ตอนที่ 6 เบื่ออาหาร

1545 คำ
ปลายฤดูหนาว ต้นฤดูใบไม้ผลิ อากาศเย็นฉ่ำกำลังดี ดอกไม้เริ่มผลิดอกรอเบ่งบานเต็มที่ในอีกไม่ช้า ยิ่งนึกถึงมวลดอกไม้ เพ่ยหนิงก็ยิ่งรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ใคร่ปรารถนาจะออกไปวิ่งเล่นให้ทั่วสวนดอกไม้เหลือเกิน หญิงสาวทำจมูกฟุดฟิดได้กลิ่นดอกไม้หลากหลายชนิด น่าจะอยู่ทางทิศเหนือ ห่างจากห้องแห่งนี้ไปสักครึ่งลี้เห็นจะได้ เฮ้อ...จวนอ๋องนี่กว้างใหญ่มากจริงๆ ริมหน้าต่างที่ปิดสนิท เพ่ยหนิงนั่งขยับตะเกียบเขี่ยชิ้นเป็ดน้ำแดงไปมาอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะคีบหมูตุ๋นฉ่ำน้ำมันวาววางลงในถ้วยตรงหน้า แต่จนแล้วจนรอดก็ยังกินไม่ลงสักคำ นางกำนัลนามเซวียเทายืนรอรับใช้ไม่ห่างได้แต่มองตามการขยับตะเกียบนั้นอย่างทอดถอนใจ เมื่อคืนแม่นางเพ่ยมีระดูอยู่แท้ๆ แต่ดูเถิด ท่านอ๋องกลับยังไม่ยอมปล่อยคนให้เป็นอิสระสักราตรี ทรงใจร้ายเหลือเกิน นางที่หวังดีพาสาวงามคนอื่นมาให้ยังถูกพระองค์เมิน เฮ้อ... สายตาของเซวียเทาเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจเพ่ยหนิง นางดูออกว่าเฉิงอ๋องโปรดปรานอีกฝ่ายจริงๆ มีหญิงอื่นมาเสนอตัวยื่นสวรรค์ให้ยามที่ควบคุมตัวเองแทบไม่ไหวก็ยังไม่เอาใคร กระนั้นชอบก็ส่วนชอบ แต่ไม่คิดว่าจะอาการหนักขนาดนี้ ขังคนเขาเอาไว้มิให้ดูเดือนดูตะวันเลย ใช้ได้ที่ใด ในใจพร่ำบ่นไปนานัปการ แต่ภายนอกกลับทำอันใดมิได้ จึงได้แต่เก็บงำสีหน้าขัดเคืองนายเหนือหัวเอาไว้ให้ลึกสุดใจ ยิ่งเห็นเพ่ยหนิงเขี่ยอาหารชั้นเลิศไปมาไม่ยอมกินเสียทีก็กลัวอีกฝ่ายจะผ่ายผอมซูบเซียวจนล้มป่วย ถึงอย่างไรคนก็ไร้หนทางหนีอยู่แล้วนี่ ท้ายที่สุด เซวียเทาก็อดรนทนมิได้ จึงเดินมากระซิบ “แม่นางเพ่ย บ่าวเสี่ยงตายเปิดหน้าต่างให้สักครู่ดีหรือไม่เจ้าคะ ได้มองทิวทัศน์ เผื่อจะกินข้าวได้สักคำสองคำ” เพ่ยหนิงชะงัก ช้อนตามองเซวียเทาอย่างคาดไม่ถึง แน่นอนว่านางอยากทำเช่นนั้น แต่หากทำจริงๆ หมัวมัวผู้นี้คงถูกลงโทษอย่างไม่ต้องสงสัย “ไม่ล่ะ ข้าไม่อยากมองอันใดทั้งนั้น” เพ่ยหนิงโบกมือปฏิเสธแล้วนิ่งคิดชั่วครู่ ก่อนเอ่ยอย่างจริงจังอีกว่า “เอาเช่นนี้เถิด เจ้านั่งกินข้าวกับข้า รับรองว่าข้ากินหมดแน่” “หา...จะดีหรือเจ้าคะ?” เซวียเทาไม่กล้าอาจเอื้อม ต่อให้คุณหนูผู้นี้เป็นสตรีไร้ฐานะในจวนอ๋อง แต่ฐานะในใจเฉิงอ๋องต้องไม่ธรรมดาแน่ ใครจะกล้า สีหน้าเซวียเทาบอกทุกอย่างชัดเจน เพ่ยหนิงกลอกตาเบื่อ ก่อนยื่นมือดึงอีกฝ่ายนั่งลง แล้วสั่ง “หากเจ้าไม่กิน ข้าก็ไม่กิน อ้อ อีกอย่างข้าจะแกล้งให้เจ้าถูกท่านอ๋องทำโทษโบยสักสี่ห้าไม้ด้วย” ขู่เสร็จก็ทำเสียงอ่อน ออดอ้อนว่า “กินข้าวเป็นเพื่อนข้าเถอะนะ” เซวียเทาทั้งถูกข่มขู่ทั้งถูกเว้าวอนมีหรือจะไม่ใจอ่อน “เช่นนั้นบ่าวไปบอกขันทีหลี่ให้ดูต้นทางตรงประตูสักหน่อยเจ้าค่ะ” เพ่ยหนิงพยักหน้าตื่นเต้น “ดีๆ รีบไป” “เจ้าค่ะ” เซวียเทาลุกเดินไปกระซิบบอกหลี่อี้ตามนั้น ครู่หนึ่งจึงกลับมานั่งที่เดิม ยังไม่ลืมเพิ่มชามข้าวและตะเกียบอีกหนึ่งคู่ เพ่ยหนิงกวักมือแย้มยิ้ม “มาๆ นั่งลง” “เจ้าค่ะ” สองสตรีกินข้าวด้วยกันอย่างอารมณ์ดี อาหารชั้นเลิศค่อยๆ พร่องลงเรื่อยๆ หลี่อี้ชะเง้อคอเข้ามาดูก็ให้รู้สึกอิจฉายิ่งนัก เขาหันไปมองทางประตูเรือนนิ่งๆ ประเมินดูตามสถานการณ์ที่ท่านอ๋องหายไปทั้งคืนแล้ว คาดว่าคงติดภารกิจสำคัญ ไม่กลับมาง่ายๆ แน่ หลี่อี้จึงหันกลับมามองที่สตรีทั้งสองตรงโต๊ะอาหาร หมุนตัวเข้ามาแล้วปิดประตู ยืนบิดซ้ายบิดขวาอย่างเขินอายยิ่ง การกระทำเช่นนี้มีหรือเพ่ยหนิงจะดูไม่ออก นางกวักมือเรียกทันที “รออะไรอยู่เล่า มากินด้วยกัน อาหารมากมายปานนั้น ข้ากับเซวียหมัวมัวกินไม่หมดหรอก” หลี่อี้เม้มปากรีบเดินเข้ามานั่งลงอย่างเกรงอกเกรงใจ “แม่นางเพ่ยกินคนเดียวมาหลายวัน ต้องเหงามากแน่ๆ” เขาเอ่ยอย่างเข้าอกเข้าใจ แม้ท่านอ๋องจะพยายามปลีกเวลามานั่งกินด้วย แต่ก็น้อยครั้งเหลือเกิน น้อยแบบน้อยมาก หากเทียบกับจำนวนครั้งที่เอาเปรียบอีกฝ่ายอย่างเอาแต่ใจทั้งคืน เพ่ยหนิงทำหน้ายู่ “เพิ่งรู้หรือไร?” หลี่อี้ยิ้มเก้อกระดาก “มาๆ กินข้าวด้วยกัน อย่ามัวยืนยิ้ม” เพ่ยหนิงเร่งเร้า ทั้งสามนั่งกินข้าวด้วยกันอย่างมีความสุข บรรยากาศชวนอึดอัดที่มีแต่เดิมเริ่มหายไปเป็นปลิดทิ้ง “อันที่จริงข้าทำบะหมี่ได้หลากหลายมากเลยนะ ไม่ว่าจะเป็นบะหมี่แห้งร้อน บะหมี่น้ำ บะหมี่เย็น บะหมี่เส้นบางที่มองเหมือนซุปข้นก็ทำเป็น หากข้าได้ออกไปสูดอากาศข้างนอกนะ ข้าจะเข้าครัวทำบะหมี่เนื้อให้พวกเจ้ากิน รับรองว่ารสชาติดีไร้ที่ติเป็นเอกลักษณ์” เพ่ยหนิงพูดด้วยน้ำเสียงเริงรื่นจนภาพบะหมี่เนื้อราเม็ง[1]คล้ายปรากฏวางตรงหน้าชามใหญ่ หอมหวนยวนใจคนฟังอย่างเหลือล้น “บะหมี่ที่น้ำซุปใสราวกระจกมีกลิ่นหอมของเครื่องปรุงรส เนื้อตุ๋นจนเปื่อย เส้นบะหมี่สีเหลืองบางเหนียวนุ่ม ใส่หัวไชเท้าสีขาว เสริมด้วยน้ำมันพริกสีแดง โรยผักชีและต้นหอมสีเขียว น่ากินเชียว” เพ่ยหนิงสาธยายด้วยนัยน์ตาเพ้อฝัน แต่น้ำเสียงแน่วแน่แฝงความหวังที่จะทำให้ทุกคนกินจริงๆ ทำเอาเซวียเทากับหลี่อี้แทบอยากไปคุกเข่าขอร้องท่านอ๋องให้ปล่อยคนเดี๋ยวนี้ อาหารจานหลักที่เพียบพร้อมสมบูรณ์เหล่านี้ทำคนเอียนจนเกินไปแล้ว รอยยิ้มอันหาได้ยากยิ่งในช่วงนี้ของเพ่ยหนิงกระจายเกลื่อนเต็มใบหน้า ลุกลามไปทั้งดวงตา น่ารักสดใส สุกสกาวราวดวงดาวที่พร่างพราวลอยอยู่ในที่ไกลห่างแต่กลับเด่นชัดสะกดใจคนแอบมอง จ้าวเฟิ่งยืนกอดอกอิงไหล่กับประตูมองเพ่ยหนิงนิ่งๆ เขาไม่ได้เห็นนางยิ้มมานานมาก พอๆ กับไม่ได้กินบะหมี่ฝีมือนางมานานแล้วเช่นกัน อ๋องหนุ่มยังจำบะหมี่ไข่กุ้ง[2]ที่นางทำได้ ไข่กุ้งซึ่งคลุกเคล้าเข้ากับบะหมี่ทุกเส้นอย่างใส่ใจนั้น ทำอย่างไรก็ลืมรสชาติไม่ลง ยังไม่รวมกับแกล้มเครื่องเคียงยามนั่งสนทนากับหานตง อาหารฝีมือนางล้วนทำให้การร่ำสุรากลายเป็นค่ำคืนอันเลิศล้ำ สำหรับสตรีในวังหลวง งานครัวถือเป็นงานหยาบ ไร้เกียรติ สาวงามส่วนใหญ่ล้วนอยากทำงานประณีตในเรือนชั้นใน แต่เพ่ยหนิงไม่เหมือนหญิงอื่น ข้อนี้เขารู้ดี สตรีที่มีความสุขกับการปลูกดอกไม้ใบหญ้า ชื่นชอบเข้าครัวจนใบหน้าฉ่ำน้ำมัน นั่นคือนาง ฉับพลันเสียงของพี่ชายคล้ายลอยมาจากที่แสนไกล ‘นางเป็นนักฆ่า มีเพียงผลประโยชน์ในหัวใจ เรื่องรักใคร่ เจ้าตัดทิ้งไปได้เลย’ ‘ทุกสิ่งที่นางทำให้เจ้าล้วนเป็นเรื่องหลอกลวง สตรีนักฆ่าย่อมชำนาญการใช้เสน่ห์พิฆาต ใช้รูปโฉมเข้าหลอกล่อฝ่ายตรงข้ามแล้วปลิดชีวิตให้ตายอย่างทรมานช้าๆ’ อ๋องหนุ่มถอนหายใจไร้สุ้มเสียง ทั้งสามที่โต๊ะอาหารยังคงไม่รู้อะไร พวกเขาคีบเนื้อจานนั้น คีบผักจานนี้ ยกถ้วยน้ำแกงขึ้นดื่มอึกใหญ่ อาหารมากมายพร่องไปแทบไม่เหลือในเวลาอันรวดเร็ว กระทั่งใครบางคนเดินเข้ามาด้วยฝีเท้าเงียบกริบ น้ำเสียงเย็นเยียบ “ทำอะไรกัน?” “แค่กๆ” สำลักกันทุกคน หน้าดำหน้าแดงไปหมด เกือบตาย “ท่ะ ท่านอ๋อง” หลี่อี้กับเซวียเทาลุกพรวดอย่างตกใจทันที พานให้เพ่ยหนิงตื่นตระหนกลุกขึ้นตามด้วยสัญชาตญาณ ทั้งสามเลิ่กลั่กยิ่ง บรรยากาศชื่นมื่นคึกคักเมื่อครู่พลันแปรเปลี่ยนเป็นอึดอัด รู้สึกเหมือนตกอยู่ในสุสานโบราณที่เต็มไปด้วยวิญญาณอันตราย [1]อ้างอิงจากบะหมี่เนื้อราเม็งหลานโจว [2]อ้างอิงจาก “บะหมี่สามกุ้ง” เป็นอาหารว่างของเซี่ยงไฮ้และซูโจว เหตุที่เรียกว่า “สามกุ้ง” เนื่องจากบะหมี่ชนิดนี้ประกอบไปด้วยไข่กุ้ง หัวกุ้ง และเนื้อกุ้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในตัวกุ้ง โดยปกติแล้วกุ้งแม่น้ำ 5 กิโลกรัม จะมีไข่กุ้งเพียงแค่ 2-3 กรัมเท่านั้น
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม