
“เจ้าปากร้ายยิ่ง” พูดพลางขโมยจุมพิตนางอีกหนึ่งหน
กลีบปากเพ่ยหนิงยิ่งยาวยื่น
จ้าวเฟิ่งเห็นท่าทางนางคล้ายแง่งอนมากกว่าปกติ ต่างจากวันก่อนๆ ที่ต่อปากต่อคำเก่งก็ให้นึกแปลกใจ
“เจ้าเป็นอะไรไป?” เขาถามเสียงทุ้มนุ่มอย่างหาได้ยากยิ่ง
เพ่ยหนิงไม่ตอบ เพียงสะบัดหน้าพรืด ร้องฮึเสียงเย็น
ท่านมีหญิงอื่นในใจอยู่นี่ มีคนอื่นซุกซ่อนอีกมิใช่หรือไร ไยชอบมาตอแยแต่นาง เหตุใดไม่ปล่อยนางไป!
อาการที่คล้ายมีคำว่าโกรธแปะไว้บนหน้าตัวใหญ่เบ่อเริ่มแบบนี้ จ้าวเฟิ่งมีหรือจะไม่ล่วงรู้ถึงอารมณ์นาง เพียงแต่สาเหตุนั้น เขากลับคาดเดาผิดไป
จ้าวเฟิ่งเข้าใจว่าเพ่ยหนิงโกรธที่เขาไม่กลับมาเมื่อคืน
เมื่อคำนวณดูแล้ว พบว่ายามนี้จ้าวไท่หรงคงอยู่กับลู่ซือฉี จิตใจที่มีล้วนต้องอยู่กับอีกฝ่าย ย่อมไม่ได้ใส่ใจส่งคนมาเดินเพ่นพ่านที่จวนเฉิงอ๋องเป็นการชั่วคราว ชายหนุ่มจึงถามเสียงเรียบ
“เจ้าอยากออกไปสูดอากาศข้างนอกกับข้าหรือไม่?”
แค่นี้เลย เพียงเท่านี้จริงๆ ไม่ต้องง้องอนเอาอกเอาใจหรือให้ทุกสิ่งที่อยากได้ เพ่ยหนิงก็หายโกรธเป็นปลิดทิ้ง นางพยักหน้าถี่
“อื้อ...”
หญิงสาวผู้หนึ่งเปลี่ยนอารมณ์เร็วยิ่ง
ชายหนุ่มให้นึกเอ็นดูเสียจริง
สวนทางเหนือของจวนมีดอกไม้มากมายน่าเหลือเชื่อ เพ่ยหนิงแทบโบยบินทั้งที่ไม่มีปีกแล้ว
หญิงสาวเดินเล่นไปทั่วสวนดอกไม้อย่างเบิกบานสำราญใจ ดมดอกนั้น ชมดอกนี้ ลูบไล้สัมผัสลำต้นกลีบดอกไม่หยุด
จ้าวเฟิ่งยืนมองภาพนี้นิ่งๆ
เดิมทีเพ่ยหนิงมีหน้าตาสะสวยอยู่แล้ว แม้ไม่มากแต่ก็มีเสน่ห์เฉิดฉาย ตาโตสดใส น่ารักไม่ธรรมดา อีกฝ่ายถึงจะอยู่ในชุดนางกำนัลไร้สีสันเพื่อปกปิดตัวตนแท้จริง ทว่ารอยยิ้มที่รับกับดวงตากลมๆ นั้น ทำให้คนไม่อาจไม่มองเหม่อได้
เขาชอบรอยยิ้มนาง...
สักพักเพ่ยหนิงเดินกลับมาหาจ้าวเฟิ่ง ในอ้อมแขนเต็มไปด้วยดอกไม้หอบใหญ่ “ข้าอยากนั่งชิงช้าตรงนั้น ได้หรือไม่?”
“ได้สิ”
จ้าวเฟิ่งพาเพ่ยหนิงนั่งชิงช้า โดยมีเขานั่งเคียงกัน
ท่ามกลางมวลดอกไม้กลีบไหวใต้แสงตะวันแรงยามสาย ชายหญิงนั่งอยู่บนชิงช้าไม้ตัวเดียวกันเกิดเป็นภาพงดงามชวนฝัน บุรุษเคร่งขรึมเย็นชาคล้ายอันตรธานหายไป หากมีใครมาเห็นเข้าคงคิดว่าเฉิงอ๋องผู้นี้เป็นตัวปลอมแน่
รอบด้านไม่มีบ่าวไพร่คนอื่น มีเพียงหลี่อี้กับเซวียเทาที่ได้รับอนุญาตให้รอรับใช้อยู่ไม่ไกล ห่างออกไปคือองครักษ์คาดดาบที่ไว้ใจได้ของจ้าวเฟิ่งจำนวนหลายสิบคน
การทำเช่นนี้อ๋องหนุ่มเพียงระแวดระวังคนของพี่ชาย เขาหวงแหนเพ่ยหนิงยิ่งกว่าสิ่งใด
ในขณะที่เพ่ยหนิงเข้าใจไปว่าเขากลัวนักโทษเช่นนางจะหนี
ยามนี้ หญิงสาวหลงลืมความแค้นไปชั่วขณะ นางอิงศีรษะไว้บนบ่ากว้าง หลับตาสูดหายใจพากลิ่นอายดอกไม้กลางแสงตะวันเข้าอกลึกยาว
“ฮ้า...ดีจริง”
“ไม่ทำหน้าบึ้งแล้ว?”
