บทที่ 7 วันนี้ย่อมมิอาจเหมือนวันวาน

2688 คำ
สถานที่จองจำแห่งแว่นแคว้นนี้ ภายนอกถูกฉาบด้วยสีดำทะมึน ภายในมีห้องที่ใช้จองจำและทรมานนักโทษอยู่นับพันห้อง แสงสีส้มไหววูบจากคบเพลิงตามทางเดินที่ทอดยาว ถือเป็นสิ่งเดียวที่พอจะทำให้เห็นสภาพอันเลือนรางดั่งฝันร้ายนี้ กลิ่นเหม็นอับลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ ใต้กองฟางที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นยังปรากฏคราบเลือดสีดำคล้ำแห้งกรังติดอยู่ มิอาจทราบได้ว่าเป็นของผู้ใดและติดอยู่เช่นนี้มานานเท่าใด เมื่อเหล่านักโทษในคุกหลับใหล พวกหนูและแมลงสาบก็พากันออกจากที่ซ่อนตัว บ้างก็หาอาหาร และบ้างก็เป็นอาหารของนักโทษที่หิวโหย ขอเพียงท้องอิ่มอะไรล้วนแล้วแต่กินได้ กลิ่นอายแห่งความสิ้นหวังและไร้ซึ่งพลังชีวิต เป็นดั่งม่านหมอกก้อนใหญ่ที่คอยปกคลุมสถานที่แห่งนี้เอาไว้ ไม่มีอนาคต ไม่มีศรัทธา ไม่มีแม้แต่แสงสว่างใดที่สามารถส่องเข้ามาถึง... เถียนหลิงถูกนายทหารหน้าตำหนักของฮ่องเต้คุมตัวมาส่งให้กับผู้คุม อันที่จริงจะเรียกว่าคุมตัวก็ไม่เข้ากับบริบทที่เกิดขึ้นนัก นั่นเพราะเป็นเจ้าตัวเองที่เดินนำลิ่วๆ พาตัวเองมาส่งถึงคุกหลวง โดยมีนายทหารเดินกึ่งวิ่งตามมาอยู่ด้านหลัง เมื่อเงยหน้าขึ้นมองสถานที่แห่งนี้แล้ว จู่ๆ รสขมเฝื่อนก็ตีขึ้นในอก ด้วยไม่นึกว่าตนจะมีวันนี้ได้ วันที่ใครต่างก็ไม่รักถนอมอีกต่อไป... เอาเถิด ถือซะว่าเข้าไปสงบจิตสงบใจ ฮ่องเต้คงไม่ขังข้าไว้ตลอดกาลกระมัง ผู้คุมประจำคุกหลวงฝั่งบูรพานั้นมีนามว่า ฮัวเกาเจียน เป็นชายวัยกลางคนที่มีหนวดเครายาวเฟิ้ม ตาลึกโหล โหนกแก้มสูงกรามใหญ่ นอกจากนี้สิ่งที่โดดเด่นที่สุดบนใบหน้าหยาบหนา เห็นจะเป็นร้อยแผลเป็นที่ลากยาวจากซ้ายไปขวา คล้ายแผลที่เกิดจากการถูกฟันด้วยของมีคม ทำให้เจ้าตัวดูโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง ฮัวเกาเจียนถูกเรียกให้มารับนักโทษกลางดึกเช่นนี้จึงติดจะง่วงงุนอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นคนงามที่ถูกคุมตัวมา ดวงตาก็พลันเป็นประกายขึ้น “จางกงกงกำชับว่าให้ดูแลเป็นพิเศษ” นายทหารหน้าตำหนักกล่าวกับผู้คุมฮัวตามคำที่ถูกมหาขันทีฝากสั่งมา ไม่มีตกหล่นแม้แต่ครึ่งคำ “ชื่อแซ่และความผิด?” “เรื่องนั้นข้าเองก็ไม่ทราบ แต่คล้ายจะทำให้ฮ่องเต้พิโรธหนัก