บ่ายวันนี้ที่ร้านอาหารหรูในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง มีสองครอบครัวกำลังนั่งคุยกันอย่างสนุกสนานม จะเรียกได้ว่าคุยกันให้หายคิดถึงเลยก็ว่าได้ ก็เกือบเดือนที่ทั้งสองครอบครัวไม่ได้เจอกัน และวันนี้ก็เป็นโอกาสดีที่จะได้นั่งพูดคุยกันถึงเรื่องต่างๆ ไหนจะเรื่องของลูกๆ พวกเขาอีก เพราะย้ายมาอยู่เมืองไทยแบบกะทันหันเลยทำให้ทุกอย่างวุ่นวายไปนิด แต่ก็ไม่มีอะไรที่จัดการไม่ได้สำหรับพวกเขา
ไบรอันพาเด็กๆ ไปเดินซื้อของเล่น โดยปล่อยให้ภรรยากับเพื่อนรักนั่งคุยกันในร้านอาหารรอ และไม่นานไบรอันก็พาหนูน้อยจอมป่วนทั้งสองกลับมา หนูเซนนั้นได้รถบังคับติดมือกลับมา ส่วนหนูน้อยพอลี่นั้นได้ตุ๊กตาหมีตัวโตกลับมา
“มัมก๊าบ!...เซนได้นี้ตวยก๊าบ!...แด๊ดจื้อห่าย...” เซนวิ่งพร้อมกับอุ้มกล่องรถบังคับไปหาแม่ที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหาร
“มี๊เตร่าขา...พอลี่ก็ได้หมีตัวใหญ่...ลุงไบรอันซื้อให้ค่า...” พอลี่ก็ด้วยเช่นกัน อุ้มตุ๊กตาหมีไปนั่งบนตักแม่
“พี่ไบรอันซื้อให้เซนอีกแล้วนะคะ อ้อบอกแล้วว่าอย่าซื้อให้ ก่อนจะเดินทางมาก็ซื้อไปแล้วนะคะหนึ่งคัน แล้วนี่อะไรอีก เล่นยังไม่ทันได้เก่าก็ซื้อใหม่แล้ว อ้อล่ะปวดหัวกับพี่และลูกจริงๆ เลยค่ะ”
ดอกอ้อดุสามีต่อหน้าเพื่อน ซึ่งเป็นแบบนี้ประจำของหญิงสาวกับสามี จนรัตนาเริ่มชินเสียแล้ว เพราะไม่เคยมีสักครั้งที่นัดทานข้าวกัน สองสามีภรรยาคู่นี้จะไม่ดุกัน ส่วนมากเรื่องก็มักจะเกิดจากลูกชายตัวป่วนของทั้งสองนั่นเอง
“อ้อ...เธอน่าจะเลิกดุพี่ไบรอันได้แล้วนะ ไม่เบื่อบ้างเหรอ พี่ไบรอันก็อีกคน อ้อว่าให้ก็ยังจะนั่งยิ้มอีก เหมือนกับดีใจอย่างงั้นแหละค่ะที่โดนว่า”
รัตนาเอ่ยขึ้นบ้าง เมื่อมองเห็นสามีเพื่อนยังนั่งยิ้มหน้าบาน เหมือนกับว่าคำที่เพื่อนของเธอว่าก่อนหน้านั้นเป็นคำบอกรักอย่างนั้นแหละ
“มัมดุแด๊ดเพราะมัมรักแด๊ดมากก๊าบ...น้าเตร่า” ยังไม่มีใครได้ตอบ หนูเซนก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
“พูดถูกใจแด๊ดที่สุด อยากได้อะไรสุดป่วน” ไบรอันเอ่ยชมลูกชายของตน
“เอาอีกแล้วนะพี่ไบรอัน เซนก็เหมือนกัน อยู่เงียบๆ เหมือนน้องบ้างเถอะ” ดอกอ้อเอ่ย
“พอลี่เป็นเด็กดี พอลี่นั่งฟาง...อย่างเดียวค่า...” เมื่อมีคนชม หนูน้อยพอลี่เลยอยากนั่งเงียบๆ บ้าง
“ฮ่าๆ หลานลุงน่ารักจริงๆ แล้วไปอยู่กับแด๊ดดี้เป็นไงบ้าง แด๊ดดี้ใจดีไหมคะ” ไบรอันถามหนูน้อยพอลี่
“พี่ไบรอันอย่าพูดถึงเรื่องนี้ให้ต่ออารมณ์เสียสิคะ” ดอกอ้อเห็นหน้าเพื่อนดูซีดไปเลยห้ามปรามสามี
“ไม่เป็นไรหรอกอ้อ ต่อโอเค ถึงมันจะโอเคยากก็เถอะ แต่จะพยายาม” รัตนาเอ่ย
“พอลี่ยังไม่มีแด๊ดดี้นะลุงไบรอัน แด๊ดดี้ของพอลี่จะต้องเปน...ลุงเค...ค่า...” หนูน้อยเอ่ยอย่างซื่อๆ
“น่าน...จิแด๊ด...พอลี่ยังไม่มีแด๊ดเหมือนเซนเลย ถ้ามีเซนก็ต้องได้กราบแล้วก๊าบ!...” เซนตัวแสบเอ่ยขึ้น
