หลังจากที่ได้เห็นลี่หรูกำลังจะจากไป ในหัวใจของเขาก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาเช่นกัน เขารีบปล่อยมือของเซียวซูหนี่ว์ออกอย่างรวดเร็ว ขาของเขามันก้าวออกไปเองอย่างที่เขาก็ไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ ในขณะกำลังจะตามลี่หรูออกไป ทันใดเซียวซูหนี่ว์ก็เป็นลมล้มพับไป จนถึงตอนนี้นางก็ยังมิรู้สติ กอปรกับร่างกายที่ไม่แข็งแรงเดิมของนาง เมื่อมีเรื่องสะเทือนใจเช่นนี้ จึงทำให้นางหมดสติไป
จิตใจที่ว้าวุ่นด้วยห่วงสตรีทั้งสองนาง ที่เป็นดั่งดวงใจของเขาทำให้ชินอ๋อง ถึงกับไม่สามารถทำอะไรได้ ในขณะที่เห็นลี่หรูกำลังจะจากไป ทำให้เขารู้ว่านางมีความสำคัญกับเขามากเพียงใด แต่เขาก็ไม่สามารถทิ้ง เซียวซูหนี่ว์ที่กำลังนอนไม่ได้สติอยู่เช่นนี้เพียงลำพังได้ ในตอนนี้เขาได้คำตอบ ให้กับตนเองแล้ว 'ว่าเขารักผู้ใด'....
"นางเป็นเช่นไรบ้าง"
เมื่อแม่ทัพใหญ่เหลียนซูฉี ได้ยินคำกล่าวนั้นของชินอ๋องเหวินเฟยหลง ก็ให้ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
"หึ! เจ้าเป็นห่วงนางด้วยหรือ ช่างน่าขันสิ้นดี ต่อจากนี้ไปเจ้าอย่าได้มาเกี่ยวข้องอันใดกับนางอีก เจ้าหมดโอกาสที่จะดูแลนางตั้งแต่ที่ทำให้นางเสียใจแล้ว" กล่าวจบท่านแม่ทัพใหญ่เหลียนซูฉี ก็จากไปในทันที เหลือไว้เพียงคำกล่าวที่เขาพูดไว้เมื่อสักครู่นี้เท่านั้น ที่ยังคงตราตรึงอยู่ในหัวของชินอ๋องซ้ำไปซ้ำมา
"หมดโอกาสแล้วเช่นนั้นหรือ"
ชินอ๋องเหวินเฟยหลง จ้องมองไปที่สตรีที่กำลังหลับสนิทอยู่บนเตียงในตอนนี้อย่างใช้ความคิด นานเท่าไหร่แล้ว ที่เขาเฝ้าคิดถึงสตรีผู้นี้ในตอนที่นางหายไป เขาคิดว่าความรู้สึกทุกอย่างที่มีให้กับนางคือความรักระหว่างชายหญิง
แต่แท้ที่จริงแล้ว ความรู้สึกที่เขามีให้กับนาง หาได้เป็นอย่างที่เขาเคยเข้าใจไม่ ความผูกพันและความรู้สึกที่เขามีให้นางนั้น มันเป็นเพียงแค่ความรักระหว่างพี่น้องเพียงเท่านั้น และเขาพึ่งจะรู้ความรู้สึกของตนเอง ก็ในตอนที่สตรีที่เขารักอย่างแท้จริง กำลังเจ็บปวดและกำลังจะจากเขาไป...