เพ่ยหนิงถูกเย้าพลันยู่หน้าทั้งที่แววตามีรอยยิ้ม “ไม่แล้ว”
ทั้งสองใช้เวลาทั้งวันไปกับสวนดอกไม้สีสันตระการตา กระทั่งลมราตรีมาเยือน
ค่ำคืนอากาศเย็น เหมาะแก่การพักผ่อนในที่อบอุ่น
ทว่าห้องลับในเรือนเร้น ชายหญิงคู่หนึ่งกลับไม่ยอมนอน พวกเขาเอาแต่สร้างความอบอุ่นถึงขั้นกรุ่นร้อนบนเตียงกว้าง
เสียงครวญครางเกิดขึ้นเนิ่นนาน เรียวขาของพวกเขาเกี่ยวกระหวัดรัดรึงมองเหมือนงูเลื้อย เอวอ่อนขยับไหวตามเอวสอบที่ขยับขึ้นลงส่งตัวตนเข้าออกจนสะโพกกลมกลึงสั่นไหวแทบจมกับผ้าปูเตียงที่เปียกชื้น เตียงนอนโยกโยนตามจังหวะรัญจวน
หญิงสาวส่งเสียงหวานผะแผ่วคล้ายลูกแมว นางแหงนหน้าปรือตาฉ่ำน้ำแวววาวมองชายเหนือร่างอย่างออดอ้อน
ชายหนุ่มแทบคลั่ง เมื่อสบสายตานาง
นอกจากส่งสายตาอันไร้การปรุงแต่ง นางยังแอ่นตัวยกกายส่งเนินอกหยุ่นนุ่มเบียดชิดอกแกร่งตามเพลิงปรารถนา เขาพลันรู้สึกว่าไฟราคะกำลังลุกโหมเพื่อแผดเผามอดไหม้เขาให้ตกตาย
ราตรีเย็นฉ่ำ วสันต์ยาวนาน เสียงครางแว่วหวานผสานเสียงลมหายใจหนักหน่วง กายประสานกายมิคลายออกจากกัน
พวกเขายังคงเป็นเช่นนี้ แนบชิดคลอเคลีย ทั้งรัญจวนและยวนใจ คนหนึ่งรุกคนหนึ่งรับ คนหนึ่งเร่าร้อน คนหนึ่งเอวอ่อน ตอบสนองไม่เกี่ยงงอน
ตอนจ้าวเฟิ่งพาเพ่ยหนิงมาถึงจุดสูงสุดแห่งอารมณ์หวาม เขาบดกรามขบติ่งหูนางอย่างอดใจไม่ไหว ทำเอานางกระตุกอย่างสุดกลั้น ลมหายใจรุนแรงจนก้อนเนื้อแทบทะลุออกมาเต้นนอกอก
ชายหนุ่มทิ้งตัวลงบนเนินอกหยุ่นนุ่ม กดจูบอย่างพึงพอใจ
เพราะความเอาแต่ใจของเขาหลังจากอุ้มร่างเปลือยอ่อนนุ่มมาอาบน้ำล้างเหงื่อไคล จ้าวเฟิ่งยังใจดีเช็ดตัวให้ก่อนจะพาเพ่ยหนิงที่เดินแทบไม่ไหวมานั่งกินอาหารด้วยกัน
เพ่ยหนิงผลักเขาให้ออกห่างอย่างไร้เรี่ยวแรง
“ท่านรังแกข้าหนักเกินไปแล้ว”
วาจานี้มิใช่ใส่ร้ายหรือพูดเกินไปแม้แต่น้อย เพราะจ้าวเฟิ่งลากเพ่ยหนิงเข้าห้องตั้งแต่ตะวันยังไม่คล้อยไปทางทิศตะวันตกเลย
“ข้าทายาให้เจ้าแล้วนี่”
“ทายาก็ส่วนทายา แต่ข้าเดินไม่ได้ก็เพราะท่านนะ” เพ่ยหนิงพร่ำบ่นอย่างอ่อนแรง เส้นเสียงแหบแห้ง ระบมไปหมด
นอกจากหน้าอกกับส่วนอ่อนไหวจะแดงช้ำ หัวเข่ายังขึ้นริ้วสีแดงคล้ำเป็นจ้ำๆ อันที่จริงเขาก็ทำหลายท่าอยู่ แต่นางเพิ่งรู้ว่าเขาชอบท่านั้นเหลือเกิน เข่านางแทบถลอก รู้หรือไม่?
จ้าวเฟิ่งไม่รู้จะพูดแก้ตัวอย่างไร จึงได้แต่ชักชวนนางกินข้าวเติมพลัง มิใช่ว่าตัวเขาไม่เคยมีสตรีงามสะพรั่งดุจเทพธิดามายั่วยวน แต่ไม่มีใครกระตุ้นอารมณ์กำหนัดได้ดีไปกว่าสตรีผู้นี้เลย
“ช่วยมิได้ที่เจ้ามีเสน่ห์เกินไป เรือนร่างเร่าร้อนนัก”
คำหวานนี้เขาพูดที่ข้างหูนาง ทำเอาพวงแก้มนวลร้อนผ่าว แต่คนกลับปากแข็ง “ท่านกล่าวหาว่าข้ายั่วยวนหรือ?”
“แน่นอนว่าใช่”
“เหอะ! ท่านเอาแต่ใจเกินไปแล้วจริงๆ”
จ้าวเฟิ่งเพิ่งเต็มอิ่มในรสรักจึงนึกอยากเอาใจคนถูกทรมาน
“เจ้าเลิกบ่นแล้วกินข้าวเถอะ กินเสร็จข้าจะพาไปนั่งจิบชาที่ริมระเบียงชมจันทร์ดีไหม?”
เพ่ยหนิงได้ยินก็ตาโตทันใด
อีกแล้ว เขาเคยต้องง้อนางนานกว่านี้หรือไม่?
เหตุใดนางหายโกรธเขาง่ายๆ อีกแล้วเล่า?
ขณะถามตัวเองอย่างขัดเคือง นางพยักหน้าตอบรับ “อื้อ”
ท่ามกลางแสงจันทร์นวลตา คนหนึ่งอยู่ในชุดคลุมสีเข้มแลดูสูงศักดิ์หรูหรา ส่วนอีกคนกลับอยู่ในชุดนางกำนัลธรรมดา
สองคนนั่งจิบชาเงียบงัน ต่างชมบุปผาใต้แสงจันทร์อย่างสงบสุขใจ นานๆ ครั้งถึงจะหันมาพูดคุยกันสักประโยคสองประโยค โต้เถียงกันเฉกเช่นคนมีสัมพันธ์คลุมเครือ ไม่ห่างเหินไม่สนิทสนม
“เรานั่งคุยกันแบบนี้เหมาะสมแล้วหรือไร?” เพ่ยหนิงถาม
จ้าวเฟิ่งเลิกคิ้วมอง ตอกกลับเสียงขรึม “ทำไมจะทำไม่ได้ เราสองมิใช่คนอื่นไกล นอกจากไม่ไกลยังมีความชิดใกล้ลึกซึ้งเฉกสามีภรรยา เรือนกายนุ่มหอมกับเรือนผมที่แผ่สยายของเจ้า ไยมิใช่เพื่อชายผู้เป็นสามีเช่นข้าได้ยล เราย่อมนั่งสนทนากันยามราตรี”
“พูดอะไร ใครภรรยาท่าน” เพ่ยหนิงไม่ยอมรับเด็ดขาด แม้การกระทำจะใช่ แต่ฐานะพิเศษเช่นนั้นนางไม่ให้เขาหรอก
ในเมื่อเขามีสตรีอื่นในใจ นางเองก็มีคนสำคัญในใจไม่ต่าง เราสองคนจะอย่างไรก็เหมือนเส้นขนาน ยากบรรจบโดยสิ้นเชิง
มีคนพูดว่าบุรุษแยกหัวใจกับร่างกายออกจากกันอย่างชัดเจน ต่อให้ใจรักคนอื่น แต่ร่างกายกลับกระทำการอันร้อนแรงอย่างถึงอกถึงใจได้กับสตรีทุกคน
บุรุษนามจ้าวเฟิ่งย่อมไม่เว้น
ผิดกับนาง หัวใจกับร่างกายมักจะไปในทิศทางเดียวกัน
ทั้งที่ก่อนหน้านี้นางรักพี่เฉินเฟิงมาก หากแต่ยามนี้หัวใจกลับไขว้เขวแล้ว
นางรู้ตัวแล้วว่าไม่อาจฆ่าจ้าวเฟิ่งได้แน่นอน
ขืนปล่อยเอาไว้เช่นนี้ นอกจากฆ่าเขาไม่ได้ ตัวนางยังต้องสูญเสียหัวใจ ไม่อาจไปสู้หน้าป้ายวิญญาณพี่เฉินเฟิงได้อีกแล้ว...