รูปร่างหน้าตาดั่งหยกสลักเช่นนี้...” กล่าวถึงตรงนี้ก็หันไปมองนักโทษที่ยืนสูงสง่าอยู่ด้านหลังตน เห็นแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ “น่าเสียดายจริงๆ” สถานที่แห่งนี้กลืนกินคนดีๆ มานักต่อนัก ไม่รู้เข้าไปแล้วคนงามจะออกมาได้หรือไม่ ฮัวเกาเจียนพยักหน้าเห็นด้วย ช่วงนี้มีใครไม่รู้บ้างว่าฮ่องเต้กำลังอารมณ์ร้าย สามวันก่อนยังยิ้มแย้มอารมณ์ดี แต่วันนี้กลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือไปเสียได้ ข่าวที่ว่าสนมชายายังถูกลงโทษกันทั้งวังหลังเริ่มแพร่สะพัดออกมาบ้างแล้ว รูปร่างหน้าตาเหนือธรรมดาเช่นนี้ คงไม่พ้นเป็นชายบำเรออีกคนของพระองค์กระมัง จากรูปการแล้วฮ่องเต้คงจะขับไล่ไสส่งเป็นการถาวร ขันทีข้างกายของพระองค์ถึงได้กำชับมาว่าต้องดูแลเป็นพิเศษเช่นนี้ เรื่องคนโปรดที่ไม่โปรดอีกต่อไป ทั้งยังกระทำความผิดนั้น นายทหารและฮัวเกาเจียนต่างก็เห็นมานักต่อนักแล้ว แต่โบราณมาชายหญิงมิอาจใกล้ชิด ตำหนักเย็นมีไว้สำหรับคุมขังสตรีฝ่ายใน แม้คนผู้นี้จะเป็นคนของฮ่องเต้เช่นเดียวกันกับสนมนางใน แต่ก็ยังมีข้อจำกัดเรื่องนี้อยู่ ด้วยเหตุนี้ ชายที่ใช้อุ่นเตียงจึงสมควรต้องส่งมายังคุกหลวงแทนตำหนักเย็น คำว่า ‘พิเศษ’ ของจางกงกง คงไม่แคล้วหมายถึงทำให้ผู้ที่บังอาจทำให้โอรสสวรรค์ขุ่นเคืองพระทัยต้องอยู่ในนี้อย่างยากลำบากเป็นแน่! พวกคนในวังก็ช่างเล่นคำเก่งกันเสียเหลือเกิน ความหมายมิอาจแปลได้ตรงตามคำพูด หากตนฉลาดน้อยกว่านี้สักหน่อย หรือไม่เคยถูกกำชับให้กระทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน คงมิอาจรู้ความหมายโดยนัยของมันเป็นแน่ ฮัวเกาเจียนคิดในใจแล้วรู้สึกนับถือตัวเองเป็นอย่างยิ่ง แต่การสรุปเอาเองจนเสร็จสรรพเช่นนี้ หากจางกงกงได้ยินเข้า คงเป็นอันต้องอยากเอาหัวไปโขกกับเสามังกรเป็นเพื่อนกับหัวหน้าหน่วยจิ่นอีเว่ยเป็นแน่ คำว่าพิเศษของมหาขันทีนั้นคือดูแลเป็นอย่างดี หาใช่อย่างที่ฮัวเกาเจียนทึกทักเข้าใจไปเองไม่! หลังจากส่งมอบตัวนักโทษเสร็จนายทหารก็จากไป ฮัวเกาเจียนจึงพาบุรุษรูปงามผู้นี้ไปเปลี่ยนชุดสำหรับนักโทษ และเนื่องจากถูกกำชับมาว่าให้ดูแลเป็นพิเศษ ผู้คุมนายนี้จึงให้ชุดที่เนื้อบางเป็นพิเศษกับเถียนหลิง พอเปลี่ยนชุดใส่รองเท้าฟางเสร็จแล้ว