หายากนักคนที่จะประมือกับจ้วงจี๋ได้แบบสมน้ำสมเนื้อเช่นนี้ ชั่วขณะหัวหน้าหน่วยจิ่นอีเว่ยผู้นี้ก็ลืมไปเสียแล้วว่าตนมาเพื่อนำตัวพระปิตุลากลับไป ยามนี้มุ่งแต่จะสู้กับยอดฝีมือตรงหน้าที่ตัวเล็กกว่าตนหลายเท่าอยู่ท่าเดียว
คนพายผู้นี้แม้ความแรงในการปะทะจะไม่มากเท่าคนที่ตัวโตเป็นหมีอย่างจ้วงจี๋ แต่ก็อาศัยเรื่องแขนและขาที่สั้นกว่าคู่ต่อสู้ ออกกระบี่รุกสู้ได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังลื่นไหลดุจสายน้ำ เรียกได้ว่าต่อเนื่องไม่มีสะดุด! จ้วงจี๋แทบจะไม่ให้อีกฝ่ายหยุดพัก เช่นเดียวกับเขาที่หากไม่มองให้ดีก็อาจจบชีวิตแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวเอาได้
ฝีมือคนพายของเฟิ่งเจี่ยหรันเรียกว่าร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง ขนาดจ้วงจี๋ที่เรียกได้ว่าเป็นเซียนกระบี่ผู้หนึ่งยังต้องใช้สมาธิอยู่มากโข
แต่ลึกๆ แล้วหัวหน้าจ้วงผู้นี้กลับรู้สึกพึงพอใจ ด้วยความที่ตนเป็นยอดฝีมือ จะต่อสู้ทั้งทีก็เจอแต่พวกเก่งแต่ออกท่าออกทางเพื่อความสวยงาม หาได้ต่อสู้เก่งกาจแต่อย่างใด คนจำพวกนี้นอกจากจะโดนเขาตีแล้วยังโดนไล่ให้ไปแข่งรำกระบี่ด้วย...
มายามนี้เมื่อได้ประมือกับผู้ที่มีฝีมือสูสี เลือดในกายจึงร้อนระอุเป็นอย่างยิ่ง!
“งั้นหรือ...แต่เสี่ยวไห่ของข้าสำเร็จเคล็ดวิชาสะเทือนฟ้าดินมาแล้ว โอกาสชนะย่อมมีอยู่มาก” เฟิ่งเจี่ยหรันว่า เมื่อเห็นว่าขนมในมือของเถียนหลิงยังไม่ถูกกินจึงหยิบคืนมาบิเป็นชิ้นน้อยๆ แล้วยื่นใส่ปากป้อนให้แทน
“เคล็ดวิชาอันใดกัน ฟังชื่อแล้วคล้ายเคล็ดวิชาในนิยายประโลมยิ่ง ออกจะน่าขันไปสักหน่อย เจ้าอาจจะยังไม่รู้ จ้วงจี๋นั้นเป็นสุดยอดฝีมือที่หาได้ยากของได้ยาก เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เป็นหนึ่งไม่มีสอง” พูดถึงตรงนี้เถียนหลิงก็อดร่ายยาววีรกรรมของหัวหน้าจ้วงไม่ได้ ปากที่ชุ่มชื่นของเจ้าตัวก็รับขนมที่เฟิ่งเจี่ยหรันป้อนให้อย่างไม่รู้ตัว ยามไม่ทันใจยังมีหน้าไปสะกิดเร่งเขาเป็นเชิงว่าเร็วหน่อยอีกต่างหาก
ด้วยขนมของเฟิ่งเจี่ยหรันนั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของกุ้ยฮวา[3] เมื่อเคี้ยวจนแหลกกลิ่นหอมและรสชาติหวานล้ำจากน้ำผึ้งก็กำซาบไปทั่วทั้งปาก เถียนหลิงถึงกับอุทานในใจว่าตั้งแต่กลับมาเมืองหลวง นี่ถือเป็นขนมที่อร่อยที่สุดในรอบสามปีของตัวข้าผู้เป็นอ๋องแล้ว!
ในขณะที่หัวเรือสู้กันให้ตายไปข้าง แต่ท้ายเรือกลับนั่งป้อนขนมแล้วมองคนฆ่ากันอย่างหวานชื่นรื่นเริงนี่ออกจะขัดกันอยู่สัก...เล็กน้อย ผ่านไปนานเท่าไหร่มิอาจทราบ หัวหน้าหน่วยจิ่นอีเว่ยและคนพายก็ยังไม่รู้แพ้รู้ชนะ เหงื่อกาฬของทั้งคู่ก็ไหลโทรมกายจนเปียกชุ่ม ทั้งยังปะปนกับเลือดที่เกิดจากการถูกปลายกระบี่กรีดเข้าเนื้อ
เฟิ่งเจี่ยหรันป้อนขนมคำสุดท้ายให้เสร็จก็อุ้มเถียนหลิงกระโดดขึ้นฝั่ง ตอนกระโดดมิวายกลั่นแกล้งผู้คน ด้วยการลงน้ำหนักเท้าเหยียบกาบเรือให้มากหน่อย กระทั่งเรือเอียงไปอีกข้างทำให้น้ำเอ่อทะลักเข้ามาภายในจนเรือพลิกคว่ำ จ้วงจี๋และคนพายต่างกระโดดหนีตายออกจากเรือกันแทบไม่ทัน มองสภาพทุลักทุเลแล้วเถียงหลิงก็อดหัวเราะคิกขึ้นมาด้วยความขบขันไม่ได้ แต่พอถูกเฟิ่งเจี่ยรันมองด้วยสายตายิ้มๆ ก็หุบปากฉับทันที
ในฐานะที่เป็นทั้งอ๋องและพระปิตุลาของแคว้น นี่ออกจะไร้คุณธรรมไปสักหน่อยที่มายืนหัวเราะซ้ำเติมผู้คนยามทุกข์ยากเช่นนี้
นึกแล้วก็ละอายใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่ามันน่าหัวเราะจริงๆ นี่นา...
“เอาล่ะพอแล้วๆ ข้ารู้ว่าพวกเจ้าล้วนเป็นผู้มากฝีมือ แต่ขืนสู้กันต่อไปอีกสามวันก็ใช่จะรู้ผล” เถียนหลิงร้องห้ามเมื่อเห็นหัวหน้าจ้วงกับคนพายทำท่าฮึมฮัมใส่กันอีกรอบ “อย่าสู้กันเลย นั่นคนของบ้านข้าเอง”
นี่ไม่นับว่าบอกช้าไปหรอกหรือ!!
“หึ!” คนพายของเฟิ่งเจี่ยหรันทำเสียงขึ้นจมูก แต่ก็ยอมวางมือถอยออกมา เช่นเดียวกันกับจ้วงจี๋ จากที่สู้กันจะเป็นจะตายทั้งคู่ก็ยอมเดินกลับมาหานายของตนโดยง่าย แต่ตอนที่เดินคู่กันมายังมิวายยื่นมือผลักกันไปมาเหมือนเด็กเล็กๆ ที่ไม่ชอบขี้หน้ากัน
เถียนหลิงเห็นแล้วถึงกับมีความรู้สึกอยากยกมือขึ้นกุมขมับ พวกเจ้าช่างทำตัวราวคนไม่รู้สึกรู้สากับแผลบนตัว ยังมีหน้าไปผลักกันอีก
“สถานการณ์ทางนั้นเป็นเช่นไรบ้าง” เมื่อจ้วงจี๋มายืนตรงหน้าเถียนหลิงจึงถามออกไป หัวหน้าจ้วงส่ายหน้าเล็กน้อย นี่แสดงว่า...ค่อนข้างจะหนักหนา
“ทุกคนล้วนหายใจเข้าออกยากลำบาก ท่านกลับไปพร้อมข้าน้อยเถอะขอรับ” ดูจากอารมณ์เกรี้ยวกราดของฮ่องเต้แล้ว ประโยคหน้าที่เขาบอกล้วนเป็นความจริง ในวังตอนนี้ไม่มีใครกล้าออกไปทะเล่อทะล่าด้วยซ้ำ เกรงจะถูกพายุอารมณ์ของโอรสสวรรค์ทำให้ตกตายก่อนวัยอันควร ส่วนประโยคหลังต่อให้พระปิตุลาผู้นี้ไม่ยอมไป เขาอาจจะจัดการด้วยการฟาดให้สลบแล้วแบกขึ้นบ่าไปอีกที แต่นี่เป็นเพียงสิ่งสุดท้ายที่จ้วงจี๋คิดจะทำ
เพราะไม่แน่ว่าฮ่องเต้ที่เห็นพระปิตุลาโดนกระทำจนร่างกายรู้สึกระคายเคือง อาจจะไม่พอพระทัยแล้วอาฆาตแค้นเขาขึ้นมาก็ได้ ลำพังตนได้รับโทษตายไม่ถือว่าเป็นอย่างไร หากแต่ยามนี้ฮ่องเต้รู้แล้วว่าที่บ้านเขานั้นนอกจากตัวเองแล้วก็มี โก่วจื่อ อยู่ด้วย หากฮ่องเต้คิดจะริบเอาชีวิตน้อยๆ นั่นไป ย่อมทำได้โดยง่าย
นี่ถือเป็นปัญหาใหญ่สำหรับผู้ที่พึ่งจะหาบ่วงคล้องคออย่างจ้วงจี๋ นั่นเพราะเขาไม่อยากให้เจ้าหมาน้อยที่พึ่งเก็บมาเลี้ยงตกตายไปตามกัน หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้วันนั้นเลือกที่จะเมินเฉยก็ดีหรอก
เถียงหลิงมองสายตาดำมืดของหัวหน้าจ้วงที่คิดพันร้อยแปดแล้วก็ได้แต่พยักหน้าตกลงตามนั้นทันที แต่เด็กมาคนผู้นี้ถูกเลี้ยงมาเพื่อรับใช้แบบถวายชีวิตให้ผู้หลานของเขา ตั้งแต่วัยเยาว์มาล้วนถูกปลูกฝังว่าเถียนอี้สั่งคำใดต้องได้คำนั้น ไม่อาจบิดพลิ้วแม้เพียงนิด
ผิดคือตาย! ทำไม่ได้คือตาย! ชีวิตของหัวหน้าจ้วงล้วนมีแต่คำว่า 'มีโทษสมควรตาย' ลอยวนเวียนไปมาอยู่เหนือหัวไม่เกินชุ่น[4]นับเป็นผู้ที่อาภัพที่สุดในแคว้นนี้แล้ว
เมื่อยามจะจากเฟิ่งเจี่ยหรันแล้ว เถียนหลิงก็อดหันไปมองบุรุษผู้นี้อีกสักรอบไม่ได้ ชายหนุ่มยืนเอามือไขว่หลังมองเขายิ้มๆ ไม่ได้เอ่ยปากห้ามหากคิดจะไป เถียนหลิงจึงพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงบอกลา หวังว่าจะไม่ได้พบกันใหม่ แต่เมื่อหันหลังให้ ร่างสูงเพรียวราวจะปลิดไปกับลมนี้กลับถูกเฟิ่งเจี่ยหรันดึงเข้าไปกอด พร้อมกันนั้นก็มอบจูบอันหนักหน่วงปานจะกลืนกินทั้งจิตวิญญาณนี้มาให้ เมื่อถูกลิ้นร้อนรุกไล่ในโพรงปากทั้งฉกชิมความหวานของเขาอย่างจาบจ้วง เถียนหลิงก็เกิดอาการหูอื้อตาลายขึ้นมาอีกรอบ
หัวหน้าหน่วยจิ่นอีเว่ยอย่างจ้วงจี๋ มองภาพตรงหน้าด้วยใบหน้าร้อนวาบแทบมอดไหม้ ยังดีที่ว่าตนได้อำพรางมันไว้จึงไม่มีใครมองเห็นให้น่าอับอาย หางตาเบนไปทางคนพายที่ตนนึกชมชอบในฝีมือก็ถูกอีกฝ่ายทำหน้ายียวนกึ่งล้อเลียนมาให้ ประหนึ่งรู้ว่าเขากำลังขัดเขินไปไม่เป็นกับเรื่องพวกนี้
หากแต่เขาก็อยากถามอีกฝ่ายเหมือนกัน ว่าเจ้าชินชากับเรื่องในห้องหับเช่นนี้ได้อย่างไร!!
“...แล้วพบกันใหม่กระดิ่งน้อย” เฟิ่งเจี่ยหรันว่า ยกมือไล้ข้างแก้มที่แดงเถือกภายใต้แสงสีนวลตาของจันทร์ที่ประดับอยู่บนฟ้า ใบหน้าที่นับว่าเป็นยอดบุรุษรูปงามของชายหนุ่มยกยิ้มเจิดจ้าหนึ่งที คาดว่าภาพนี้จะติดตาคนมองไปอีกหลายวัน
เถียนหลิงจากริมน้ำตรงนั้นมาได้อย่างไรมิอาจแน่ใจได้ รู้สึกเหมือนจะเห็นตัวโตๆ ของหัวหน้าจ้วงวิ่งไล่หลังสองคนนายบ่าวที่หัวเราะฮ่าๆ จากไป แล้วจากนั้นตนก็อย่างไรต่อนะ ถูกหัวหน้าจ้วงหิ้วมากระมัง เมื่อเบิกตามองให้กว้างก็มายืนอยู่ในตำหนักสีเหลืองอร่าม ทั้งโอ่โถงทั้งหรูหราของโอรสสวรรค์เสียแล้ว ส่วนหัวหน้าจ้วงนั้นลงไปคุกเข่าโขกศีรษะอยู่ที่พื้น รายงานเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดต่อหน้าฮ่องเต้
ว่าแต่...เหตุใดเถียนอี้จึงดูโกรธปานนั้นกัน
“เจ้าว่าอย่างไรนะ!! มันถึงกับ...ถึงกับจูบพระปิตุลาต่อหน้าเจ้า!?”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมเห็นเต็มสองตาทั้งดูดดื่มทั้งลึกซึ้ง” อะไรคือดูดดื่ม อะไรคือลึกซึ้ง คนอย่างจ้วงจี๋หรือจะเข้าใจ เพียงฟังต่อจากคนอื่นแล้วได้ยินคำเช่นมาพูดก็เท่านั้น
“ชั่วช้านัก!!”
“รักษาเกียรติของราชนิกุลสกุลเถียนไม่ได้ กระหม่อมมีโทษสมควรตายหมื่นครั้ง!!” ว่าแล้วจ้วงจี๋ก็ทำท่าจะวิ่งเอาหัวไปโขกกับเสาสีทองที่มีมังกรห้าเล็บพันอยู่รอบเสา
นี่ไงล่ะ! ถึงบอกว่าเหนือหัวของหัวหน้าจ้วงไม่เกินชุ่นถึงมีแต่คำว่าตายวนเวียนไม่ห่าง
ผู้อื่นยังไม่ทันได้กล่าวหา เจ้าตัวก็รับเอาความผิดทั้งหมดมาไว้กับตัว จากนั้นก็มักจะปฏิบัติตามที่ถูกปลูกฝังมา คิดจะชดใช้ความผิดด้วยความตายอยู่ร่ำไป เป็นจางกงกงต้องเอาตัวแก่ๆ เข้าไปบังเสาไว้ไม่ให้หมียักษ์แห่งภูเขาไท่ซาน[5]นามจ้วงจี๋ตัวนี้วิ่งไปชนมัน ยามนี้ขันทีเฒ่ากอดเสาแน่นยิ่งกว่าพวกขุนนางยามกอดอนุภรรยาที่บ้านเสียอีก มหาขันทีดูจะรักมันยิ่งกว่าอะไรดี
เจ้าอย่ามาคิดทำให้มันแปดเปื้อนเชียวนา! นี่น่ะๆ หล่อมาจากทองทั้งนั้นเลยนะ! จะตายไม่ว่า ข้ายังต้องใช้คนมาเช็ดถูอีก อย่างน้อยๆ ก็ช่วยไปตายไกลๆ ตำหนักนี้ หรือไม่ก็ที่ที่มันทำความสะอาดง่ายกว่านี้หน่อยเถอะ!
หากหัวหน้าจ้วงได้ฟังความในใจของจางกงกง คงจะวิ่งไปกระโดดน้ำแทนแล้ว... เถียนหลิงคิดจะไปช่วยห้ามอีกแรง จะอย่างไรก็เห็นมาแต่เด็ก ทั้งยังไม่ถือว่าเป็นความผิดของอีกฝ่ายเสียหมด แต่ก็ถูกเถียนอี้มองอย่างคาดโทษมาทางตนเสียก่อน แววตาดุร้ายดูเหี้ยมโหดคล้ายตัวกินคนเป็นอย่างยิ่ง “ยังไม่สำนึกผิดอีก!”
น้ำเสียงโกรธเคืองปนเย็นชาทำให้เถียนหลิงชะงัก มองเถียนอี้ด้วยแววตาซับซ้อน กัดริมฝีปากของตัวเองจนเจ็บก่อนจะคุกเข่าลงกระแทกพื้นเสียงดัง “กระหม่อมผิดไปแล้ว ขอฝ่าบาทลงโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ตั้งแต่เกิดมานอกจากกราบไหว้บรรพชนแล้ว น้อยครั้งนักที่เถียนหลิงจะได้คุกเข่าลงกับพื้น เพราะทุกคนต่างรักถนอมองค์ชายน้อยผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง เดินยังไม่ให้เดินเองนับประสาอะไรกับการคุกเข่าให้เจ็บตัว
แต่บัดนี้องค์ชายน้อยผู้นั้นเติบใหญ่เป็นชายหนุ่มแล้ว
สามปีที่ผ่านล้วนเคี่ยวกรำคน ไหนเลยจะเกรงกลัวเรื่องความเจ็บเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้อีก
ความเจ็บยากจะทานทนก็เกิดขึ้นแล้ว เจ็บแค่นี้นับเป็นอะไรได้
“ใครสั่งให้เจ้าคุกเข่า!!!” เถียนอี้ได้ฟังคำพูดห่างเหิน ทั้งยังทิ้งเข่าลงกระแทกพื้นอย่างแรงโดยไม่กลัวเจ็บของเถียนหลิงก็ตวาดเสียงดัง คนในห้องต่างพากันสะดุ้งโหยง แม้ท่าทางตอนนี้จะโกรธขึ้ง แต่ความโกรธภายในใจของฮ่องเต้ได้ถูกบั่นทอนลงไปไม่น้อย
ทว่าเรื่องนี้ก็ไม่อาจลงให้โดยง่าย…
“ในเมื่อพระองค์ตรัสว่ากระหม่อมมีความผิด ทั้งกระหม่อมยังทราบความผิดดี คุกเข่าก็นับว่าสมควรแล้ว” แม้จะกล่าวว่าทราบความผิดของตน แต่แท้จริงแล้วเถียนหลิงไม่รู้และไม่ได้ยอมรับอย่างที่ปากพูดแม้แต่น้อย แววตาดื้อดึงของเจ้าตัวก็เช่นกัน ไม่มีแววว่าจะสำนึกผิดแม้เพียงนิด เถียนอี้เห็นแล้วก็พาลพาโลขึ้นมาอีกรอบ
“รู้ความผิดงั้นหรือ? ดีๆ ดี! ในเมื่อรู้ความผิดเราก็จะลงทัณฑ์ไปตามผิด! คนผู้นี้ทำตัวกระด้างกระเดื่องต่อโอรสสวรรค์ จางกงกงให้ทหารนำตัวไปขังที่คุกหลวง!!”
“ฝ่าบาท!!” จางกงกงผละออกจากเสาแล้วร้องอย่างตกใจ ส่วนจ้วงจี๋นิ่งค้างไปแล้ว โทษทัณฑ์พระปิตุลาถึงขั้นจับขังคุกหลวงตั้งแต่เมื่อไหร่กันเล่า! ที่แห่งนั้นมีไว้สำหรับนักโทษอุจฉกรรจ์ทั้งนั้น
เกิดอะไรขึ้นกับผู้ที่ประคองพระปิตุลาไว้ในมือก็กลัวตกแตก อมไว้ในปากก็กลัวจะละลายอย่างฮ่องเต้!
มหาขันทีอย่างจางกงกงรู้สึกตนจะสิ้นสติก็ตอนนี้ บรรพกษัตริย์สองรุ่นขึ้นไปต้องชี้หน้าด่าเขาแล้ว!! ในใจหวาดหวั่น แต่พลันนั่นเองที่เห็นสายตาจ้องเขม็งมาทางตนของฮ่องเต้ จางกงกงก็ได้แต่กลั้นใจเดินเร็วๆ ไปเรียกทหารหน้าตำหนักเข้ามา
คืนนี้จำต้องเชื้อเชิญพระปิตุลาให้เสด็จไปบรรทมที่คุกหลวงแล้ว ภาวนาในใจอย่างยิ่งยวดว่าหากเจ้านายทั้งสองพระองค์คืนดีกันเมื่อไหร่ ก็อย่าได้ตามมาหาเรื่องคนแก่อย่างเขาที่มิอาจขัดพระบัญชาของโอรสสวรรค์ได้เลย!