เมื่อเหลียนลี่หรู ได้รู้ตัวว่านางได้แสดงกิริยาเช่นนั้นออกไป ซึ่งกิริยาที่นางแสดงออกไปทั้งหมดนั้นอาจจะทำให้บุรุษตรงหน้าทราบแล้วก็เป็นได้ หากเขาต้องการที่จะตรวจสอบว่านางมาจากสถานที่เดียวกันกับเขาจริงๆ
หรือว่าที่เขากล่าวออกมาเช่นนั้น เพื่อต้องการที่จะทดสอบ ปฏิกิริยาของนางเช่นนั้นหรือ...
ซวยแล้ว…
เมื่อกี้นางได้ปล่อยไก่ให้เขารู้เสียแล้ว เพราะคาดไม่ถึงว่าเขาจะกล่าวเช่นนี้เพื่อทดสอบนาง เมื่อมั่นใจแล้วว่าตนเองได้ถูกทดสอบเช่นนั้น เหลียนลี่หรูก็รีบเปลี่ยนปฏิกิริยาของตนเอง โดยคงไว้ซึ่งท่าทีเฉยชาและสง่างามอย่างเช่นที่นางเคยทำ
แล้วอย่างไรเล่า หากนางไม่ยอมรับเสียอย่าง เขาจะทำอันใดกับนางได้ นางต้องรู้ให้ได้เสียก่อนว่าเขาต้องการสิ่งใด และทุกอย่าง มันใช่อย่างที่นางได้คาดการณ์เอาไว้หรือไม่…
"องค์รัชทายาทช่างมีประสบการณ์ที่กว้างขวางยิ่งนักแม้แต่บรรยากาศและการตกแต่งโรงเตี๊ยมที่แปลกประหลาดของหม่อมฉันเช่นนี้ พระองค์ยังสามารถรู้สึกคุ้นเคยได้แสดงว่าประสบ การณ์ที่พระองค์เคยมีมานั้นคงไม่ธรรมดาเสียแล้ว ที่หม่อมฉันต้องกล่าวเช่นนี้นั้น ก็เพราะว่าการตกแต่งโรงเตี๊ยมหนิงเจี้ยนออกมาได้แปลกประหลาดเช่นนี้นั้น เพราะว่าหม่อมฉันได้รับคำแนะนำจากพ่อค้าชาวตะวันตกที่เป็นชาวอิงกั๋วที่ได้เดินทางมาค้าขายยังแคว้นซีเป่ยโดยบังเอิญ จึงถือว่าเป็นโชคดีของหม่อมฉันเลยทีเดียว"
"หือ! นี่เจ้าจะบอกกับเปิ่นไท่จื่อว่าเจ้าสามารถพูดภาษาของชาวอิง กั๋วได้ด้วยเช่นนั้นหรือ"
"ก็พอจะสื่อสารกับชาวอิงกั๋วได้บ้าง แต่ว่าก็ไม่ค่อยจะดีนัก เพราะหม่อมฉันโชคดีได้ค้นพบหนังสือของชาวอิงกั๋วเข้า จึงได้ลองศึกษาดู จึงทำให้สามารถพูดคุยกับเขาได้บ้างเพคะ"
"เป็นเช่นนั้นเอง"
เมื่อเห็นนางกล่าวออกมาเช่นนั้น องค์รัชทายาทเหวินเฟยฉี ก็ไม่ได้ต้องการที่จะไล่ต้อนนางมากจนเกินไป ยังมีเวลาอีกมากที่เขาจะคาดคั้นเอาความจริงจากนาง
"Uh good."
แกร๊ก!