แล้วเขาจะมีความกล้าอันใดที่จะบอกความรู้สึกที่แท้จริงนี้ให้นางได้รับรู้ เซียวซูหนี่ว์ไม่สามารถรับแรงกดดันเหล่านี้ได้เป็นแน่ ร่างกายของนางนั้นอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก หากนางต้องมารับรู้ ว่าเขาหาได้มีความรู้สึกพึงใจในตัวนางเฉกเช่นชายหญิง นางจะสามารถทนได้เช่นไร
"ซูเอ๋อร์ศิษย์พี่ต้องขอโทษเจ้าด้วย"
ในขณะที่ชินอ๋องได้กล่าวประโยคนั้นออกไป เขาหารู้ไม่ว่าสตรีที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงนั้นได้รู้สึกตัวขึ้นมาแล้ว เมื่อนางได้ยินคำกล่าวนี้ของชินอ๋องเหวินเฟยหลง ความรู้สึกเจ็บแปล๊บก็พุ่งเข้ามาที่หัวใจของนาง จนนางแทบอยากจะกระอักเลือดออกมาเสียให้ได้
เหตุใดนางจะไม่รู้ความหมายในคำกล่าวนั้นของบุรุษคนรักของตนเล่า ในเมื่อสายตาของชินอ๋องที่ทอดมองไปยังเหลียนลี่หรูในขณะที่สตรีผู้นั้นกำลังจะจากไป เขาไม่เคยใช้สายตาเช่นนั้นจ้องมองมาที่นางมาก่อน ส่วนมากมันจะเป็นสายตาแห่งความเอ็นดูเสียมากกว่าที่จะมีความรู้สึกลึกซึ้งบ่งบอกถึงความรักมากมายเช่นนี้
ความรู้สึกไม่ยินยอมเกิดขึ้นมาในอกของนางอย่างมากมาย เหตุใดนางจะต้องเป็นผู้แพ้กัน ก็ในเมื่อนางมาก่อน เขาไม่คิดถึงความผูกพันที่ผ่านมาระหว่างนางและเขาเลยเช่นนั้นหรือ
ไม่ได้! .. ถึงอย่างไรนางก็จะไม่ยอมปล่อยเขาไป นางรักเขามาก มายถึงเพียงนี้ แล้วนางจะยอมเสียเขาไปให้กับสตรีผู้นั้นได้เช่นไร…
'อย่าได้หวังเลย'
"น...น้ำ ข้าขอน้ำหน่อย" เสียงแหบแห้งของสตรีเบื้องหน้า ทำให้ชินอ๋องหลุดออกมาจากในภวังค์
"เจ้าฟื้นแล้วเช่นนั้นหรือ...รู้สึกเป็นเช่นไรบ้าง"
ชินอ๋องกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พร้อมกับยื่นจอกน้ำให้กับนางได้ดื่มดับกระหาย
"ศิษย์พี่ ท่านอย่าได้ทิ้งข้าไปไหนนะ ข้ากลัวการต้องอยู่คนเดียว ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่ที่ท่านพ่อได้จากไป ในชีวิตของซูเอ๋อร์ ก็ไม่เหลือผู้ใดอีกแล้ว"
พร้อมกับโผเข้าสู่อ้อมกอดของบุรุษตรงหน้าอย่างรวดเร็ว จนชินอ๋องไม่ทันได้ตั้งตัว เขาค่อยๆ ประคองสตรีที่อยู่ในอ้อมกอดไว้อย่างรู้สึกผิด
ใช่สิ
นอกจากเขาแล้วนางก็ไม่มีผู้ใดอีก หากแม้แต่ตัวเขายังทำร้ายจิตใจนาง นางจะเจ็บปวดเพียงใดกัน...
"ศิษย์พี่จะทิ้งเจ้าไปได้เช่นไรกัน ถึงอย่างไรเจ้าก็คือคนสำคัญกับศิษย์พี่ เพราะเจ้าก็เปรียบเสมือนคนในครอบครัวอยู่แล้ว"
ชินอ๋องเหวินเฟยหลง พยายาม ที่จะเปิดเผยความรู้สึกของเขาให้กับนางได้รับรู้ทีละน้อย หากทำเช่นนี้มันอาจจะทำให้นาง สามารถยอมรับมันในสักวันหนึ่งก็เป็นได้ แค่เพียงต้องใช้เวลาให้นางได้ปรับตัวเสียก่อน
เขาไม่ต้องการที่จะทำร้ายความรู้สึกของนาง เพราะถึงอย่างไรนางก็เปรียบเสมือนน้องสาวของเขา
'ลี่เอ๋อร์ได้โปรดรอเปิ่นหวาง ก่อน ในตอนนี้เปิ่นหวางได้รู้ถึงความรู้สึกของตนเองแล้ว เปิ่นหวางจะชดใช้ความผิดที่ได้ทำให้เจ้าเสียใจด้วยตนเอง ให้โอกาสเปิ่นหวางอีกสักครั้งเถิด'
ณ จวนตระกูลหลียน