พระปิตุลาก็ถูกนำตัวไปคุมขังในห้องที่อยู่ห่างไกลจากนักโทษคนอื่นๆ แถมยังไม่ลืมว่าต้องห่างไกลเป็นพิเศษอีกด้วย เมื่อเดินมาถึงที่หมายฮัวเกาเจียนก็ยิ้มเย็นมองห้องตรงหน้า ห้องขังแห่งนี้มีนักโทษนอนหนาวตายมานักต่อนักแล้ว ไอเย็นในนี้สามารถแทรกซึมกัดลึกเข้าไปถึงแก่นกระดูกเลยก็ว่าได้ ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าไปข้างในเถียนหลิงก็สั่นเสียแล้ว แต่เพราะเป็นราชนิกุลผู้หนึ่ง ไม่สมควรทำตัวให้ผู้อื่นดูถูกเหยียดหยาม ทนได้ก็ทน ทนไม่ได้ก็ต้องทน ยามนี้ผู้เป็นพระปิตุลาตกอับจึงได้แต่กำมือแน่น แน่นเสียจนเล็บจิกเข้าเนื้อให้เจ็บแสบ แต่เพราะความเจ็บปวดนี้เองเถียนหลิงจึงข่มอาการหนาวสั่นของตนได้บ้าง ฮัวเกาเจียนเลิกคิ้วมองนักโทษของตนอย่างแปลกใจ คนตรงหน้าไม่แม้แต่จะร่ำไห้ขอร้องหรือตัดพ้อต่อโชคชะตา กลิ่นอายสงบนิ่งทั้งยังสูงศักดิ์แผ่ออกมาเองโดยธรรมชาตินี้เขาพึ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรกจึงนึกแปลกใหม่อยู่บ้าง นี่กระมังที่ว่ากันว่า ขึ้นชื่อว่าเป็นคนของฮ่องเต้ย่อมไม่มีผู้ใดสามัญ ขนาดชายบำเรอยังดูสูงศักดิ์ปานนี้ ไม่รู้ว่าผู้ที่ได้ตำแหน่งกุ้ยเฟยจะมีท่าทางเยี่ยงไร ก่อนจะจากไปยังไม่ลืมว่าต้องข่มขู่อีกฝ่ายให้หวาดกลัวเสียก่อน ผู้คุมหน้าบากผู้นี้จึงเอ่ยเสียงเหี้ยมกับนักโทษของตนว่า “อยู่ในนี้ก็อย่าทำตัววุ่นวาย หาไม่แล้วข้าจะให้เจ้าได้รู้รสอยู่ไม่สู้ตาย!” มือหยาบหนายื่นออกไปหวังจะผลักเถียนหลิงให้เสียหลักล้มเข้าไปในห้องขัง แต่ผลที่ได้กลับกลายเป็นเรื่องน่าอับอายของตนแทน เพียงเสี้ยววินาทีที่มือกำลังจะแตะถึงตัวแล้วนั้น อีกฝ่ายกลับเดินเข้าไปข้างในห้องขังด้วยท่วงท่าที่สง่าผ่าเผยเสียก่อน ไม่เห็นหัวผู้คุมที่เกือบล้มหน้าทิ่มเพราะผลักอากาศแทนตัวคนแม้เเต่น้อย บัดซบ! “เจ้าๆ ๆ ช่างอวดดียิ่ง! ยังคิดว่าตนเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้อยู่อีกหรือถึงได้ผยองนัก!” เพื่อระบายความหงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจของตน ฮัวเกาเจียนจึงด่าหยาบคายต่ออีกหลายคำ ในที่แห่งนี้ผู้คุมก็เหมือนดั่งฮ่องเต้ประจำคุกหลวง หากอยากใช้ชีวิตในนี้ให้ดี ใครบ้างไม่เคารพและประจบประแจงตน พอถูกกระทำเช่นนี้ใส่จึงพาลอารมณ์เสียเป็นอย่างยิ่ง เถียนหลิงทนมาสิบมิอาจทนไปถึงร้อย ตอนนี้พระปิตุลาจึงนึกโมโหขึ้นมาบ้างเหมือนกัน