คราวนี้หลังจากที่ได้ยินประโยคต่อมาของไท่จื่อผู้นี้ ถึงกับทำให้ตะเกียบในมือของลี่หรูหักคามือ นางจ้องมองไปที่ใบหน้าของบุรุษตรงหน้าอย่างต้องการหาคำตอบ แต่ก่อนที่นางจะได้กล่าวอันใดออกไปนั้น องค์ชาย 9 เหวินลี่หยางก็ได้กล่าวแทรกขึ้นมาเสียก่อน
"เสด็จพี่ทรงตรัสว่าอันใดกัน"
"หือ...เจ้ามิเข้าใจหรือ คงต้องให้คุณหนูเหลียนเป็นผู้อธิบายในคำกล่าวนี้เสียกระมัง เพราะเปิ่นไท่จื่อ มั่นใจว่าคุณหนูเหลียนเข้าใจในคำกล่าวเมื่อสักครู่นี้ของเปิ่นไท่จื่อเป็นอย่างดี"
สายตาคมนั้นจ้องมองไปที่ใบหน้าของนางอย่างท้าทาย
"ใช่หรือไม่"
"หม่อมฉันหาได้เข้าใจในประโยคเมื่อสักครู่ของพระองค์แม้แต่น้อยเพคะ"
ลี่หรูรู้สึกว่า เขากำลังเล่นเกมไล่จับหนูกับนางอยู่ แล้วเหตุใดนางจะต้องลงไปเล่นเกมนั้นกับเขาด้วยเล่า ในเมื่อตอนนี้นางยังไม่รู้ถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของเขา ว่าแท้จริงแล้ว เขามาดีหรือว่ามาร้าย
ถึงแม้นว่าในตอนนี้นั้น นางได้มั่นใจแล้วว่าเขาและนางนั้น ไม่ใช่คนที่อยู่ในภพภูมินี้ แต่นางก็ไม่ได้ต้องการให้ผู้อื่นนอกจากครอบครัวของนางมารู้ความลับนี้ของนางเช่นเดียวกัน
"หึ! เจ้าเก้าเจ้าช่วยลงไปสั่งอาหารกับเสี่ยวเอ้อ อีกสัก 2-3 อย่างจะได้หรือไม่ เพราะในตอนนี้นั้นเปิ่นไท่จื่อรู้สึกหิวเต็มทีแล้ว"
"เหตุใดถึงจะต้องเป็นข้าด้วยเล่า เสด็จพี่ไท่จื่อไยไม่ให้องครักษ์ที่คอยอารักขาความปลอดภัยอยู่ แถวนี้ไปสั่งให้ก็ได้"
เมื่ออยู่ดีๆ พระเชษฐาของตนก็หันมาสั่งให้ตนเองออกไปเช่นนั้นเขาก็รู้สึกไม่ยินยอมเป็นอย่างมากนี่อย่าบอกนะว่าเสด็จพี่ของเขาต้องการที่จะพูดคุยกับสตรีผู้นี้เพียงลำพัง เขาจะยอมให้เป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า ในเมื่อโอกาสมันได้มามอบให้เขาถึงขนาดนี้แล้ว
เพราะข่าวลือที่ว่านางและชินอ๋องเหวินเฟยหลงได้เลิกรากันไปนั้น ทำให้เขารู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก ความรู้สึกที่เขาเก็บซ่อนไว้มานานนั้น มิสามารถบอกกับผู้ใดได้ ว่าแท้ที่จริงแล้วนั้น เขาได้หลงรักคุณหนูเหลียนผู้นี้มาเนิ่นนาน นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทุกครั้งที่ได้พบเจอกับนางเขาจึงต้องหาเรื่องมาจิกกัดนางอยู่ตลอดเวลา
นางไม่ได้เหมือนกับสตรีทั่วไปที่เห็นแก่อำนาจและเงินทอง ชอบทำตัวเป็นสตรีผู้มีเกียรติ มีความเรียบร้อยอ่อนหวาน แต่แท้ที่จริงแล้วสตรีเหล่านั้น มิได้เป็นเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย ผิดกับนางที่เป็นเช่นไร นางก็แสดงออกมาเช่นนั้น มิได้มีความเสแสร้งแกล้งทำ อย่างที่สตรีทั่วไปในเมืองหลวงเป็น เช่นนี้จึงทำให้เขารู้สึกชอบพอในตัวนางตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะแสดงความรู้สึกของตนเองออกไปได้ เพราะติดตรงที่นางมีบุรุษที่พึงใจอยู่แล้วอย่างเสด็จอาของเขา
แต่เมื่อเขาจ้องมองไปที่ใบหน้าของพระเชษฐาของตนเองที่ส่งสายตาตำหนิมาเช่นนั้น จึงได้แต่จำยอมทำตามคำสั่งนั้นแต่โดยดี หลังจากกลับไป ที่ตำหนักในครั้งนี้เขาคงต้องพูดคุยกับเสด็จพี่ของเขาให้รู้เรื่องเสียแล้ว
เมื่อเห็นว่าองค์ชาย 9 ได้จากไป ตามคำสั่งของตนเรียบร้อยแล้ว เขาก็ให้องครักษ์ที่อยู่บริเวณโดยรอบถอยออกไปเช่นกัน เพราะเรื่องราวที่เขาจะพูดคุยกับนางในครั้งนี้นั้นเขาไม่ได้ต้องการที่จะให้ผู้อื่นรับรู้ นอกจากเขาและนาง
"เปิ่นไท่จื่อมิได้มีเจตนาร้ายอันใด เปิ่นไท่จื่อมั่นใจมากกว่าแท้ที่จริงแล้วนั้น เจ้าไม่ใช่คนที่อยู่ในภพภูมินี้เปิ่นไท่จื่อเพียงต้องการพูดคุยกับคนที่มาจากที่เดียวกันเพียงเท่านั้น เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจเปิ่นไท่จื่อจะขอเล่าเรื่องราวของเปิ่นไท่จื่อให้เจ้าได้ฟังก่อนก็แล้วกัน "
องค์รัชทายาทเหวินเฟยฉีใช้น้ำเสียงที่จริงจัง สายตาที่แน่วแน่และอ่อนโยน ที่มองมายังนางในตอนนี้นั้น บ่งบอกว่าเขาไม่ได้โกหก และมิได้มีเจตนาไม่ดีใดๆ
"ข้ามีชื่อว่าไมค์ เป็นลูกครึ่งจีนฝรั่งเศส อาชีพเก่าของข้านั้นคือ นักวิศวะกร ที่มีความสามารถมากผู้หนึ่ง แต่ด้วยวันหนึ่งได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนทำให้เสียชีวิต และได้เข้ามาอาศัยอยู่ในร่างนี้ นี่ก็ผ่านมา 10 ปีแล้วข้ามาจาก ทศวรรษที่ 21 แล้วเจ้าเล่า จะสามารถเล่าถึง รายละเอียดของตนเองให้กับข้าทราบได้หรือไม่"
เมื่อเห็นสายตาของนางที่จ้องมาที่ตนอย่างเป็นกังวลและไม่อยากจะเชื่อเช่นนั้น ก็ให้เขารู้สึกว่าเหตุใดนางจะต้องระวังตนเองมากมายเช่นนั้นด้วย เขาเพียงแค่รู้สึกว่านางคือคนที่เขาคิดว่าจะพูดคุยกับนางได้รู้เรื่อง เพราะว่ามาจากที่เดียวกันเพียงเท่านั้น
"เจ้าอย่าได้กังวลอันใดอีกเลยในเมื่อตอนนี้เจ้าก็ได้รู้ถึงความลับของข้าแล้วไม่ใช่หรือ"
เฮ้อ! ..