3 วันหลังจากนั้น สตรีผู้ที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของคนทั้งตระกูล ก็ยังไม่ยอมออกมาจากภายในห้องของตนเอง พวกเขาให้เป็นห่วงนางยิ่งนัก จนในที่สุดประตู ที่เคยปิดสนิท ก็ได้เปิดออกพร้อมกับใบหน้าของสตรีที่ดูซีดเซียวไร้สีเลือด
"ลี่เอ๋อร์ เจ้ารู้สึกดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่"
แม่ทัพใหญ่เหลียนซูฉี กล่าวออกไปอย่างเป็นห่วง เมื่อได้เห็นใบหน้าของน้องสาวสุดที่รักของเขา ในรอบหลายวันที่ผ่านมา
หลายวันที่ผ่านมา เขาไม่ได้เข้าไปรบกวนนาง ก็เพื่อที่จะให้นางได้คิดทบทวนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ให้นางเจ็บช้ำให้พอ เมื่อนางคิดได้ นางก็จะลุกขึ้นมาด้วยตนเอง เขาเชื่อว่าน้องสาวของเขาจะเข้มแข็งพอที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริงนี้ได้
"เจ้าค่ะ น้องรู้สึกดีมากแล้ว ขอบคุณพี่ใหญ่ที่เป็นห่วง หลังจากนี้ น้องจะมิเป็นเช่นนั้นอีกแล้ว"
น้ำเสียงที่แหบแห้ง พร้อมกับดวงตาที่บวมปูด บ่งบอกว่านางได้ผ่านการร้องไห้ออกมาอย่างหนักมากเพียงใดในรอบหลายวันที่ผ่านมานี้
"เจ้าร้องเถิด ร้องให้พอ แล้วหลังจากนี้ จงลุกขึ้นยืนอย่างเข้มแข็ง และอย่าได้ล้มลงไปอีก"
นั่นคือคำกล่าวของเขา ที่ได้กล่าวไว้กับนางก่อนที่เขาจะจากไป
จาก 3 วันเป็น 7 วันเป็นหนึ่งเดือน วันเวลาได้ล่วงเลยผ่านไปเรื่อยๆ อย่างที่มันควรจะเป็น แต่นางกลับไม่เคย ได้เห็นใบหน้าของบุรุษผู้นั้นเลยสักครั้ง ในรอบหลายวันที่ผ่านมานี้ เขาไม่แม้แต่จะอธิบายถึงเหตุผลใดๆ ให้นางได้เข้าใจเลยแม้แต่น้อย
นางกำลังรอคอยความหวังลมๆ แล้งๆ อะไรกันอยู่ นี่นางยังคิดว่าเขาจะมาพบหน้านางอยู่อีกเช่นนั้นหรือ ในตอนนี้เขาได้พบกับคนที่เขารักและรอคอยมาเนิ่นนานเช่นนั้นแล้ว นางยังคิดว่าตนเองมีความสำคัญกับเขาอยู่เช่นนั้นหรือ
'พอได้แล้ว เลิกโง่แล้วตาสว่างเสียที'
นางควรที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าได้แล้ว นางจะมาจมปลักอยู่กับอดีตที่เจ็บปวดนี้ ให้คนที่รักนาง รู้สึกเป็นกังวลไปเพื่อการใดอีก...
เมื่อคิดได้ดังนั้น นางจึงตัดสินใจเปิดประตูออกมาเผชิญหน้ากับความเป็นจริงเสียที
"ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่ต้องทำให้พวกท่านเป็นห่วงแล้วในหลายวันที่ผ่านมานี้ ลูกอกตัญญูนัก"
ลี่หรูมีสีหน้ารู้สึกผิดอย่างเห็นได้ชัด จะไม่ให้นางรู้สึกผิดได้เช่นไรเล่า ก็ในเมื่อใบหน้าอมทุกข์ของพวกเขาเหล่านี้ บ่งบอกว่าตลอดหลายวันที่ผ่านมา พวกเขาเองก็หาได้มีความสุขเลยแม้แต่น้อย
เพียงแค่นางเปิดประตูออกมาก็พบกับใบหน้าของผู้ที่รักและหวังดีกับนางเหล่านี้ทันที นั่นหมายความว่าพวกเขามาเฝ้ารอนางอยู่เช่นนี้ตลอดเวลาเช่นนั้นหรือ
ลี่หรูคุกเข่าลงอย่างแรง นางรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ตนเองได้ทำลงไป
"ข้าขอโทษ"
ความรู้สึกอัดอั้นในอกของนางในตอนนี้ ทำให้นางไม่สามารถเก็บกักน้ำตาแห่งความเสียใจเอาไว้ได้อีกต่อไป…