ข้าเพียงอยากอยู่ของข้าเงียบๆ แต่สวรรค์ใยไม่เมตตาข้าผู้นี้แม้แต่น้อย! ฮัวเกาเจียนไม่ได้รับรู้ถึงท่าทีที่เปลี่ยนของนักโทษตนแม้แต่น้อย ยังคงด่าอย่างออกรสออกชาติ กระทั่งสะอึกหยุดนิ่งไป เมื่อเห็นแสงสว่างสลัวราง ตกกระทบใบหน้าเหยียบเย็นของเถียนหลิง ยามนี้ชายหนุ่มคล้ายดั่งต๋าจี่[1]อยากลิ้มเลือดคนก็มิปาน ใบหน้างามค่อยๆ ผินหน้าไปทางผู้คุมโดยไม่ขยับตัว ดวงตาเจิดจ้าแต่อำมหิตสร้างความหวาดหวั่นให้คนมองเป็นอย่างยิ่ง พอเห็นปฏิกิริยาหวาดกลัวของผู้คุม ริมฝีปากที่เรียบสนิทก่อนหน้าพลันแสยะยิ้มน่ากลัวเหมือนภูตผี “ลงกลอนแล้วก็ออกไป หาไม่แล้ววันนี้ของปีหน้า ข้าจะให้มันกลายเป็นวันครบรอบวันตายของเจ้า!!” ท่าทางกดข่มผู้อื่นให้ขวัญหนีดีฝ่อเช่นนี้ คนสกุลเถียนมักทำได้ถนัดถนี่ราวกับหายใจเข้าออก ฮัวเกาเจียนถึงกับสติแตกวิ่งหนีเตลิดออกไป เมื่อเถียนหลิงทำท่าราวกับจะพุ่งมาฉีกอกควักหัวใจตนออกมากิน ความตกใจนี้ทำให้เขาลืมแม้แต่เรื่องสำคัญอย่างการลงกลอนห้องขังไปเสียสิ้น... เสียงกรีดร้องโหยหวนชวนขนลุก ปลุกนักโทษมากมายให้ตื่นขึ้นมากลางดึก แต่ไม่มีสักคนที่ใจกล้าลุกขึ้นมาดูว่าเกิดอันใดขึ้น ได้แต่นอนตัวสั่นระริก หวังว่าดวงตะวันจะมาถึงในเร็ววัน ไม่เช่นนั้นผีร้ายอาจจะมาเอาชีวิตของตนเป็นรายต่อไป เสียงฝีเท้าวิ่งหนีอย่างรีบร้อนของผู้คุมหายลับไป ไหล่ที่ยกตั้ง ปลายคางเชิด ของพระปิตุลาก็พลันหดเล็กลง ยามนี้เหลือแต่ตนอย่างแท้จริงแล้ว แว่วเสียงมุสิกและคนร้องเหมือนผีร้ายดังมาจากที่ไกลๆ ฟังแล้วก็น่าขันนัก ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ชอบข่มผู้อื่นเช่นนี้... เพราะยามที่ตนกระทำล้วนแต่น่ากลัวกว่าฮ่องเต้เสียอีก มองไปที่ประตูเถียนหลิงก็เห็นว่ามันยังไม่ถูกลงกลอน เขาจึงถือวิสาสะเดินไปลงกลอนขังตัวเองเสีย ก่อนจะเดินกลับมาที่เดิม ร่างเพรียวบางยืนโดดเดี่ยวอยู่กลางห้องดูน่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง คิดว่าตนยังเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้อยู่อีกเช่นนั้นหรือ? คำนี้แท้จริงแล้วเสียดแทงใจของเถียนหลิงนัก “บุปผายังโรยรา จันทรายังมีตก ใจคนล้วนพลิกผัน ก่อนนี้รักข้า วันนี้ไม่รักข้า...” น้ำตาหยดหนึ่งตกกระทบปลายเท้าอย่างเงียบงัน จะโทษใครได้ ล้วนผิดที่ตนเอง “ฝ่าบาท....