"พระองค์เข้าพระทัยถูกแล้วหม่อมฉันไม่ใช่คนที่อยู่ในภพภูมินี้แท้ที่จริงแล้วนั้นหม่อมฉันคือศัลยแพทย์ ที่มาจากศตวรรษที่ 21 เช่นเดียวกับพระองค์ และหลังจากเสียชีวิตแล้วนั้นก็ได้มาอยู่ในร่างนี้ตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งหม่อมฉันก็ไม่เข้าใจว่าการเกิดใหม่ของหม่อมฉันในครั้งนี้นั้น เป็นวิญญาณที่เข้ามาสิงยังร่างนี้ หรือแท้ที่จริงแล้วหม่อมฉันได้มาเกิดใหม่และสวรรค์ได้ประทานความทรงจำเก่ามาให้กับหม่อมฉันกันแน่"
"เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ ดียิ่งนัก อย่างน้อยในตอนนี้ข้าก็สามารถพูดคุยกับคนที่มาจากภาษาและวัฒนธรรมเดียวกันได้ เพราะข้านั้นต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่หลายปี ถึงจะสามารถปรับตัวให้เข้ากับที่นี่ได้ เมื่อข้าได้เห็นการตกแต่งโรงเตี๊ยมของที่นี่ในคราแรก ข้าก็ให้มั่นใจแล้วว่าต้องเป็นคนที่มีความรู้และมาจากสถานที่เดียวกันกับข้าอย่างแน่นอน"
"เหตุใดพระองค์จึงต้องทรงทำสีหน้าดีอกดีใจถึงเพียงนั้นกัน"
ลี่หรูถึงกับหัวเราะออกมาเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของเขา ที่ส่งมาให้นางอย่างต่อเนื่องเช่นนั้น ซึ่งมันแตกต่างจากท่าทีเงียบขรึมและเข้าถึงยากของเขาที่แสดงออกมาในเวลาปกติเป็นอย่างมาก
เมื่อพวกเขาได้พูดคุยถึงความลับของกันและกันแล้วนั้น ทั้งสองคนก็หาได้มีท่าทีห่างเหินอย่างเช่นในตอนแรก ซึ่งท่าทีของทั้ง 2 ที่แสดงออกมาเช่นนั้น ถึงกับทำให้องค์ชาย 9 ที่ได้กลับมาเห็นเข้าถึงกับมีใบหน้าที่มืดครึ้มขึ้นมาหลายส่วน…
"เสด็จพี่กำลังพูดคุยถึงเรื่องอันใดกับคุณหนูเหลียนอยู่เช่นนั้นหรือเหตุใดเสด็จพี่ถึงได้มีสีหน้าพอพระทัยมากมายเช่นนั้นกัน"
ถ้อยคำที่องค์ชาย 9 ได้ตรัสออกไปเมื่อสักครู่นี้นั้น ได้บ่งบอกถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงเป็นอย่างมาก ถึงกับทำให้คู่สนทนาที่พูดคุยถูกคอทั้งสองคนนั้นต้องหันไปจ้องที่เขาเป็นตาเดียวกัน
"สงสัยจะมีผู้ทำให้น้ำส้มแตกแถวนี้เสียแล้ว"
แค่ก! แค่ก! แค่ก!
ประโยคนั้นขององค์รัชทายาทที่ตรัสออกมา ถึงกับทำให้ลี่หรูสำลักน้ำชาที่กำลังดื่มเข้าไปเสียไม่ได้
"ห๊า! นี่พระองค์อย่าทรงบอกหม่อมฉันนะว่า พระองค์กับองค์ชาย 9 ได้มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกันเช่นนั้นหรือ นี่พระองค์เป็นพี่น้องกันไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงได้มีความรู้สึกเช่นนั้นได้"
เมื่อองค์รัชทายาทได้ยินประโยคนั้นของนางถึงกับคิ้วกระตุกอย่างช่วยไม่ได้ นี่นางใช้สมองส่วนไหนคิดกันว่าเขาและพระอนุชาของตนเองจะชอบพอกันได้ ด้วยความหมั่นเขี้ยวในความคิดไร้สาระของนางเขาที่คิดไปไกลเกินความเป็นจริงมากโข เขาจึงใช้ตะเกียบที่อยู่ในมือเคาะไปที่ศีรษะของนางอย่างแรง
"โอ๊ย นี่ไท่จื่อทรงทำอันใดกันหม่อมฉันเจ็บนะเพคะ"
เมื่อองค์ชาย 9 ได้เห็นถึงท่าทีที่สนิทสนมของทั้ง 2 ที่แสดงออกมาเช่นนั้นก็ให้รู้สึกขัดเคืองพระทัยเป็นอย่างมาก นี่เขาหายไปเพียงชั่วครู่เหตุใดทั้งสองคน ถึงได้มีท่าทีสนิทสนมราวกับรู้จักกันมานานเช่นนั้นได้แท้ที่จริงแล้วเสด็จพี่ไท่จื่อกล่าวสิ่งใดกับนางกัน