บทที่ 5 หากผ่านค่ำคืนนี้ไปได้ นับว่าไม่ง่าย

2334 คำ
“ฝ่าบาท เรื่องนี้ถึงมือหน่วยจิ่นอีเว่ยแล้ว จะอย่างไรก็ต้องตามหาพระปิตุลาเจอแน่นอน โปรดถนอมพระวรกายด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ” ค่อนคืนแล้วจางกงกงขันทีคนสนิทจึงอดเอ่ยเตือนฮ่องเต้ด้วยความหวังดีไม่ได้ หลังจากที่ตนเดินตามนายเหนือหัวกลับไปกลับมาในตำหนักไม่ต่ำกว่าสิบรอบ ทั้งที่มอบหมายให้หน่วยจิ่นอีเว่ยออกไปแล้ว แต่ฮ่องเต้ก็ยังมิคลายความกังวลลงแม้แต่น้อย “เรื่องนั้นเรารู้ดี เจ้าไม่ต้องเตือน” เถียนอี้ตอบกลับอย่างขุ่นมัว ยามนั้นเขานั่งรอเถียนหลิงกลับมาจนสุราจืดชืด แม้แต่หลีกวนถงเองก็ไม่มีท่าทีว่าจะกลับมาโดยง่าย เห็นเป็นดังนั้นตนจึงไม่คิดจะรอใครอีกต่อไป ทิ้งแม่นางน้อยที่ทำหน้าเจื่อนแล้วออกตามหาคนของตนทันที แต่เดินจนทั่วก็ไม่มีแม้แต่เงา นี่มันหมายความว่าอย่างไร!! “นิสัยพระปิตุลาเป็นเช่นไรเรารู้ดี เป็นเพราะตามใจมากเกินไป คนผู้นี้จึงคิดอยากจะไปก็ไป อยากจะมาก็มา ถ้าไม่จับกลับมาให้ได้คามือก็ไม่รู้จะหวนกลับมาอีกเมื่อไหร่ ถ่ายทอดคำสั่งลงไปอีก หากวันนี้เพื่อหาตัวพระปิตุลาแล้วหน่วยจิ่นอีเว่ยต้องขุดแผ่นดินลึกไปถึงแม่น้ำเหลือง[1]พวกเขาก็ต้องทำ!!” “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” มหาขันทีรับคำสั่งเสร็จก็รีบกุลีกุจอออกไปทำตามพระบัญชา ฮ่องเต้พิโรธหนักแล้ว! บรรยากาศกดดันหนักอึ้งเช่นนี้ แม้แต่เหตุการณ์ก่อกบฏครั้งก่อนก็เกรงว่าจะไม่หนักหนาเทียบเท่า ไม่รู้ว่าหากนำตัวกลับมาได้พระปิตุลาจะต้องเจอความยากลำบากมากขนาดไหน เห็นทีจะถึงคราวซวยของพระปิตุลาแล้ว! เมื่อคนหนึ่งไปคนใหม่ก็มา ขันทีน้อยที่รับใช้หน้าตำหนักเดินซอยเท้าถี่ๆ เข้ามาในตำหนัก เว้นระยะห่างจากพระวรกายดุจทองคำอยู่สิบก้าว ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อเจอสายตาเหี้ยมเกรียมของฮ่องเต้ตวัดมอง ได้แต่ละล่ำละลักถ้อยคำออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “ฝะ...ฝ่าบาท สนมเอกไป๋กุ้ยเฟยให้กระหม่อมมาทูลว่าวันนี้จะออกไปร่วมลอยโคมกับเหล่าสนมชายาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เถียนอี้ได้ฟังแล้วก็ทำหน้าดำทะมึนกว่าเดิม ใจเขาร้อนรนปานนี้ยังจะมีอารมณ์สุนทรีย์ใดอีก! หากไม่ใช่เรื่องข่าวว่าพบตัวพระปิตุลาแล้ว จะอันใดก็ล้วนขวางหูขวางตาทั้งสิ้น! ขันทีน้อยสัมผัสได้ถึงความไม่พึงพอใจของเจ้าชีวิตจึงรีบทิ้งเข่าลงกับพื้นอย่างแรง ตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว แม้แต่จะหายใจแรงยังไม่กล้า “เรามีราชกิจอีกมากมายต้องสะสาง พวกนางเป็นภรรยากลับรู้จักแต่จัดงานรื่นเริง ดี ดี! ฝ่ายในของเราช่างประเสริฐ! สนมขั้นกุ้ยเฟยลงไปคัดจริยธรรมหญิงหนึ่งร้อยจบ ผินลงไปคัดห้าสิบจบ งดว่างป้ายคนล่ะหนึ่งเดือน ออกไป! เราไม่ต้องการพบใครอีก!” “น้อมรับพระบัญชา” พูดเสร็จขันทีน้อยก็จากไปอย่างว่องไว เกรงว่าหากชักช้าแม้เพียงครึ่งก้าวจะขัดพระทัยฮ่องเต้จนตนต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี้ อุทยานหลวงยามนี้ถูกประดับไปด้วยโคมไฟและดอกไม้งาม เหล่าสนมของเถียนอี้นั้นมีหน้าตางดงามดุจนางฟ้านางสวรรค์ เพื่อที่ฮ่องเต้จะได้ชายตามองตนสักครั้ง แต่ละนางจึงบรรจงแต่งกายมาอย่างประณีต เมื่อเห็นขันทีประจำตำหนักวิ่งมาทางพวกตนก็แย้มยิ้มงดงาม หากแต่เมื่อถ่ายทอดกระแสรับสั่งเสร็จ เหล่าคนงามก็ทำหน้าคล้ายอมดีขมไปตามๆ กัน จึงเป็นตอนนี้เองที่ข้ารับใช้ต่างก็ได้เห็นท่าทางที่มาจากคำว่า นางฟ้าตกสวรรค์ นั้นเป็นเช่นไร หากฮ่องเต้ไม่รื่นเริง ที่ไหนจะรื่นเริงได้ คืนนี้...เห็นทีเทศกาลชีซีในวังหลวงจะล่มเสียแล้ว เรือลำน้อยแล่นลิ่วในนาวา คนในเรืออย่างเถียนหลิงจามไปแล้วสองรอบ เห็นทีจะต้องอากาศเย็นจนไม่สบายแล้วกระมัง แต่เมื่อเรือลอยเข้าไปใต้สะพานศิลาโค้งเบื้องหน้า จู่ๆ ก็หยุดนิ่งอยู่เช่นนั้น ดวงตาที่ฝืนไม่ให้หลับของพระปิตุลาจึงอดเหลือบมองไปทางคนพายด้วยความสงสัยไม่ได้ แต่เขากลับไม่เจอใครเสียแล้ว “ตกน้ำไปแล้ว?” เถียนหลิงละสายตากลับมา เปลี่ยนมาถามคนที่ตนผิงอกอยู่แทน ไม่ได้คิดว่าคนพายผู้นั้นจะตกน้ำไปเหมือนที่พูดแต่อย่างใด “เดี๋ยวก็มา คงจะมีธุระเล็กน้อย เราก็รอเขากลับมาเถิด” คำตอบพร้อมรอยยิ้มที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มทำให้คนมองคันยิบในใจเป็นอย่างยิ่ง เถียนหลิงอดกลอกตาไปมาไม่ได้ เจ้าเห็นข้ามีสมองไว้ขั้นหูเท่านั้นหรือ มีบ่าวไพร่ที่ไหนบ้างที่มีธุระส่วนตัวก็ทิ้งเจ้านายได้หน้าตาเฉย เกรงว่าจะเกิดเรื่องไม่ชอบมาพากลเสียมากกว่า แล้วที่เรือถูกพายเข้ามาที่ลับตาคนเช่นนี้คงมิพ้นซ่อนตัว หากแต่ซ่อนจากอะไร? “เจ้า...