มื้ออาหารผ่านพ้นไปด้วยดีกว่าที่คิดเอาไว้ แต่เหมือนว่าลิ้นของภาพตะวันแทบจะไม่ลิ้มรสชาติความอร่อยของเนื้อเกรดดีด้วยซ้ำ
เพราะหลังจากที่ประธานเจียส่งเบอร์ให้เธอ การนั่งตรงหน้าเขาก็กลายเป็นอะไรที่ค่อนข้างประหม่าแล้วก็อึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
คำพูดของเขายังก้องในหูเธออยู่เลย..
“แกไม่น่าปฏิเสธความหวังดีประธานเจียเลยตะวัน สักครั้งในชีวิตฉันก็อยากนั่งรถหรูแบบนั้นมั้งนะ” น้ำอิงทำหน้าติดเสียดาย หลังภาพตะวันปฏิเสธไม่ให้ประธานเจียไปส่ง เพราะไม่อยากรบกวนเขาไปมากกว่านี้
แค่เลี้ยงอาหารเป็นการส่วนตัวก็มาพอแล้วสำหรับการที่พวกเขาเพิ่งรู้จักกัน อีกอย่างประธานเจียดูหวังผลจากบางสิ่งในการแลกกับบางอย่างที่เขาต้องการ
ไม่ใช่แค่ให้ฝ่ายเดียว แต่เป็นคนจำพวกถ้าให้ไปก็ต้องได้รับผลตอบแทนกลับมาเช่นกัน
“เห็นมั้ยประธานเจียสนใจแกตะวัน” ภูพิงว่าแล้วยิ้มหวานแซวเพื่อนตัวเอง
“แล้วแกจะโทรหาเขามั้ยอ่ะ หรือไม่ก็.. เอาเบอร์เขามาให้ฉันบ้างสิ” น้ำอิงแทรกแล้วทำหน้าอ้อนใส่ภาพตะวัน
“ไอ้อิง”
“ฉันแค่ล้อเล่นเองพิง ทำหน้าจริงจังไปได้น่า ยังไงถ้าแกอยากเจอเขาอีกก็ระวังตัวหน่อยแล้วกันตะวัน.. บางทีเขาอาจจะไว้ใจไม่ได้”
“อันนี้ฉันเห็นด้วยนะตะวัน”
ภาพตะวันที่ตกอยู่ในสถานการณ์คนกลางยืนรับฟังความคิดเห็นของทั้งสองคน พลางระบายลมหายใจทิ้งอย่างคิดไม่ตกว่าจะเอายังไงหลังจากนี้ดี
คุณลูกอมในวันนั้นดูใสซื่อแล้วก็นุ่มนิ่มเหมือนขนมดังโงะที่ยังไม่ราดซอส ทำไมวันนี้ถึงดูหวานอมเปรี้ยวเป็นบ๊วยแผ่นแก้ง่วงไปได้
“ฉันยังไม่รู้เลยว่าจะเอายังไงต่อ” ภาพตะวันตอบกลับ
“แล้วไหนบอกว่าไม่เคยเจอประธานเจีย” น้ำอิงหรี่ตาอย่างจับผิด
“เพราะเขาทำให้ฉันไม่มั่นใจต่างหาก ว่าสรุปแล้วมันใช่เขาหรือเปล่า”
“แล้วแกคิดว่าใช่มั้ย หรืออยากพิสูจน์ดีล่ะว่าใช่เขาหรือเปล่า”
พูดจบภูพิงที่ยืนฟังก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยกับน้ำอิง ทางเดียวที่จะรู้ได้ว่าใช่หรือไม่ใช่ก็คงต้องมีการพิสูจน์เกิดขึ้น
แต่ขอเวลาทำใจก่อนไปเจออีกสักหน่อยก็แล้วกัน
“ฉันว่าจะกลับไปหารูปที่บ้านก่อน ฉันจำได้ว่าเคยถ่ายรูปโพลารอยด์เก็บเอาไว้” เธอพูดด้วยสีหน้าค่อนข้างมั่นใจว่ายังเก็บรูปถ่ายเอาไว้อยู่
“ฟีลรักแรกพบอ่ะดิ” ภูพิงพูดแล้วยิ้มเขินเมื่อนึกภาพตาม
“อะไรของแก ไม่ใช่สักหน่อย” ภาพตะวันแสร้งทำหน้านิ่ง ก่อนจะตีไหล่ภูพิงที่แซวไม่พักเบาๆ ทีนึง
“อะไรล่ะ ฉันพูดความจริงนี่นา”
“ภูพิง”
“จ้า ไม่แซวแล้วก็ได้จ้า”
พอรู้ว่าเพื่อนตัวเองเขินจนแทบจะเก็บอาการทางสีหน้าเอาไว้ไม่อยู่ ภูพิงก็เลิกแซวแล้วหันไปให้ความสนใจน้ำอิงที่พูดขึ้นมา หลังหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลาเมื่อครู่
“ถ้างั้นฉันกลับก่อนนะ พอดีมีธุระต่อ”
“ธุระเยอะจังนะแม่คุณ”
“ใครจะว่างเหมือนคุณหนูภูพิงล่ะคะ”
“ไอ้อิงนี่”
น้ำอิงแยกยิ้มกวนประสาทภูพิง ก่อนจะยกมือโบกลาแล้วแยกตัวไปอีกทางที่หน้าร้านอาหารหรู
ส่วนอีกสองคนที่เหลือต่างก็แยกย้ายกันไปคนละทาง เพราะภูพิงเอารถยนต์ส่วนตัวของเธอมา ส่วนภาพตะวันก็โทรเรียกให้คนขับรถประจำบ้านมารับเช่นกัน
สองวันต่อมา
ภาพตะวันนั่งจ้องตัวเลขสิบหลักบนกระดาษสี่เหลี่ยมผืนผ้า ก่อนจะขยับสายตามองรูปถ่ายโพลารอยด์ที่วางข้างกัน พลางลอบถอนหายใจแล้วงุดหน้าจนคางชิดอก
“ใช่จริงด้วยสินะ” เธอพูดขึ้นเสียงค่อย
เธอยังไม่ได้ติดต่อกลับไปหาประธานเจีย และแน่นอนว่าอีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าจะติดต่อเธอกลับมาเช่นกัน
“จับได้แล้ว.. คุณลูกอม” ภาพตะวันแยกยิ้มเมื่อมองภาพโพลารอยด์ที่เป็นรูปถ่ายระหว่างเขาและเธอ
เป็นช่วงฤดูร้อนของญี่ปุ่นที่ภาพตะวันไปเก็บเกี่ยวการเรียนซัมเมอร์เกือบหนึ่งเดือนเต็ม และจุดเกิดเหตุระหว่างทั้งคู่ก็คือหน้าร้านโซบะเจ้าประจำของเธอ
ในวันที่ฟ้าฝนก็ไม่เป็นใจ ช่วงเวลาของชีวิตก็ย่ำแย่ ขนาดปั่นจักรยานยังล้มต่อหน้าผู้คนที่กางร่มเดินผ่านไปมา จนภาพตะวันทิ้งตัวนั่งร้องไห้อย่างหมดท่าไม่สนสายตาใคร
ผู้คนต่างก็เดินผ่านเธอไปจนหมด ไม่มีใครสนใจเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่กำลังเปียกปอนเพราะฝนเลยแม้แต่คนเดียว
ในช่วงวินาทีนั้นเธอเองก็เพียงแค่ต้องการใครสักคนเท่านั้นเอง..
แล้วโชคชะตาก็นำพาเขาคนนั้นให้ปรากฏตัวต่อหน้าเธอ เขายื่นลูกอมรสหวานให้เธอพร้อมกับแบ่งร่มในมือ จนตัวเขาเองเปียกปอนไปกับฝนไม่ต่างกัน
จังหวะที่ปลายฟ้าเงยหน้าขึ้นสบตาเขา เธอก็ตกหลุมรักชายแปลกหน้าคนนั้นในทันที
ยิ่งพอได้พูดคุยกันที่ร้านโซบะ ภาพตะวันก็สัมผัสได้ว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่อบอุ่นและใจดี ท่ามกลางสภาพฝนที่อากาศหนาวเหน็บ เขากลับเป็นคนเดียวที่ไม่มองข้ามเธอไป อีกทั้งยังมอบความอบอุ่นให้เธอด้วยโซบะกับรอยยิ้มนั่นอีก
เป็นใครได้เจอก็ต้องรู้สึกตกหลุมรักทั้งนั้น
“เอาก็เอา.. ยังไงก็ต้องเจอคุณลูกอมอีกครั้งให้ได้ คราวนี้ปฏิเสธไม่ได้อีกแน่หลักฐานมัดแน่นขนาดนี้”
สิ้นประโยคปลุกใจภาพตะวันก็หยิบมือถือขึ้นกดเบอร์ประธานเจีย ถอนหายใจเพียงเฮือกเดียวแล้วก็โทรออกหาเขาในทันที
( สวัสดีครับนักศึกษาภาพตะวัน )
“เอ่อ”
ภาพตะวันถึงกับชะงักค้าง เพราะไม่คิดว่าปลายทางจะรับเร็วขนาดนี้
เหมือนกับว่าตั้งตารอเธอโทรไปยังไงยังงั้นเลย
( สิบห้านาที )
“คะ”
( เดี๋ยวฉันไปหา.. )
ไม่ทันจะได้พูดอะไรมากกว่านี้อีกฝ่ายก็ตัดสายไป ทิ้งไว้แค่ความสงสัยให้กับภาพตะวันที่ถือสายคาหูกับสติที่หลุดปลิวไปไกล
“อะไรของเขา.. เป็นคนยังไงกันแน่เนี่ย”