เข้าบรรทมเถอะพ่ะย่ะค่ะ” จางกงกงเตือนขึ้นมาอีกรอบหลังจากเตือนไปเมื่อครึ่งเค่อก่อน นึกว่าพระปิตุลากลับมาแล้วสถานการณ์จะดีขึ้น แต่ที่ไหนได้ฝ่าบาทกลับส่งพระองค์เข้าคุกเสียอย่างนั้น! พอคล้อยหลังจากคุมตัวพระปิตุลาไปยังคุกหลวงแล้ว ฮ่องเต้ผู้ตรัสแล้วไม่คืนคำก็เอาแต่ยืนจ้องทิศที่ตั้งของมันอยู่เช่นนั้นไม่ยอมขยับพระวรกายไปไหน ปล่อยให้เป็นแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนเล่า! “จื่อฟู” เถียนอี้เรียกชื่อของมหาขันที แต่ดวงตากลับจดจ้องอยู่ทางทิศที่ต้องของคุกหลวงไม่วางตา “กระหม่อมอยู่นี่” “ในคุกหลวงหนาวมากหรือไม่” “เอ่อ...ทูลฝ่าบาท ภายในคุกหลวงนั้นทั้งชื้นทั้งเย็นเป็นอย่างยิ่ง คนดีๆ เข้าไป ไม่เกินวันก็ล้มป่วยได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” “อืม เราก็รู้...” “ฝ่าบาท ถ้าอย่างไรเรียกตัวพระปิตุลาคืนมาดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เรียกกลับมาเช่นนั้นหรือ ไม่ใช่ไม่อยากเรียก แต่... “เรียกไม่ได้ เจ้าถอยออกไปเถอะ เราจะเข้านอนแล้ว” เมื่อพระองค์ออกปากไล่ จางกงกงก็มิอาจอยู่ต่อ ได้แต่ถอยเท้าออกไปจากห้องบรรทม ฝากฝังขันทีหน้าตำหนักเล็กน้อยว่าหากมีรับสั่งก็ให้วิ่งมาแจ้งทันที เสร็จแล้วก็หอบร่างแก่ๆ ของตนเข้าไปนอนที่ห้องข้างที่จัดไว้สำหรับให้ขันที่ประจำพระองค์ไว้ใช้หลับนอน หลังจากที่มหาขันทีจากไปแล้ว ฮ่องเต้หนุ่มก็เดินกลับไปนั่งที่แท่นบรรทมของตน ปากบอกว่าจะหลับนอนแต่ใครบ้างที่หลับได้ นั่งตรึกตรองอยู่ชั่วครู่ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ตัดสินใจหอบหิ้วเอาผ้าห่มสีเหลืองทองปักลายมังกรเหินของตนเดินเข้าทางลับที่อยู่ภายในห้องไป สุดท้ายข้าก็ไม่อาจใจร้ายกับคนผู้นี้ได้เลย... เถียนอี้รู้จักเส้นทางลับที่ฮ่องเต้สืบทอดต่อๆ กันมาเป็นอย่างดี ต้องขอบคุณบรรพบุรุษขี้ระแวงของตนที่สร้างทางลับไปเสียทั่วเมือง ดึกดื่นเที่ยงคืนยามนี้ฮ่องเต้กลับไม่ได้อยู่ในห้องบรรทมอย่างที่ใครหลายคนคิด แต่พระองค์กลับเล่นหอบผ้าห่มที่มีค่าควรเมืองเดินหาคนในคุกหลวง เรื่องเช่นนี้คงไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นได้ และเพราะวรยุทธ์ของเถียนอี้มิใช่ชั่ว ฝีเท้าที่ย่ำเดินจึงเบากริบเทียบไม่ได้ยินเสียงใด ประจวบกับช่วงเวลานี้นักโทษต่างหวาดกลัวปีศาจร้ายจนไม่กล้าแม้แต่จะลืมตาขึ้นมอง... หาอยู่ครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็มายืนอยู่หน้าห้องขังที่ตั้งอยู่ห่างไกลผู้คน ภาพที่เห็นทำให้โอรสสวรรค์ขมวดคิ้วแน่นทันที สภาพเช่นนี้คนจะอยู่ได้อย่างไร ยืนสะเดาะกลอนอยู่ไม่นานฮ่องเต้หนุ่มก็เข้าไปข้างในได้ ยามนี้เถียนหลิงกำลังขดตัวนอนกอดตัวเองอยู่บนพื้น สร้างความปวดร้าวในอกของผู้หลานให้แหลกลาญเป็นอย่างยิ่ง ผ้าห่มลายมังกรถูกวางลงกับพื้นห้องขังที่เย็นเฉียบ เถียนอี้อุ้มเอาท่านอาของตนขึ้นไปนอนบนนั้นต่างฟูกนอน โชคดีที่ผ้าห่มของฮ่องเต้มีขนาดค่อนข้างใหญ่ เขาจึงสามารถพับทบแบ่งครึ่งที่เหลือห่มให้เถียนหลิงได้ เสร็จแล้วก็เอาแต่นั่งมองหน้าอีกฝ่ายเงียบๆ คำขอโทษนับร้อยพันก้องอยู่ในใจแต่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมา เถียนอี้ค่อยๆ ใช้เรียวนิ้วของตนไล่แตะใบหน้าที่เฝ้าปกป้องมาตั้งแต่เด็กอย่างรักใคร่ ความเย็นที่ได้จากการสัมผัสใบหน้าของผู้เป็นอาทำให้เขาต้องทิ้งกายกอดอีกฝ่ายผ่านผ้าห่มเอาไว้ รอจนตัวอุ่นขึ้นมาบ้างแล้วคิ้วคมจึงคลายออกจากกันได้ เห็นเจ้าเจ็บ ไม่ใช่ข้าหรอกหรือที่เจ็บกว่า… ฮ่องเต้ที่หญิงสาวมากมายย่อมพลีกายถวายตัวให้ มายามนี้กลับทอดกายเป็นคนอุ่นเตียงให้อ๋องผู้หนึ่งที่คนลืมเลือน คำที่จางกงกงพร่ำบอกว่าวรกายของฮ่องเต้มีค่าดุจทอง เมื่ออยู่ต่อหน้าเถียนหลิงแล้วเห็นทีผู้เป็นเจ้าของจะไม่ใส่ใจ กระทั่งเข้าไปแย่งที่นอนในผ้าห่มด้วยยังไม่ทำ เพราะเขากลัวคนผู้นี้จะนอนไม่สบายตัว เถียนอี้นอนอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งเสียงเคาะเกราะบอกโมงยามดังขึ้น เตือนว่าถึงเวลาที่ตนต้องละจากหน้าที่คนอุ่นเตียง กลับไปเป็นฮ่องเต้ที่ต้องตื่นไปว่าราชการยามเช้าแล้ว แม้จะเสียดายหน้าที่คนอุ่นเตียงเป็นอันมาก แต่วันนี้ยังมีราชกิจอีกมากมายที่เขาไม่ทำไม่ได้ จึงต้องฝืนกายลุกขึ้น มอบจุมพิตเบาบางดุจแมลงปอแตะบนผิวน้ำให้กับคนที่ยังหลับอยู่ เสร็จแล้วก็หอบข้าวหอบของของตนจากไปก่อนที่ใครจะรู้ตัว --------------------------------------------------------------- [1] ต๋าจี่ ปีศาจจิ้งจอกสาวในตำนาน มีใบหน้างามล่มเมือง สนมในโจ้วอ๋อง ต่อมาเป็นสาเหตุที่ทำให้แผ่นดินล่มสลาย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม