ตอนที่ 4

1418 คำ
หน้าห้องฉุกเฉินเวลานี้ รัญนรานั่งไม่ติดเก้าอี้เอาแต่เดินไปเดินมาด้วยความร้อนรน มือเล็กกุมเข้าหากันแน่นสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นของเหงื่อที่ซึมออกมาจากฝ่ามือนุ่ม และดวงตากลมโตเริ่มสั่นไหวระริกขณะมองบานประตูกระจกห้องที่น้องชายคนเดียวหายเข้าไปด้านในสักพักแล้ว กระทั่งเมื่อเห็นคุณหมอเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน รัญนรารีบปรี่เข้าไปหาทันที “น้องชายของดิฉันเป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ?” น้ำเสียงหวานเจือสั่นนิดๆ ดังออกมาจากริมฝีปากอิ่มนั้นจับได้ถึงเนื้อเสียงที่แสดงถึงความหวาดหวั่นในนั้น “คงต้องแอดมิด เพื่อตรวจดูรายละเอียดอีกทีครับ เพราะการที่น้องชายของคุณไข้ขึ้นสูงขนาดนี้ ทั้งที่ไม่ได้เป็นหวัดหรือร่างกายอักเสบอะไรเลยมันผิดปกติมาก” คำตอบของคุณหมอสร้างความกังวลให้รัญนราไม่น้อย เธอพยักหน้ารับและกล่าวขอบคุณคุณหมอ จากนั้นก็เข้าไปหาน้องชายในห้องฉุกเฉิน “เป็นไงบ้าง?” รัญนราเอ่ยถามเมื่อเข้ามายืนขนาบข้างเตียงคนไข้ก่อนยกมือมาอังหน้าผากคม เมื่อเห็นว่าไม่มีไข้แล้วจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ส่วนคนที่นอนอยู่กลับยิ้มให้พี่สาว “ผมไม่เป็นอะไรแล้วพี่เมย์ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ” รวิกล่าวพลางเอื้อมมาจับมือเล็กของพี่สาวแล้วบีบเบาๆ เมื่อตอนเย็นเลิกเรียนแล้วเขาไม่ได้ไปทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ เพราะรู้สึกไม่สบาย และพอกลับมาถึงบ้านยังไม่ทันได้ทำความสะอาดบ้านอย่างที่เคยแบ่งหน้าที่กับรัญนรา แต่จู่ๆ เขารู้สึกปวดหัวจนล้มลงกองกับพื้น มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่พี่สาวเข้ามาพบและพามาส่งโรงพยาบาลอย่างที่เห็น “จ้ะ นอนพักก่อนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่” รัญนรายิ้มให้น้องชายอย่างอ่อนโยน จากนั้นดึงผ้าห่มมาคลุมอกให้ ซึ่งคนเป็นน้องก็แย้มริมฝีปากให้อย่างเชื่อฟังเพราะเวลานี้เขาง่วงมากจริงๆ หลังจากที่พ่อแม่เสียไปเมื่อหกปีก่อน รัญนราจำต้องรับหน้าที่เป็นผู้ปกครองให้กับน้องชายคนเดียวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเธอก็ทำมันได้ดีเสียด้วย แม้จะเหนื่อยสักเพียงใดที่ภาระหน้าที่ทั้งหมดตกอยู่ที่เธอคนเดียว แต่ก็ไม่เคยปริปากบ่น ยังคงดูแลน้องชายคนเดียวเป็นอย่างดี ตลอดระยะเวลาหกปีที่ผ่านมาเธอเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย ซึ่งสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำได้ขนาดนี้ แต่สุดท้ายมันก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี จนตอนนี้เธอเรียนจบแล้ว และวันนี้เธอได้เข้าทำงานที่บริษัทใหญ่อันดับต้นๆ ของประเทศด้วยเงินเดือนหมื่นห้าก็ถือว่าเยอะสำหรับเธอกับน้องที่ใช้จ่ายอย่างประหยัด ‘ภาพจากซีทีสแกน ผลปรากฏว่า เราพบก้อนเนื้อในสมองของน้องชายคุณค่ะ’ คำพูดของหมอทำเอาร่างบอบบางแทบจะล้มทั้งยืน ดีที่ได้พยาบาลช่วยประคองไว้ ‘แล้วมันอันตรายมากไหมคะคุณหมอ?’ เธอเงยหน้าถามคุณหมอรูปร่างเพรียวด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ‘ถ้าเป็นไปได้ คนไข้ควรเข้ารับการรักษาให้เร็วที่สุด ก่อนที่ก้อนเนื้อจะขยายไปมากกว่านี้’ ‘ค่ะคุณหมอ’ เธอผงกหัวรับรู้ด้วยสีหน้าหนักใจ ลำพังเงินเดือนของเธอ ยังไม่พอกับค่าทำคีโมแต่ละครั้งด้วยซ้ำ แล้วนี่เธอจะไปหาเงินที่ไหนกันล่ะ? “กำลังนั่งเหม่ออะไรอยู่เหรอน้องเมย์?” เสียงทรงพลังของหัวหน้าดังมาจากหน้าห้องแพนทรี ดึงให้ร่างเล็กหลุดจากห้วงความคิด รีบลุกขึ้นเดินไปหาหัวหน้าแผนกที่ยืนอยู่หน้าประตู “เปล่าค่ะ พี่เอม” รัญนราไหวหน้าปฏิเสธหัวหน้าสาวพร้อมเอ่ยถาม “พี่เอมมีอะไรให้เมย์ช่วยหรือเปล่าคะ?” “มีจ้ะ พี่รบกวนน้องเมย์ไปช่วยงานฝ่ายแผนกอีโอหน่อยนะพอดีคนไม่พอน่ะ” “ค่ะพี่เอม” รัญนรารับคำอย่างว่าง่าย เธอเป็นเด็กใหม่เพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่ยังไม่ถึงเดือน ประสบการณ์ยังไม่ค่อยมี ดังนั้นเวลามีงานด่วนอะไร จึงต้องไปช่วยพี่ๆ ทำงานตามแต่หัวหน้าจะบัญชามา รัญนราจัดการล้างถ้วยกาแฟจากนั้นก็เดินตามหัวหน้าวัยสี่สิบปลายๆ ในชุดสูทกระโปรงสีฟ้าไปทางห้องจัดงานอีเว้นท์ เมื่อมาถึงสถานที่จัดงานแล้วรัญนราเข้าไปช่วยพี่ๆ จัดเตรียมสถานที่ตามที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าแผนก ในระหว่างทำงาน มีเสียงบทสนทนาดังมาจากข้างๆ แม้ไม่ได้ตั้งใจฟัง แต่เธอกลับได้ยินบทสนทนาเหล่านั้นอย่างชัดเจน “นี่แกเห็นข่าวท่านประธานกับคุณฟ้าใสหรือยัง” เสียงของรุ่นพี่คนหนึ่งดังออกมาให้ทุกคนได้ยิน “เห็นแล้ว” รุ่นพี่อีกคนรีบสำทับ “นั่นสิน่าอิจฉานางจริงๆ ที่ได้ทั้งงานและยังได้เป็นคู่ควงของท่านประธานอีก” “แต่เชื่อเถอะไม่ถึงเดือนนางก็ตกกระป๋องละ” “แกมั่นใจขนาดนั้นเลย?” “มั่นใจสิ แกเห็นท่านประธานคบใครจริงจังเสียเมื่อไหร่กัน เปลี่ยนผู้หญิงราวกับเปลี่ยนเสื้อผ้าแหน่” หัวข้อสนทนาโดยมีท่านประธานเป็นโจทย์ยังคงดังออกมาเรื่อยๆ รัญนราทำได้แค่ก้มหน้าก้มตาทำงานพร้อมกับฟังเสียงเม้าท์ของรุ่นพี่ไป ส่วนพี่ที่ทำงานใกล้กับเธอมากที่สุดก็หันมายิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร “พี่ๆ เขากำลังพูดถึงนางเอกสาวคนที่กำลังเป็นข่าวอยู่กับท่านประธานในตอนนี้ไง” “อ๋อค่ะ” เธอพยักหน้าคลี่ยิ้ม ก่อนจะตั้งใจทำงานต่อไป ปล่อยให้พวกพี่ๆ เม้าท์กันอย่างสนุกปาก เธอทำได้แค่ฟังเท่านั้น แต่แล้วเสียงพูดของทุกคนยุติลงทันควันราวกับนัดการไว้ เมื่อเจ้าของชื่อที่อยู่ในวงสนทนากำลังเดินมาทางที่พวกเธอทำงานอยู่ ซึ่งจะด้วยความซุ่มซ่ามหรือไม่ทันระวัง รัญนราเผลอไปชนเข้ากับโครงเหล็กที่ตั้งฉากอยู่ข้างเสาไฟอย่างไม่ตั้งใจ ทำให้แท่งเหล็กอันใหญ่ยาวเกือบล้มทับร่างเธอแล้ว หากไม่ได้มือฉับไวของใครคนหนึ่งกระชากเธอไว้ทันเสียก่อนอย่างเฉียดฉิว พร้อมกันนั้นด้วยแรงกระชากจากมือหนาอย่างแรง ทำให้ร่างอ้อนแอ้นของรัญนรา เซถลาล้มเข้าไปอยู่ในแผงอกกว้างแข็งแกร่งราวกับกำแพงของประธานบริษัท รัญนราหลับตาปี๋ หัวใจหล่นอยู่ที่ตาตุ่ม เรียวแขนกระชับกอดร่างกำยำแน่น ทำเอาคนที่เห็นเหตุการณ์ถึงกับเบิกตากว้าง โดยเฉพาะเอมอรก่อนจะยกมืออวบขึ้นมาทาบอก ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อไม่ได้เกิดเหตุร้ายแรง “จะกอดอีกนานไหม?” คิ้วเข้มเลิกขึ้น ขณะที่ดวงตาดำขลับยังคงจับจ้องใบหน้าหวานซึ่งซีดเซียวคงเกิดจากอาการตกใจแหงนเงยขึ้นมองเขาเช่นกัน รัญนรารีบผละออกมาอย่างเร็วไวหลังตั้งตัวได้แล้ว กำลังจะกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย ทว่าเจ้าของร่างสูงโปร่งในชุดสูทสากลสีเทา ก้าวอาดๆ ผ่านไปเสียแล้ว เธอทำได้แค่มองไล่หลังแผ่นหลังกว้างซึ่งแลดูสง่าผ่าเผยด้วยความรู้สึกขอบคุณ ไม่กี่อึดใจรุ่นพี่ต่างก็กรูเข้ามาหาเธอด้วยสีหน้าท่าทางเป็นห่วง “ไม่เป็นไรนะ ทีหลังระวังหน่อย” หัวหน้าแผนกเอ่ยเสียงเคร่งเป็นคนแรก “นั่นสิ นี่ถ้าไม่ได้ท่านประธานช่วยไว้ มีหวังน้องเมย์ต้องไปนอนโรงพยาบาลแล้วล่ะ” เสียงรุ่นพี่ในแผนกอีกคนดังสำทับจริงจัง รัญนราทำได้แค่พยักหน้ารับฟัง เพราะยังไม่หายตกใจจริงๆ และอดที่จะผินหน้าไปทางร่างสูงใหญ่เดินจากไปเมื่อครู่อีกครั้งไม่ได้ เมื่อกี้ถ้าไม่ได้เขาช่วยไว้มีหวังตอนนี้เธอคงต้องไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาลตามที่รุ่นพี่บางคนว่าแล้วล่ะ ต้องขอบคุณคนที่เพิ่งผละออกไปเมื่อครู่จริงๆ ********** พระเอกของเรามาดนิ่งตามสไตล์ท่านประธานค่ะ ชอบไม่ชอบคอมเมนต์มาได้นะคะ รี้ดที่น่ารัก
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม