ย้อนกลับไปเมื่อปีก่อน ตอนนั้นเหตุการณ์ทุกอย่างเริ่มต้นที่เขตชนบทของหมู่บ้านผิงเต๋อ
ริมบึงบัวของสวนร่มรื่นหน้าเรือนชั้นเดียว บุรุษหนุ่มร่างสูงยืนเอามือไพล่หลังนิ่งๆ ท่วงท่าของเขาแม้เรียบเฉยทว่าสง่างามยิ่ง แสงตะวันตกกระทบเรือนกายลากเงาของเขาให้ยิ่งดูสูงเพรียว ยามถูกสายลมไล้แผ่วเงานั้นพลิ้วไหวลู่ไปตามยอดหญ้ายิ่งดูโดดเด่น งดงามจับตา คล้ายคนกำลังเริงระบำอย่างรื่นเริงก็มิปาน หากแต่ช่างขัดกับอากัปกิริยานิ่งสงบเรียบเฉยของเจ้าของเงายิ่งนัก
ที่กล่าวมายังไม่นับรวมกับดวงตาลุ่มลึกสีนิลดำจัดบนใบหน้าหล่อเหลาคมคายแลดูเย็นชาเหนือผู้ใดซึ่งยามนี้ฉายแววครุ่นคิดบางสิ่งตลอดเวลา
เขามีนามว่า...
“พี่เฉินเฟิง”
แม่นางแน่งน้อยผู้มีลักยิ้มข้างแก้มน่ารักน่าชังส่งเสียงสดใสร้องเรียกมาแต่ไกล
“ท่านอยู่ที่นี่นั่นเอง ข้าตามหาตั้งนาน”
หญิงสาวพูดพร้อมรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ นางมีผิวขาวดุจหยกเนื้อดี พิศอีกทียังคล้ายกระเบื้องเคลือบชั้นเลิศ ยามยิ้มจึงดูอ่อนหวานน่ารักผสมผสานความซุกซนอย่างลงตัว
สาวน้อยกะพริบตากลมโตจนแพขนตาเหมือนพัด เอียงคอมองชายตรงหน้าอย่างลึกซึ้ง พลางขยับแขนที่ซ่อนไว้เบื้องหลังออกมาแล้วยื่นขึ้นเบื้องหน้า
“ให้ท่าน”
เฉินเฟิงปรายตามองดอกไม้ในกำมือนางพลางถอนหายใจ
“ข้าไม่ชอบดอกไม้”
สาวน้อยยังคงยิ้มหวานส่งเสียงอ่อนโยน “แต่ดอกไม้พวกนี้ข้าลงแรงปลูกเองเชียวนะเจ้าคะ”
เฉินเฟิงถอนหายใจอีกครา
“เจ้ากลับไปเถิด ข้าอยากอยู่คนเดียว”
ถูกไล่อย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ หากแต่เพ่ยหนิงกลับคลี่ยิ้ม นางพยักหน้าเบาๆ อย่างเข้าอกเข้าใจ
“อืม...ข้าไปก่อนก็ได้ ไม่รบกวนท่านแล้ว”
ว่าพลางหมุนกายหันไปวางดอกไม้ไว้บนโต๊ะริมสระบัว
“ดอกไม้นี้ข้าให้ท่านแล้ว ไม่เอากลับ ข้าไปแล้วนะ”
เพ่ยหนิงโบกมือลา ขณะเดินจากไปทุกสามก้าวยังหันมายิ้ม
เมื่อเดินออกมาจนพ้นประตูเรือนของชายในดวงใจ หญิงสาวก็มิอาจกักเก็บสีหน้าเศร้าสลดเอาไว้ได้
นางกลั้นน้ำตาก้มหน้าวิ่งกลับเรือนของตนทันที
การเป็นหญิงสาวชนบทอาศัยในหมู่บ้านที่มีเรือนเคียงข้างรั้วติดกันเยี่ยงนี้นับว่าดีไม่น้อย เข้าออกไปมาหาสู่กันได้ง่ายดาย สะดวกสบายนัก
ทว่าที่หนักหนาสาหัสคือบุรุษหนุ่มเจ้าของเรือนช่างเย็นชาและไร้ใจ
เพ่ยหนิงน้ำตาไหลเป็นทางขณะเดินเข้ามานั่งในห้องโถงของเรือนตน
หานตง เห็นบุตรสาวบุญธรรมมีอาการเสียใจเยี่ยงนั้นก็รีบวางตระกร้าไผ่สานสำหรับใส่ผักกาดไปขายในตลาดลงบนตั่งตัวยาว เดินเข้ามานั่งลงข้างๆ “ถูกปฏิเสธมาอีกแล้วกระมัง?”
เพ่ยหนิงพยักหน้าปาดน้ำตา “เหมือนทุกวันนั่นล่ะ”
หานตงถอนหายใจเสียงดังเฮ้อ...“ไม่เคยเข็ดสินะ”
หญิงสาวเงยหน้าค้อนขวับ กระเง้ากระงอดเสียงปนสะอื้น “ท่านพ่อบุญธรรมกำลังซ้ำเติมข้าใช่หรือไม่?”
บุรุษร่างใหญ่พยักหน้าหนักแน่น “ใช่”
“ท่าน!” เพ่ยหนิงแทบกระอักเลือดแล้ว
หานตงอยากจะหัวเราะให้ดังลั่นอยู่หรอก เพียงแต่เขายังคงเกรงใจ ‘ฐานะที่แท้จริง’ ของอีกฝ่าย จึงทำได้เพียงเอ่ยปากเตือนสติตามตรงอย่างมีเหตุมีผลว่า “เพ่ยหนิงเอ๋ยเพ่ยหนิง แท้จริงเจ้าก็มิใช่ว่าอัปลักษณ์อันใด ออกจะงดงามด้วยซ้ำ หากเฉินเฟิงมีใจปฏิพัทธ์ต่อเจ้า เขาคงตอบรับน้ำใจไปแล้ว ไฉนเนิ่นนานหลายเดือนยังไร้ท่าที ไม่มีแม้วี่แววพึงใจรักใคร่อยากสานไมตรีกับเจ้าเล่า”
หญิงสาวปาดน้ำตาทิ้งเงียบๆ ไม่พูดอะไร
หานตงตบไหล่นางอย่างต้องการปลอบประโลม
“เจ้าตัดใจเสียเถิด กลับไปฝึกฝนเคล็ดวิชาของท่านอาจารย์อย่างจริงจังดีกว่า”
เพ่ยหนิงหน้าบึ้งทันที “ท่านกล้าไล่ข้ากลับสำนักยวี้จู๋[1]รึ?”
“อืม...” หานตงไม่เคยส่ายหัวปฏิเสธมีแต่พยักหน้ายอมรับ เขาเอ่ยอย่างจริงใจว่า “ท่านตาของเจ้าย่อมคิดถึงเจ้าแล้วล่ะ”
ท่านตาของเพ่ยหนิงคืออาจารย์ของหานตง
ชายร่างใหญ่ผู้นี้แท้จริงคือจอมยุทธ์ผู้หนึ่งที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย โดยการแฝงตัวเป็นเพียงพ่อค้าขายผักในหมู่บ้านผิงเต๋อแห่งนี้ ส่วนสาวน้อยเพ่ยหนิงแท้จริงคือหลานสาวของเจ้าสำนักยวี้จู๋ ผู้นำแห่งหุบเขาผนึกมาร ซึ่งเป็นสำนักอันดับหนึ่งในยุทธภพ
ย้อนกลับไปเมื่อต้นปี...
เพ่ยหนิงที่หลายครั้งหลายคราเคยคิดว่าบนโลกใบนี้จะมีความรักที่ทำให้คนใจเต้นรัวอยู่จริงหรือไม่ นางปรารถนาพิสูจน์ยิ่ง จึงแอบเร้นกายจากสำนักยวี้จู๋มาท่องเที่ยวที่นี่คนเดียว
กระทั่งเจอหนุ่มน้อยจอมเสเพลประจำหมู่บ้านเข้าหา แล้วเกี้ยวพาอย่างหน้าไม่อาย ตามติดหมายลวนลามอย่างย่ามใจ
แน่นอนว่าเพ่ยหนิงสามารถฆ่าคนได้ภายในฝ่ามือเดียว
ทว่าฝ่ามือของนางไม่สังหารชาวบ้านทั่วไป นางจะเก็บไว้ฆ่าศัตรูตัวฉกาจฝีมือทัดเทียมกันเท่านั้น
ส่วนเจ้าเสเพลตรงหน้าก็แค่ชายธรรมดา หาได้มีวิชายุทธ์ไม่
เพ่ยหนิงจึงไม่คิดลงมือ ไม่ใช้ความรุนรแง เพียงเบี่ยงกายเดินหนี แสร้งทำทีเป็นบีบน้ำตาอย่างน่าสงสารหวังขอความเห็นใจ ให้อีกฝ่ายรามืออย่างละมุนละม่อม
หากแต่หนุ่มน้อยเจ้าสำราญผู้นี้กลับไม่ยอมจากไปง่ายๆ ทั้งยังตามติดคิดรังแกสตรีที่อ่อนแอกว่าหมายรวบรัด พริบตานั้นบุรุษผู้หนึ่งพลันยื่นมือช่วยเพ่ยหนิงจากหนุ่มเสเพล
เขาคือบุรุษร่างสูงผิวขาวท่าทางคล้ายบัณฑิตคงแก่เรียน ท่าทีมีความเป็นสุภาพชนเต็มเปี่ยม
และด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่กว่าและอายุที่มากกว่าของเขา หนุ่มน้อยที่กำลังทำตัวเกเรกับเพ่ยหนิงจึงล่าถอยไปมิกล้าตอแยอีก
เขาทั้งรูปงาม มีน้ำใจ ใฝ่คุณธรรม
และใช่ เขาคือรักแรกพบของเพ่ยหนิง คือบุรุษที่ทำให้นางใจเต้นรัวได้อย่างแท้จริง
บุรุษใจดีผู้นี้ก็คือเฉินเฟิง
เพ่ยหนิงวิ่งตามไล่ถามจนรู้นามเขา
นอกจากนั้นยังเหมือนฟ้าประทานบันดาลฝัน
เมื่อมีอันธพาลหนุ่มใหญ่มาคุกคามเพ่ยหนิง สาวน้อยยังได้เฉินเฟิงที่บังเอิญเห็นเหตุการณ์เข้าพอดิบพอดีดั่งชะตาลิขิตวาสนาพานพบอีกครา แน่นอนว่าอันธพาลกับบัณฑิตมิใช่ของคู่กันยิ่งมิใช่คู่ต่อสู้ชนิดตาต่อตาฟันต่อฟัน เฉินเฟิงจึงฉุดมือเพ่ยหนิงวิ่งหนี
นับเป็นหนทางที่ดีที่สุดสำหรับบุรุษธรรมดาผู้หนึ่งโดยแท้
เจ้าอันธพาลผู้นั้นดื่มเหล้าจนเมามายจึงวิ่งตามไปล้มไปสุดท้ายก็เลิกรา เหลือเพียงความรู้สึกหนึ่งที่ไม่อาจลบล้างเลือนราง มือเล็กนุ่มของเพ่ยหนิงที่ถูกเฉินเฟิงจับยังคงอุ่นร้อนจนถึงบัดนี้ หัวใจที่เต้นแรงก็เช่นกัน
วันนั้นเส้นผมของเพ่ยหนิงหลุดลุ่ยหัวยุ่งเหยิงอัปลักษณ์นัก เฉินเฟิงมองแล้วหัวเราะน้อยๆ ช่วยจัดปิ่นให้นาง
สาวน้อยเบิกตากลมโต อกข้างซ้ายเต้นกระหน่ำดุจรัวกลอง
หากเป็นเพียงรักแรกพบฉาบฉวยคงไม่เท่าใด แต่เพ่ยหนิงกลับรู้สึกตกหลุมรักแบบหัวปักหัวปำยากถอนตัวในเสี้ยวเวลานั้น นางถึงขั้นทำตัวหน้าหนา แสร้งเดินล้มจนเจ็บข้อเท้า แล้วร้องไห้ออดอ้อนให้เขาไปส่งที่บ้านของหานตงเพราะอยากอยู่กับเขานานๆ
ท้ายที่สุดยิ่งกว่าสวรรค์บันดาลให้สมใจทุกความปรารถนา
เมื่อเรือนของหานตงยังอยู่ใกล้กับเรือนของเฉินเฟิง
เพ่ยหนิงจึงใช้ฐานะหลานสาวเจ้าสำนักบีบบังคับหานตงให้รับนางเป็นบุตรสาวบุญธรรม เพื่อความแนบเนียนในการอาศัยในหมู่บ้านแห่งนี้
เมื่อหานตงรู้ถึงต้นสายปลายเหตุก็ถึงกับอุทานเสียงห้วน “ไอ่หยา เจ้าชอบเจ้าหนุ่มหน้าตางดงามในเรือนข้างๆ เนี่ยนะ”
นอกจากเสียงแหบห้วนแล้วยังมีสายตาห่วงใยชัดเจน
แน่นอนว่ามิได้ห่วงใยเพ่ยหนิง
หานตงกล่าวอีก “ข้าล่ะห่วงเจ้าหนุ่มผู้นั้นยิ่งนัก อ๊ะ! ใจเย็น ข้าไม่สะดวกประมือกับหลานสาวของท่านอาจารย์ เก็บไอสังหารของเจ้าเร็วเข้า”
สาวน้อยจึงเก็บมีดหั่นผักไว้บนผนังห้องครัวดังเดิม
“ท่านคงไม่คิดขัดขวางความรักของข้ากระมัง”
ชายร่างใหญ่คลี่ยิ้มขบขัน พลางเก็บเขียงแล่เนื้อวางเข้าที่ เขาดึงผ้าเช็ดมือบนไหล่มาซับเหงื่อบนหน้าแล้วเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ไม่ห้ามๆ เจ้าเติบโตเป็นสาวเต็มวัยแล้ว ปีนี้สิบหกแล้วกระมัง สมควรมีความรักจริงๆ นั่นล่ะ”
เขาทำท่าครุ่นคิดหนักอก ให้ความร่วมมือเต็มที่
“แต่ข้าว่า หากต้องการเข้าหาเจ้าบัณฑิตหนุ่มหน้าขาวผู้นั้น เจ้าสมควรทำตัวให้สมเป็นกุลสตรีสักหน่อย ข้าเห็นเขาพูดจานุ่มนวลกิริยาอ่อนโยนท่วงท่าเรียบร้อยงดงามเหลือเกิน บุรุษเช่นนี้ข้าดูออกว่าไม่ชอบสตรีก้าวร้าวแน่นอน”
คำว่าก้าวร้าวย่อมหมายถึงพูดจาฉะฉานเสียงดังท่าทีผ่าเผยท่วงท่าห้าวหาญต่อสู้เป็นต่อยตีได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการมีวรยุทธ์เลย
และบุรุษเรียบร้อยไม่มีทางชอบสตรีก้าวแกร่งเก่งกาจ เขาเรียกว่าศีลธรรมไม่ทัดเทียมมิอาจเคียงข้างนั่นล่ะ
ดังนั้น เพ่ยหนิงจึงเก็บงำความห้าวหาญของตนอย่างมิดชิด กลายร่างเป็นเพียงสาวน้อยผู้หนึ่งที่มีกิริยาเรียบร้อยท่าทีอ่อนหวาน ซึ่งกำลังบ่มเพาะรักแท้กับพี่ชายข้างบ้าน...
[1]สำนักไผ่หยก