มีชื่อแซ่ว่าอย่างไร” ระหว่างที่กำลังคาดเดาไปต่างๆ นานา บุรุษแปลกหน้าก็เอ่ยถาม เถียนหลิงอดรำพึงรำพันในใจไม่ได้ว่า ใยไม่ถามอีกทีก็เทศกาลชีซีปีหน้าเสียเลยเล่า... “ข้าแซ่ เถียน มีชื่อตัวเดียวว่า หลิง” เขาตอบไปตามตรงไม่ได้คิดจะปิดบังชื่อแซ่ของตนแต่อย่างไร แต่มิคาดว่าคนผู้นี้จะร้องอ้อในลำคอเท่านั้น เขาไม่รู้จริงๆ หรือว่ายามนี้แผ่นดินถูกปกครองด้วยคนสกุลใด ช่างเป็นบุรุษที่ไม่รู้ความอะไรเยี่ยงนี้ “เสี่ยวหลิงหลิง คือกระดิ่งน้อยนี่เอง ข้าเฟิ่งเจี่ยหรัน” “อ้อ...” เถียนหลิงร้องรับในลำคอเช่นกัน ก่อนจะฝืนตัวออกจากอ้อมอกที่พิงอยู่ แล้วนั่งหันหน้าเข้าหาเฟิ่งเจี่ยหรันแทน สกุลเฟิงนี่มิใช่สกุลที่ตนไปมีเรื่องด้วยตรงหน้าประตูเข้าเมืองหรอกหรือ… เมื่อรออยู่หนึ่งเค่อ[2]คนพายยังไม่กลับมา เถียนหลิงจึงคิดจะถือโอกาสนี้พูดเรื่องเข้าใจผิดก่อนหน้าให้ชัดเจนไปพลาง “อันที่จริงแล้วข้าไม่ใช่ชายบำเรอ แต่เป็นแขกของโรงเตี๊ยมข้างๆ ที่ตามเจ้ามาเพราะข้าไม่อยากกลับไปเจอเรื่องยุ่งยาก หากคนของเจ้ากลับมาจากธุระเล็กน้อยนั่นแล้ว ก็ให้ส่งข้าตรงท่าน้ำแล้วข้าจะขอบใจมาก” เฟิ่งเจี่ยหรันนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าตอบ “ได้ อันที่จริงเรื่องนั้นข้าก็รู้ ข้ารู้ทุกอย่าง... แต่เจ้าน่ารักมากข้าจึงคิดจะขโมยกลับบ้านก็เพียงเท่านั้น” ชายหนุ่มพูดประโยคหน้าไม่อายได้หน้าตาเฉย เหมือนที่พูดถึงนั้นคือลูกแมวหลงทางหาใช่คนผู้หนึ่ง มือยกบีบจมูกรั้นส่ายไปมาเบาๆ ก่อนจะถูกปัดออกอย่างรำคาญ “...ล้วนผิดที่ตัวเจ้า” “เจ้า...” คนฟังอย่างเถียนหลิงได้แต่ทำหน้าอึ้งค้าง หากแต่เป็นการอึ้งค้างแบบผู้สูงศักดิ์จึงดูดีมิใช่น้อย นิยามที่ว่าคนงามทำอย่างไรก็งามนั้นแท้จริงแล้วก็เป็นเช่นนี้ “นายท่าน...ดูเหมือนว่าจะมีการค้นเมืองตามหาคน หาได้เกี่ยวข้องกับพวกเรา ล้วนไม่เป็นปัญหาขอรับ” คนพายผู้นั้นกลับมาก่อนจะรายงานสถานการณ์ให้ผู้เป็นนายฟังแล้วกลับไปยืนประจำตำแหน่งของตน เถียนหลิงเลิกคิ้วขึ้น มีลางสังหรณ์ว่าคนที่ตามหานั้นเกรงว่าจะเป็นตน ผู้หลานทำอะไรเอิกเกริกเสียจริง แค่อ๋องผู้หนึ่งออกมาเที่ยวงานแล้วยังไม่ถึงบ้าน กลับใช้คนออกตามหาเสียวุ่นวาย แม้อ๋องผู้นี้จะทิ้งฮ่องเต้เอาไว้ด้วยก็เถิด... แต่ไม่ได้ทำเป็นครั้งแรกเสียหน่อย... ตอนที่ตนหายไปสามปี ก็ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไรมิใช่หรือ? แล้วเหตุใดครานี้จึงเป็นเรื่องเสียเล่า “เช่นนั้นก็ไปต่อเถิด กระดิ่งน้อยเจ้ากลับมานี่ น้ำค้างลงแล้วหนาวยิ่งนัก” เฟิ่งเจี่ยหรันว่า ชายหนุ่มออกแรงกระตุกมือของเถียนหลิงเพียงแผ่วเบา ร่างนั้นก็ลอยเข้าสู่อ้อมอกของตนเช่นเดิม เฟิ่งเจี่ยหรันย่อมรู้ดี ว่าคนผู้นี้เป็นใคร แต่ได้จับแล้วก็ไม่อยากปล่อยไป เฮ้อ นี่ต้องซ่อนไว้ที่ใดหนอถึงจะไม่มีใครเจอ นึกแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ ขณะที่เรือถูกพายออกมาจากใต้ท้องสะพานที่ใช้หลบซ่อน เถียนหลิงเมื่อถูกดึงเข้าไปกกกอดอีกรอบพลันเกิดอาการหงุดหงิด จึงขัดขืนประมือกับเฟิ่งเจี่ยหรันอยู่บ้าง แต่มือมารของคนผู้นี้กลับร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง ทำอย่างไรก็ไม่สามารถหลุดพ้นได้ ที่น่าโมโหคือ ในขณะที่เขาเริ่มเหนื่อย คนน่าชังผู้นี้กลับนั่งยิ้มเรียบๆ ยื่นมือมาลูบหัวเถียนหลิงเหมือนเล่นกับแมวไม่รู้ประสาตัวหนึ่ง ตอนที่กำลังคิดจะปัดป้องมือของเฟิ่งเจี่ยหรันออกจากหัวตนนั่นเอง จู่ๆ น้ำเสียงดุดันของคนผู้หนึ่งก็ดังขึ้นที่หัวเรือ “คืนคนมา!” มิอาจรู้ได้ว่าบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ในชุดรัดกุมอำพรางใบหน้าผู้นี้ กระโดดขึ้นมายืนบนเรือตั้งแต่เมื่อไหร่ เสียงที่แฝงไปด้วยแรงกดดันมหาศาลนี้ ออกจะทำให้ตกอกตกใจอยู่บ้าง หากเป็นคนธรรมดาได้ยินเข้า เกรงว่าจะขาสั่นล้มพับไปแล้ว บุรุษเจ้าของเสียงที่ว่านี้คือ จ้วงจี๋ หัวหน้าทหารลับหน่วยจิ่นอีเว่ยที่ถูกเรียกออกมาตามหาคนยามวิกาล หลังจากที่แบ่งกำลังพลกระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว เขาก็รีบเร่งออกตามหาตัวพระปิตุลาด้วยเช่นกัน มิคาดว่าสวรรค์จะเข้าข้าง ทำให้เขาเจอตัวผู้ที่ทำให้ฮ่องเต้พิโรธหนักก่อนใครเพื่อน เมื่อมองสำรวจใบหน้าจนมั่นใจว่าถูกคนแล้ว ก็สังเกตสถานการณ์ในเรือต่อเพื่อประเมินสถานการณ์ เห็นท่าทีขัดขืนของพระปิตุลานั้น มิอาจสรุปให้เป็นอื่นได้นอกจะถูกลักพาตัวมาอย่างแน่นอน! ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจกระโดดลงเรือลำน้อยในทันที พร้อมกันนั้นก็ชักกระบี่ออกจากฝักเตรียมสู้ หากอีกฝ่ายไม่ยอมคืนญาติผู้ใหญ่ของฮ่องเต้ให้ตนโดยง่าย คนพายเรือของเฟิ่งเจี่ยหรันเอง เมื่อเห็นคนแปลกหน้าท่าทางมุ่งร้ายกระโดดขึ้นเรือของนายตน ก็กระโดดข้ามหัวผู้เป็นนายมายืนประจันหน้าทันที หากคิดจะทำชั่วช้าอันใดก็ต้องข้ามศพของเขาไปก่อน! “สามหาว เจ้าบอกว่าคืนนายข้าต้องคืนตามนั้นหรือ!!” คนพายตะโกนโต้ตอบด้วยน้ำเสียงดุดันไม่แพ้กัน ในมือยามนี้หาใช่ไม้พายอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นกระบี่เนื้อดีเล่มหนึ่ง “ข้าจะไม่พูดซ้ำอีกรอบ” จ้วงจี๋ตั้งท่ายกกระบี่ขึ้นพร้อมฟาดฟันได้ทุกเมื่อ “ดี! งั้นก็ไม่ต้องพูดอีก” คนพายพูดจบก็พุ่งเข้าไปโจมตีทันที อาศัยว่าลงมือก่อนย่อมได้เปรียบ พลันนั้นเองเสียงกระบี่สองเล่มปะทะกันเคร้งคร้าง ก็ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน เพราะเกรงว่าจะโดนลูกหลง เฟิ่งเจี่ยหรันจึงอุ้มเถียนหลิงย้ายมายังท้ายเรือ ชายหนุ่มพาพระปิตุลาถอยรนจนสุดลำเรือก่อนจะนั่งลง ตอนนี้แม้สถานการณ์ดูจะร้ายแรง แต่มือสองข้างของเขายังกอดอยู่ที่เอวอุ่นไม่ยอมปล่อย ปลายคางได้รูปเกยไว้ที่ไหล่อีกฝ่ายด้วยท่าทางเบาสบายเฉกเช่นเดิม ดวงตาคมจับจ้องที่การต่อสู้ตรงหน้าด้วยประกายสนุกเล็กน้อย ครู่ต่อมาก็นึกอะไรได้จึงเอ่ยปากถามคนในอ้อมอกตน “อันที่จริงแล้วข้ามีขนมชิ้นเล็กๆ อยู่ หลิงหลิงเจ้าหิวแล้วหรือไม่” เฟิ่งเจี่ยหรันถามพลางใช้คางของตนกลึงวนบนไหล่เล็กเป็นวงกลม เถียนหลิงยังไม่ทันได้ตอบสิ่งใด เขาก็ถือวิสาสะล้วงเอาขนมในอกเสื้อยัดใส่มือนิ่มให้อีกฝ่ายแล้ว เถียนหลิงมองก้อนขนมที่ใช้แป้งปั้นเป็นรูปดอกไม้ในมือตนด้วยความรู้สึกประหลาดใจ เมื่อยกขึ้นมาดูใกล้ๆ กลิ่นกุ้ยฮวาก็ส่งกลิ่นหอมออกมาเตะจมูก “อย่าบอกว่าเจ้าพกสิ่งนี้ติดตัวไว้ตลอด?” กลิ่นหอมประหลาดที่ตนได้กลิ่นออกมาจากกายอีกฝ่าย แท้จริงแล้วคือสิ่งนี้หรือ “อือ” เฟิ่งเจี่ยหรันครางรับ ดวงตายังคงเพ่งมองผู้ที่ตีรันฟันแทงได้สูสีกันอยู่หน้าเรือ เมื่อกระบี่กรีดผ่านอากาศยามใดก็ก่อให้เกิดเสียงดังจนแสบหู ใบมีดที่คมกริบเชือดเนื้อเฉือนหนังกันไปมาเมื่อมิอาจหลบทัน แต่กระนั้นก็ทำให้บาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยังไม่ถึงกับตกตายแต่อย่างใด ด้วยทั้งคู่ต่างก็เป็นยอดฝีมือ “เจ้าว่าใครจะชนะ” “แน่นอนว่าต้องเป็นจ้วงจี๋” เถียนหลิงยืดอกขึ้นเล็กน้อยแล้วตอบด้วยความมั่นอกมั่นใจ แม้หัวหน้าจ้วงจะอำพรางกายมา แต่แววตาที่ดุดันเหมือนสัตว์ร้ายประกอบกับรูปร่างสูงใหญ่ปานขุนเขาเช่นนั้น ย่อมมีเพียงหนึ่งไม่มีสอง คนที่เคยได้พบเจอมาก่อน หากเพ่งมองให้ดีก็สามารถจดจำได้แล้วว่าเป็นผู้ใด --------------------------------------------------------------- [1] แม่น้ำเหลือง หวงฉวน (**) เป็นแม่น้ำในยมโลก [2] หนึ่งเค่อ ราว 15 นาที [3] กุ้ยฮวา ดอกหอมหมื่นลี้ [4] ชุ่น เท่ากับ 1 นิ้ว [5] เขาไท่ซาน (**)ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นภูเขาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในบรรดาห้าเขาที่ยิ่งใหญ่ในภาคกลางของจีน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม