จ้าวเฟิ่งถกปัญหาบ้านเมืองกับจ้าวไท่หรงครึ่งค่อนวัน
หลังจากนั้นยังต้องรับมื้ออาหารร่วมกันอย่างไม่อาจทนการรบเร้าจากพี่ชายได้ไหว คืนทั้งคืนยังถูกอีกฝ่ายรั้งไว้
ชายหนุ่มรู้ดีว่าจ้าวไท่หรงต้องการสิ่งใด ระหว่างที่ตนเองอยู่ตำหนักบูรพา พี่ชายตัวดีคงส่งคนไปค้นหาเพ่ยหนิงทั่วจวนอ๋อง
และแน่นอนว่าย่อมล้มเหลวเหมือนทุกครา
รุ่งอรุณวันต่อมา ขันทีข้างพระวรกายฮ่องเต้ก็ปรากฏตัว เชื้อเชิญเจ้าของตำหนักบูรพาไปร่วมมื้ออาหารเช้ากับฝ่าบาท
และเมื่อเฉิงอ๋องอยู่ที่นี่ด้วย มีหรือจะรอดพ้นอาหารมื้อนี้
ฮ่องเต้จ้าวฝูหมิงนั้นหลังรอดชีวิตจากการถูกลอบวางยาพิษก็กลายเป็นตาเฒ่าขี้เหงา ตำหนักบูรพาอยู่ใกล้ที่สุดจึงถูกเรียกบ่อย เช่นนั้นปกติแล้วจึงมีแต่รัชทายาทที่ต้องคอยพูดคุยกับฮ่องเต้ แต่วันนี้มีเฉิงอ๋องด้วยอีกคน ฮ่องเต้ย่อมอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
เมื่อสองพี่น้องเดินทางมาถึงตำหนักเฉียนกงพลันได้เห็นองค์หญิงหย่งอัน น้องสาวคนสำคัญของฮ่องเต้ประทับอยู่ด้วย ใกล้กันนั้นยังมีแม่นางน้อยโฉมสะคราญอีกคน
นางคือลู่ซือฉี น้องสาวคนเดียวของราชบุตรเขยลู่ผู้เป็นสามีอันเป็นที่รักขององค์หญิงหย่งอัน
แท้จริง องค์หญิงหย่งอันมีบุตรชายสองคนไม่มีบุตรสาว การมาเยี่ยมคารวะพี่ชายสมควรพาลูกๆ มาด้วย ทว่านางกลับพาน้องสามีผู้งดงามอ่อนเยาว์มาแทน แน่นอนแล้วถึงเหตุผลแอบแฝง
เป็นเช่นที่จ้าวเฟิ่งคาดไว้ไม่ผิด จ้าวไท่หรงตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ เพราะรู้ล่วงหน้าถึงงานเลี้ยงรับรองขนาดย่อมในตำหนักเฉียนกง
การใช้สตรีอีกคนเพื่อให้บุรุษเอาใจออกห่างจากสตรีอีกคน จ้าวไท่หรงเหมือนจะถนัดเหลือเกิน
จ้าวเฟิ่งลอบหรี่ตามองพี่ชายอย่างคาดโทษ
จ้าวไท่หรงเลิกคิ้วมองตอบอย่างเจ้าเล่ห์
เดิมทีลู่ซือฉีย่อมสมควรเกิดรักแรกพบกับจ้าวไท่หรง รัชทายาทผู้หล่อเหลาสง่างาม แต่เหนือฟ้ายังมีฟ้า เมื่อเฉิงอ๋องปรากฏตัวเพิ่มมาอีกคน สายตาดุจเมล็ดซิ่งอันงดงามหยาดเยิ้มนั้นจึงมองเหม่อที่จ้าวเฟิ่งทันที
การเหม่อมองเช่นนี้ย่อมเป็นปฏิกิริยาฉับพลันมิอาจยับยั้งจากอาการลุ่มหลงกะทันหันของการเจอรักแรกพบ
ลู่ซือฉีจับจ้องจ้าวเฟิ่งไม่วางตา หวังเพียงเขามองมา และเราสบตากัน ความงามเฉิดฉายของนางนั้น ไม่มีบุรุษใดไม่เผลอมองซ้ำสอง
ในครรลองสายตาของหญิงงามที่มีเงาร่างสง่าผึ่งผายนั้นสะท้อนความหมายลึกล้ำและแฝงนัยลึกซึ้งออกมาชัดเจน
เพียงแต่บุรุษกลับเฉยชา จ้าวเฟิ่งมิใช่ไม่เห็นแววตาลู่ซือฉี แต่เขาคร้านจะใส่ใจ เพียงมองแวบหนึ่งแล้วเมินไปทางฮ่องเต้กับองค์หญิงหย่งอันทันที
จ้าวไท่หรงกับจ้าวเฟิ่งทำความเคารพฮ่องเต้ “ถวายบังคมเสด็จพ่อ” และองค์หญิงหย่งอัน “คารวะเสด็จอา...”
องค์หญิงหย่งอันพยักหน้าแย้มยิ้มเปี่ยมเมตตา ในบรรดาหลานชาย นางไม่เคยชอบใครเลย แต่ยามนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป จิตใจย่อมเปลี่ยนตาม นางเหมือนพี่ชายของตน
หลังจากนั้นลู่ซือฉีจึงลุกขึ้นคารวะทักทายบุรุษสูงศักดิ์ด้วยกิริยานอบน้อมเหมาะสมแฝงท่าทางเขินอายแลดูนุ่มนวลและน่ารัก เรียกสายตาเอ็นดูจากฮ่องเต้และองค์หญิงหย่งอันได้เป็นอย่างดี
“คารวะองค์รัชทายาท คารวะเฉิงอ๋องเพคะ”
หญิงชายวัยกำดัดทักทายโต้ตอบกันด้วยถ้อยคำเรียบง่ายเปี่ยมมารยาทแต่กลับทำบรรยากาศรอบด้านหวานละมุนมากขึ้น
“พวกเจ้ามาเถิด นั่งลง วันนี้เรามีความสุขยิ่งนัก”
ฮ่องเต้จ้าวฝูหมิงเปลี่ยนแปลงจากเมื่อก่อนมากจริงๆ พระองค์ไม่เพียงไม่ขัดขวางสายสัมพันธ์ชายหญิงระหว่างโอรสกับบรรดาคุณหนูตระกูลใหญ่เหมือนก่อนแต่ยังหันมาส่งเสริมอีกด้วย ย่อมเป็นการสร้างรากฐานอันแข็งแกร่งมากกว่าที่เคยอย่างแท้จริง เช่นนี้ไม่เสี่ยงต่อการนำอสรพิษมาวางข้างหมอนอีก
การร่วมมื้ออาหารเต็มไปด้วยบรรยากาศอบอุ่นแห่งการสร้างสัมพันธ์ผ่านไปด้วยความราบรื่นในสายตาฮ่องเต้และองค์หญิง
ระหว่างจ้าวไท่หรงกับจ้าวเฟิ่ง หย่งอันชอบทั้งคู่ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครหนึ่งในสองคนนี้ นางพร้อมยินดียกน้องสามีให้เลย แต่เท่าที่สังเกตดู เหมือนจะชัดเจนแล้วว่าน้องสามีชอบใคร
หย่งอันมองจ้าวเฟิ่งอย่างพิจารณามากยิ่งขึ้น นางมีความรักลึกซึ้งกับสามีมาก จึงสนิทสนมกับลู่ซือฉีมากเช่นกัน ความหวังดีที่มีให้น้องสามีจึงเกินบรรยาย ขอเพียงลู่ซือฉีเอ่ยปากบอกมา นางจะจัดการให้ทันที จ้าวเฟิ่งโต้แย้งไม่ได้แน่นอน
ฮ่องเต้จ้าวฝูหมิงเองก็เห็นชอบเช่นกัน เพราะราชบุตรเขยลู่แท้จริงเคยเป็นกุนซือข้างกายพระองค์สมัยยังเป็นเพียงรัชทายาท ช่วยเหลือกันมามากมาย นับเป็นคนสนิทรู้ใจมาช้านาน
ส่วนลู่ซือฉี พระองค์ก็เห็นนางมาตั้งแต่เป็นเด็กวัยแบเบาะ นางยิ่งโตยิ่งสะสวยอย่างแท้จริง หากเดินหาสตรีทั่วทั้งเมืองหลวงย่อมไม่มีใครเทียบเคียงนางได้อีกแล้ว
ไม่อาจไม่ยอมรับเรื่องรูปโฉมราวสวรรค์ประทานของคนสกุลลู่ ในอดีต ราชบุตรเขยลู่มีสมญานามว่าเอกบุรุษเหนือสามัญ รูปลักษณ์ของเขานั้น ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าไม่มีส่วนใดไม่ดึงดูด เสน่ห์อันท่วมท้นนั้นล้วนส่งต่อให้น้องสาวผู้นี้ไม่มีขาดตกบกพร่อง ลู่ซือฉีเรียกว่ายิ่งกว่างดงามหยดย้อย มากกว่าคำว่าสะคราญโฉม หยาดเยิ้มเหนือสตรีที่ได้ฉายาว่าเทพธิดาจากสรวงสวรรค์เสียอีก
หลังมื้ออาหารฮ่องเต้รั้งองค์หญิงให้อยู่พูดคุยกันตามประสาพี่น้องที่มิค่อยได้พบเจอกัน โดยสั่งข้ารับใช้พาลู่ซือฉีออกไปเดินเล่น
จ้าวไท่หรงและจ้าวเฟิ่งย่อมต้องเดินเล่นเป็นเพื่อนน้อง
ทว่าบุรุษอย่างจ้าวเฟิ่งมิได้มีนิสัยสำราญทุกสถานการณ์อย่างจ้าวไท่หรง เมื่อลับตาผู้อาวุโส เขาจึงไม่รักษามารยาทอันใด เพียงเอ่ยคำเย็นชาขอแยกตัวกลับจวนเฉิงอ๋องไปก่อนอย่างไม่ไยดีต่อสายตาสื่อนัยของสตรีที่ทอดมอง ทิ้งไว้ให้คนเป็นพี่สานสัมพันธ์กับสตรีคนสำคัญต่อไป
ลู่ซือฉีมองตามแผ่นหลังเย็นชาด้วยสายตาละห้อย
ทว่าเพียงชั่วครู่เท่านั้นที่นางทอดอาลัยอันไร้ประโยชน์ไร้ผล คนค่อยตระหนักได้ว่าสตรีงามปานล่มเมืองเช่นนางก็มีวันนี้เช่นกัน
ส่วนรัชทายาทได้แต่มองตามน้องชายอย่างทำอะไรไม่ได้
ด้วยภาระหน้าที่ของจ้าวเฟิ่งที่ปฏิบัติภารกิจลับระดับแคว้น ชนิดที่รัชทายาทมิอาจทำเองได้ ข้ออ้างของจ้าวเฟิ่งจึงมีร้อยแปดพันประการ การผละจากไปกะทันหันย่อมไม่มีใครตำหนิได้
ยามนี้จึงเหลือเงาร่างชายหญิงยืนเคียงกันในอุทยาน พวกเขาคล้ายคู่รักเดินชมทิวทัศน์อันงดงามก็มิปาน
ลู่ซือฉีย่อมมีศักดิ์ศรีมากพอที่จะไม่ต้องง้อ เรื่องการตัดพ้อต่อบุรุษที่ใช้สายตาเย่อหยิ่งเฉยชาผลักไสนางตลอดเวลาให้หันมาสนใจด้วยมารยาอันโง่เขลาเหนื่อยยากนั้นลืมไปได้เลย
ต้องบอกก่อนว่าตัวนางเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ในระดับที่หากนับบรรพบุรุษย้อนกลับไปสองรุ่นล้วนทำคุณูปการอันยิ่งใหญ่ให้แคว้นจิน นางมีดีกว่าสตรีอื่นมากทีเดียว
ดังนั้นว่าที่สามีของนางย่อมไม่พ้นคนชั้นสูงระดับองค์ชายอยู่แล้ว ในเมื่อบุรุษที่ทำนางหัวใจเต้นแรงไม่แม้แต่จะชายตาแล นางจึงยื่นไมตรีให้อีกคนแทน
หากมิได้ความรักจากบุรุษที่ถูกใจ อำนาจย่อมน่าสนใจกว่า!
หญิงสาวจึงชมดชม้อยชายตาอ่อนเชื่อมให้ชายหนุ่มข้างกายอย่างจริตสูงส่งแนบเนียนตลอดเวลา หว่านเสน่ห์อย่างมีชั้นเชิง แต่ทอดไมตรีชัดเจน
กิริยาเช่นนี้มีหรือบุรุษอย่างจ้าวไท่หรงจะไม่นึกชมชอบ มารยาเย้ายวนใจเช่นนี้ของสตรี เขาชอบเหลือเกิน
เดิมที หากเป็นเมื่อก่อน จ้าวไท่หรงย่อมไม่ปฏิเสธน้ำใจ ตำหนักบูรพากว้างใหญ่ เขาสามารถรับสตรีข้างกายได้มากมาย อีกอย่าง ตำแหน่งชายาเอกก็ยังว่าง นางผู้นี้ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม
ทว่าน้ำมากย่อมต้องล้นออกมา เวลานี้ บุรุษผู้หนึ่งเกิดพึงใจถึงขั้นปักใจอยู่กับสตรีอีกคน มีหรือจะยอมเลิกรา
วิสัยบุรุษการได้มาซึ่งสตรีที่ไม่ต้องแข่งขันก็เปรียบเสมือนการดื่มน้ำเปล่าทุกวัน สดชื่นจริงแต่ไร้รสชาติยิ่ง จำต้องมีการต่อสู้แย่งชิงใช้สมองกันบ้างจึงจะดี
ที่สำคัญ สตรีผู้นั้นเป็นถึงนักฆ่าที่ถูกถอดเขี้ยวเล็บแล้ว จะอย่างไรก็ย่อมมีรสชาติมากกว่าคุณหนูในห้องหอที่เขาเคยเจอมา
วันนี้เขาอุตส่าห์ลากน้องชายมาเสนอตัวด้วยแท้ๆ แต่อีกฝ่ายกลับซ้อนแผนกันเสียได้
ดังนั้น จ้าวไท่หรงจึงลงแรงทำตัวหน้าหนา สานไมตรีอันดีกับลู่ซือฉีไปก่อน เพื่อรักษาสัมพันธภาพฉันสหายโดยไม่มีล่วงเกิน
จากนั้นค่อยคิดแผนจัดการผูกวาสนาให้น้องชายของตนกับสาวงามปานล่มเมืองตรงหน้าอีกหน
แม้ใจคิดเช่นนั้น แต่บุรุษรูปงามทรงเสน่ห์ผู้หนึ่งกลับแสดงออกถึงการยื่นไมตรีผูกสัมพันธ์ด้วยการเผยสีหน้าเจ้าชู้ แววตากรุ้มกริ่มตลอดเวลา บ่าวรับใช้เดินผ่านไปมายังมองเห็นว่าองค์รัชทายาทกำลังเกี้ยวพาราสีสตรีนางน้อยสกุลลู่อย่างหมายมาด
บนใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มพราวเสน่ห์กดลึกตรงมุมปาก ยิ่งเสริมให้รัชทายาทหนุ่มดึงดูดใจอย่างยิ่ง ลู่ซือฉีพลันเกิดประกายปรารถนาในดวงตา
รอยยิ้มของเขาเปี่ยมเสน่ห์ทรงพลังยั่วยวนใจปานนั้น
เอาล่ะ นางตัดสินใจแล้ว ว่าไม่ปล่อยจ้าวไท่หรงไปแน่นอน