“ตาเซนเงียบก่อนได้ไหมลูก” ดอกอ้อดุลูกชายบ้าง “ต่อ...เธอยังไม่บอกพี่พอลใช่ไหมว่าพอลี่เป็นลูกของเขากับเธอ แล้วทำไมพอลี่ไม่ยอมรับพี่พอลเป็นพ่อ แต่อยากได้เคเป็นพ่อ อธิบายมาเลยนะ”
“นั่นสิน้องต่อ” ไบรอันเอ่ยเสริมภรรยาอีกคน
“พี่พอลยังไม่รู้ และจะไม่มีวันรู้ด้วย พอลี่เป็นลูกเราคนเดียว ส่วนเคนั้นพอลี่คงชอบมั้งเลยอยากได้เป็นพ่อ ก็ตั้งแต่เกิดพอลี่สนิทแค่พ่อฉัน พี่ไบรอัน แล้วก็เค ก็อาจมีบ้างที่อยากได้เคเป็นพ่อ” รัตนาเอ่ย
ตอนนี้พอลี่ได้แต่มองหน้าแม่ที มองหน้าดอกอ้อและก็ไบรอันสลับกันไปมา ถึงจะฟังรู้เรื่อง แต่ก็ไม่รู้ความว่าผู้ใหญ่กำลังคุยอะไรกันอยู่ หนูน้อยรู้แต่ว่าในบทสนทนานั้นมีตัวเองอยู่ด้วย เมื่อฟังไม่เข้าใจหนูน้อยจึงชวนเซนไปเดินเล่นอย่างเงียบๆ
รัตนา ดอกอ้อ และไบรอันมัวแต่คุยกันจนลืมสังเกตว่าตอนนี้เด็กๆ ทั้งสองนั้นได้หายไปไหนแล้วไม่รู้ กว่าจะมารู้ตัวอีกที ก็ตอนที่รัตนาขยับตัว ถึงรู้ว่าบนตักตนไม่มีพอลี่นั่งอยู่อีกแล้ว
“อ้อ พี่ไบรอัน เด็กๆ หายไปไหนคะ”
“เซนก็นั่งข้างๆ พี่ไงต่อ” ไบรอันเอ่ยพลางมองข้างกาย แต่กลับว่างเปล่า
“ไม่มีค่ะพี่ไบรอัน” ดอกอ้อเอ่ยเสริม “พอลี่ก็หายไปด้วยค่ะ”
“ทำไมต่อไม่รู้สึกตัวเลยว่าพอลี่ลงจากตักต่อไปตอนไหน...ฮือๆๆ พอลี่ลูกแม่ หายไปไหน” เมื่อคิดว่าลูกหายตัวไปก็ร้องไห้ออกมาทันที
“อย่าร้องต่ออย่าร้อง เราไปตามหาเด็กๆ กันเถอะ พี่ไบรอันไปฝ่ายประชาสัมพันธ์ของห้างนะคะ เดี๋ยวอ้อกับต่อจะตามหาเด็กๆ เองค่ะ”
ดอกอ้อเอ่ยจัดแจงทุกอย่าง ก็ดูได้จากตอนนี้รัตนาคงคิดอะไรไม่ออกแล้ว นอกจากร้องไห้อย่างเดียว ด้วยความรู้จักรัตนาดีจึงรู้ว่าเป็นคนเจ้าน้ำตาแค่ไหน นิดๆ หน่อยๆ เพื่อนเธอคนนี้ก็จะร้องไห้เสมอ ดีใจ เสียใจ ร้องไห้หมด
“โอเคที่รัก” เมื่อรับคำแล้วไบรอันก็รีบวิ่งออกจากร้านอาหาร โดยปล่อยให้ดอกอ้อกับรัตนาจัดการกับค่าอาหารกลางวันมื้อนี้
“ต่อหยุดร้องก่อนนะ เรารีบไปถามเด็กในร้านกันดีกว่าว่าเห็นเซนกับพอลี่เดินไปทางไหน เช็ดน้ำตาก่อนต่อ” ดอกอ้อเดินมายื่นผ้าเช็ดหน้าให้เพื่อนพร้อมกับพูดเตือนให้สติ
“ฮือๆ อึก!...เราไม่ร้องแล้วไม่ร้องแล้ว อ้อไปจัดการค่าอาหารบนโต๊ะเถอะ เดี๋ยวต่อไปถามเด็กหน้าร้านเองว่าเห็นเด็กๆ ไหม อึก!...” เอ่ยพร้อมกับเช็ดคราบน้ำตา
“เราไปจ่ายค่าอาหารก่อนนะ ส่วนต่อก็ไปถามเด็กนะ แล้วรอเราอยู่ที่หน้าร้านอาหารนะ”
เอ่ยจบดอกอ้อก็รีบไปทำตามที่พูดทันที ส่วนรัตนาเมื่อจัดการกับคราบน้ำตาเสร็จ ก็สะพายกระเป๋าไปถามพนักงานต้อนรับที่หน้าร้านว่าเห็นเด็กลูกครึ่งชายหญิงเดินออกมาทางหน้าร้านไหม และเดินไปทางไหน เมื่อรู้ว่าไปทางไหน รัตนาก็รีบวิ่งไปยังทิศทางนั้นทันที โดยไม่รอว่าดอกอ้อจะจัดการธุระเสร็จหรือไม่เสร็จ เพราะตอนนี้หญิงสาวนั้นเป็นห่วงลูกและหลานชายเหลือเกิน