บทที่ 8 สิ่งใดควรทำ ล้วนต้องกระทำ

2764 คำ
เสียงเคลื่อนไหวเล็กน้อยภายในห้องบรรทม ทำให้ขันทีน้อยเดินไปเคาะประตูเรียกจางกงกงให้ออกมาถวายงาน เมื่อฮ่องเต้ตรัสว่าเข้ามาได้ มหาขันทีจึงให้นางกำนัลที่รอเปลี่ยนฉลองพระองค์อยู่หน้าตำหนักเข้าไปพร้อมกัน เนื่องจากวันนี้มีราชทูตจากต่างแคว้นมาเยือน เพื่อให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และมั่งคั่งของเเคว้น ฉลองพระองค์ที่สวมใส่วันนี้จึงเป็นชุดดำแขนกว้างเนื้อผ้าปักลายมงคลทั้งสิบสอง และพระมาลาห้อยลูกปัดเก้าเม็ดสิบสองสาย หลังจากนางกำนัลถวายงานเสร็จแล้วพวกนางก็ถอยออกไปอย่างรู้หน้าที่ ในห้องยามนี้จึงเหลือเพียงฮ่องเต้กับจางกงกงเท่านั้น มหาขันทีกำลังชื่นชมนายเหนือหัวของตนอยู่ในใจ เพราะเถียนอี้ในชุดเต็มพิธีการนั้นดูน่าเกรงขามหาใดเปรียบ สมกับที่เป็นผู้บุญหนักศักดิ์ใหญ่ของแคว้นแต่กำเนิด ชื่นชมอยู่มิทันไรม่านลูกปัดบนพระมาลาก็พลันสั่นไหวแกว่งไปมาอย่างรุนแรง เหตุเป็นเพราะผู้ที่สวมใส่อยู่เกิดจามออกมาเสียงดัง ทำให้เสียกิริยาไปบ้างเล็กน้อย แถมปลายจมูกของฮ่องเต้ยังแดงก่ำคล้ายคนเป็นหวัด ผลของการทำตัวเป็นคนอุ่นเตียง ทั้งยังนอนรับไอเย็นในห้องขังทั้งคืนก็เป็นฉะนี้เอง... “ฝ่าบาท ให้กระหม่อมเชิญหมอหลวงมาตรวจดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” “ไม่ต้อง เราแค่เป็นหวัดเล็กน้อย เจ้าให้คนไปต้มน้ำขิงมาก็พอ อีกอย่าง...” “พ่ะย่ะค่ะ” “ส่งไปให้พระปิตุลาด้วย” “หมอหลวงหรือน้ำขิงพ่ะย่ะค่ะ” จางกงกงเอ่ยถามให้ชัดเจน แต่เมื่อเจอสายตาที่ตวัดมองของฮ่องเต้ก็พลันเข้าใจ อยากจะเคาะหัวของตนเอาขี้เลื่อยออกสักรอบ บ่าวเฒ่าช่างไม่รู้ความยิ่ง สำหรับพระปิตุลา แน่นอนว่ามันก็ต้องเอาไปทั้งสองอย่างอยู่แล้ว! เถียนอี้พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะนึกได้ว่าชุดที่เถียนหลิงใส่นั้นคล้ายจะบางเกินไป จึงกล่าวกับขันทีคนสนิทเพิ่มว่า “จริงสิ... เราเห็นว่านักโทษแม้จะมีความผิดแต่ก็ยังเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง ทั้งยังเป็นพสกนิกรในแคว้นของเรา เราจึงเห็นสมควรให้เปลี่ยนชุดของนักโทษที่ไม่ได้กระทำความผิดร้ายแรงเสียใหม่” จางกงกงได้ยินแล้ว เรียวคิ้วสีขาวก็พลันขมวดเข้าหากันทันที อดเอ่ยทักท้วงออกมาไม่ได้ “จะดีหรือฝ่าบาท กระหม่อมกลับคิดว่าผู้ที่ทำความผิดนั้น ย่อมต้องอยู่อย่างยากลำบากเพื่อชดใช้ความผิด นี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ” หากอยู่ในคุกแล้วสบายเกินไป ใครยังจะเกรงกลัวกฎหมายบ้านเมืองอีก นอกจากว่าพระองค์จะมีจุดประสงค์แอบแฝงอย่างอื่น... “จื่อฟู เจ้าคำใจคำว่า เเสร้งรู้เเสร้งไม่รู้ หรือไม่” เถียนอี้ปรายตามองอย่างเย็นชา ที่เขาพูดออกมาทั้งหมดไม่ได้ต้องการความคิดเห็นแม้แต่น้อย ข้าเพียงแค่พูดให้เจ้าไปทำ! นี่ต้องให้ข้าพูดออกมาเลยหรือไม่ว่าข้าหมายถึงพระปิตุลา! “ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย กระหม่อมจะจัดการเป็นอย่างดีไม่ให้ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย พระปิตุ... เอ่อ กระหม่อมหมายถึง นักโทษจะต้องได้รับความเป็นอยู่ที่ดีไม่แพ้... ไม่แพ้คุกหลวงของเเคว้นอื่นอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อเจอสายตาเหยียบเย็นราวกับมองคนตายของฮ่องเต้ จางกงกงก็พลิกลิ้นแทบไม่ทัน เมื่อครู่รู้สึกราวกับตนยื่นขาข้างหนึ่งเข้าไปในแดนยมโลกแล้ว แม้จะฟังไม่เเนบเนียนเท่าไหร่ แต่ก็นับว่ายังรู้จักพูดอยู่... เห็นว่าอีกฝ่ายเข้าใจดีแล้ว เถียนอี้ก็สะบัดแขนเสื้อจนเกิดเสียงดังพรึบ ยืดตัวขึ้นเล็กน้อยแล้วเดินออกจากตำหนักของตนเพื่อขึ้นเกี้ยวไปว่าราชการ นัยน์ตาคมกล้าทอดมองท้องฟ้าเบื้องบนที่กลายเป็นสีแดงฉานดั่งอาบย้อมไปด้วยโลหิต วันนี้... เรื่องที่ตนสมควรทำ ก็ต้องทำให้เสร็จ เพราะพายุใหญ่ใกล้จะมาแล้ว บัลลังก์มังกรของฮ่องเต้นั้นอยู่สูงหลายจั้ง ทั้งยามนี้มีลูกปัดสิบสองสายบดบังใบหน้าของพระองค์ หากฮ่องเต้ไม่ตรัสถามก็ไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์ได้โดยตรง ได้แต่ยืนสำรวมกิริยาวาจาใจมองคอคนข้างหน้า สิ่งเหล่านี้ล้วนยึดเป็นหลักปฏิบัติกันมาช้านาน ดังนั้นหลีกวนถงผู้ที่พึ่งจะเข้ามาในแวดวงขุนนางได้ไม่นาน จึงไม่อาจรู้ได้ว่า แท้จริงแล้วบุรุษที่ตนนึกชังน้ำหน้าเมื่อคืน ก็คือฮ่องเต้ที่นั่งสูงสง่าน่าเกรงขามอยู่บนบัลลังก์มังกรผู้นี้ วันนี้ถือเป็นวันที่เหล่าผู้สอบได้ทั้งสามลำดับ ต้องมารายงานตัวต่อหน้าโอรสสวรรค์เป็นครั้งแรก แม้แต่ผู้ที่สุขุมนุ่มลึกหนักหนาอย่างหลีกวนถงเอง ยังอดตื่นเต้นจนฝ่ามือชื้นไม่ได้ แต่หลีกวนถงเป็นใครกัน! เขาสามารถวางตัวเป็นปัญญาชนที่เมินเฉยต่อความตื่นเต้นของตัวเองได้อย่างเเนบเนียน ทั้งยังทำตัวสุภาพเรียบร้อยน่าคบหาเป็นอย่างยิ่ง “จำได้ว่าวันนี้ผู้สอบได้สามอันดับแรกต้องมารายงานตัว ก้าวออกมาให้เราเห็นหน่อย” หลังจากถวายพระพร ถกเรื่องไม่เป็นเรื่องและเรื่องที่ควรจะเป็นเรื่องไปแล้ว ฮ่องเต้ก็ตรัสหาผู้ที่สอบได้สามอันดับแรกต่อทันที บัณฑิตทั้งสามจึงก้าวออกไปยืนด้านหน้าตามลำดับ หลีกวนถงยามนี้รู้สึกตนมีหน้ามีตาไม่น้อย นั่นเพราะเขาได้ยืนอยู่ในลำดับแรกทำให้ดูเหนือกว่าคนทั้งอื่นอยู่บ้าง เมื่อประจำที่ครบเรียบร้อยแล้วก็เริ่มรายงานตัวทีละคน กระทั่งรายงานตัวเสร็จฮ่องเต้ก็เงียบไปพักหนึ่ง พลอยทำให้ทั้งท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบไปด้วย เสียงเคาะนิ้วดังกระทบโต๊ะเป็นจังหวะของพระองค์ยิ่งทำให้เล่าขุนนางทั้งหลายรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา ได้แต่แอบมองหน้ากันเลิกลัก ดังนั้นผู้ที่ใจกล้าหน่อยจึงแอบเงยหน้าขึ้นไปมอง แต่ทว่าม่านลูกปัดบนพระมาลานั้นช่วยอำพรางสีหน้าของพระองค์ได้เป็นอย่างนี้ ทำให้ยากที่จะจับความรู้สึกบนพระพักตร์ได้ มะ มิใช่ว่ากริ้วอันใดอีกนา! ขุนนางแต่ละคนได้แต่ภาวนา ขอให้ตอนออกไปวันนี้ตนยังมีหัวอยู่บนบ่าครบถ้วนด้วยเถิด ส่วนสาเหตุที่แท้จริงของการเงียบไปนั้น เป็นเพราะเถียนอี้กำลังตรึกตรองเรื่องบางอย่างอยู่ หลีกวนถง คนผู้นี้มีความสัมพันธ์บางประการกับเถียนหลิง ยามนี้หมั้นหมายกับบุตรสาวของมหาเสนาบดีไป๋ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าจอหงวนปีนี้เป็นคนของใคร จิ้งจอกเฒ่าไป๋คงจะดีใจจนเนื้อเต้นไปหมดแล้วกระมังที่ได้แขนขามาเพิ่ม เถียนอี้ลำดับความสัมพันธ์ต่างๆ พลางก่นด่าขุนนางของตนอยู่ในใจไปด้วย เมื่อเห็นว่าขุนนางรักแต่ละคนเริ่มจะขาดอากาศหายใจจากบรรยากาศกดดันที่ตนจงใจสร้างให้ลำบากกันถ้วนหน้าแล้ว ผู้เป็นฮ่องเต้ก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ้มเพราะเสนาะหู ลดความตึงเครียดเมื่อครู่ไปเสียสิ้น “การตีความตามหัวข้อที่เราเป็นผู้กำหนดให้ของพวกเจ้านั้น เราอ่านแล้วก็รู้สึกปลื้มใจเป็นอย่างยิ่งที่คนรุ่นใหม่มีแนวคิดก้าวหน้าพัฒนาแว่นแคว้น” พูดถึงตรงนี้ผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ก็ปรายตาลงไปมองเบื้องล่างของตนแล้วแย้มยิ้มอบอุ่น มหาขันทีเหลือบไปเห็นก็พลันขนลุกซู่ขึ้นมา “โดยเฉพาะจอหงวนปีนี้เราเห็นเป็นผู้มากฝีมือโดยแท้” “ขอบพระทัยฝ่าบาท” แม้จะเป็นคำชมแต่ภายในใจหลีกวนถงกลับรู้สึกพิกลยิ่งนัก ต่างจากไป๋เติงจวินบิดาของไป๋รั่วหลินที่รู้สึกได้หน้าได้ตาเมื่อฮ่องเต้ตรัสชมว่าที่ลูกเขยของตน ไม่เสียแรงที่ตนช่วยผลักดัน นับว่าบุตรสาวของเขาตาถึงแล้ว ถ้าไม่เป็นเพราะถ้อยคำต่อมาของฮ่องเต้จะทำให้เขาโมโหแค้นใจ กระทั่งอยากไอออกมาเป็นเลือดละก็ “งั้นเอาเช่นนี้ก็แล้วกัน เมื่อครู่เราได้คิดมาดีแล้ว ตำแหน่งขุนนางนั้นเราเห็นสมควรให้จอหงวนหลีไปเป็นผู้ช่วยใต้เท้าเฟิงที่สำนักตรวจการ อันดับสองฉวนจื่อเจ้าไปเป็นผู้ช่วยใต้เท้าไป๋แล้วกัน ส่วนอันดับสามเจ้าไปช่วยกรมอารักษ์ก่อน ผลงานโดดเด่นเมื่อไหร่ก็ให้ส่งรายชื่อขึ้นมา เราจะพิจารณาเลื่อนขั้นให้เอง” พูดเสร็จก็แย้มสรวลให้ขุนนางใหญ่ทั้งสอง “ใต้เท้าเฟิง ใต้เท้าไป๋พวกท่านคิดว่าเราพูดถูกหรือไม่” ฮ่องเต้ตรัสถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร แต่กลับซ่อนคมมีดเอาไว้เสียสนิท ลองเจ้าบอกว่าฝ่าบาทตรัสผิดแล้วดูสิ!! ตั้งแต่ขึ้นครองราชย์ฮ่องเต้ก็ไม่ปรารถนาให้ขุนนางเล่นพักเล่นพวก ยามนั้นพวกตนต่างก็พยักหน้ากันอย่างแข็งขัน ตอบว่าทุกคนต่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่มีแบ่งแยกแน่นอน หากตอนนี้เลือกที่จะออกมายืนกรานว่าไม่สมควรทำเช่นนั้น มิเท่ากับว่ากำลังกลืนน้ำลายตัวเองหรอกหรือ แถมยังมิวายกลายเป็นที่เพ่งเล็งของโอรสสวรรค์เพิ่มไปอีกข้อ เฟิงอู๋ฉีนั้นไม่ต้องคิดให้เสียเวลาเขาก็ตอบอย่างแข็งขันว่า “พระองค์ตรัสถูกแล้ว โปรดวางพระทัยกระหม่อมจะดูแลจอหงวนหลีเป็นอย่างดี” ส่วนไป๋เติงจวินได้แต่อึกอัก เพราะใจไม่อยากปล่อยให้คนของตนไปอยู่กับเฟิงอู๋ฉี เมื่อถูกเถียนอี้เลิกคิ้วขึ้นมองกดดันมาทางตนก็ยอมตอบรับแต่โดยดี ดีขมที่ทรงป้อนให้ถึงปาก ขุนนางเฒ่าได้แต่กล้ำกลืนมันลงคอ นี่จึงเรียกว่าฮ่องเต้เล่นงานขุนนางใหญ่แล้ว!! ในราชสำนักนี้ใครบ้างไม่รู้ว่าอัครเสนาบดีไป๋เติงจวินกับ เสนาบดีสำนักตรวจการเฟิงอู๋ฉีตั้งแต่ไหนแต่ไหร่มา ก็ถือเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน มาคราวนี้ฝ่าบาทถึงกับเล่นตลกด้วยการโยนคนของพวกเขาไปอยู่กับอีกฝ่าย ส่วนอันดับสามผู้ไม่มีคนหนุนหลังก็รอดตัวไปได้อย่างหวุดหวิด แต่สองอันดับแรกนั้น พวกเจ้าทำงานให้ตายไปเถอะ! ได้ชื่อว่าเป็นคนของศัตรูมีหรือจะยอมให้เลื่อนขั้นง่ายๆ ไม่รังแกเจ้าก็ดีถมไปแล้ว!! “อ้อ... คล้ายเราจะได้ยินมาว่า บุตรสาวของใต้เท้าไป๋หมั้นหมายกับจอหงวนหลีแล้ว เช่นนั้นเราจะถือโอกาสนี้ส่งเสริมงานมงคลให้เลยแล้วกัน” ไป๋เติงจวินได้ยินก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้างเหมือนได้น้ำตาลหลังทานยาขม น้อยครั้งที่ฮ่องเต้ผู้นี้จะพระราชทานสมรสให้ใคร ถือได้ว่างานมงคลครั้งนี้ตนจะมีหน้ามีตาเป็นอย่างยิ่ง “ไว้เราจะออกราชโองการตามไปทีหลัง ราชเลขามู่อย่าลืมเตือนเราเรื่องนี้ล่ะ” “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” “เอาล่ะพวกเจ้าถอยกลับไปทีเดิมได้ เเขกบ้านเเขกเมืองมิอาจปล่อยให้รอนาน เราจะเรียกราชทูตจากแคว้นเสียนเข้าพบเสียที” เมื่อข้างในอนุญาตแล้ว ขันทีจึงร้องประกาศด้วยเสียงแหลมเล็ก ขบวนของราชทูตแคว้นเสียนที่มารออยู่หน้าท้องพระโรงก็ทยอยกันเดินเข้าไป ผู้ที่เดินนำหน้าขบวนนั้นเป็นบุรุษรูปงามหาตัวจับยากผู้หนึ่ง ยามเมื่อเดินผ่านก็จะได้กลิ่นหอมรวยรินออกมาจากกายอีกฝ่าย เมื่อมากันครบแล้วก็นำคนของตนถวายพระพรฮ่องเต้ “กระหม่อมเฟิ่งเจี่ยหรันหัวหน้าคณะราชทูตจากแคว้นเสียนถวายพระพรฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี” “ทุกท่านลุกขึ้นได้ ต้องเดินทางมาไกลลำบากพวกท่านแล้ว” เถียนอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังเป็นมิตรอย่างยิ่ง สิ่งใดที่ฮ่องเต้สมควรต้องพูดตามธรรมเนียมก็ต้องพูดไป เช่นเดียวกันกับที่นัยน์ตาใต้ม่านลูกก็ปัดลอบสังเกตชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าคณะทูตอย่างเฟิ่งเจี่ยหรันไปด้วย “หามิได้พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท มาครั้งนี้เพื่อเจริญสัมพันธไมตรี หาได้ยากลำบากแต่ประการใด” แคว้นเสียนกับแคว้นฉีนั้นต่างเป็นแคว้นใหญ่ เสียนใต้ ฉีเหนือ ตรงกลางของทั้งสองคือแคว้นเล็กต่างๆ แม้จะเป็นแคว้นใหญ่เหมือนกัน แต่ไม่ไม่เคยล้ำเส้นกันมาก่อน ความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นไม่ใช่บ้านใกล้เรือนเคียง แต่ก็มิใช่ห่างเหินเสียทีเดียว เพราะตอนที่เถียนอี้ขึ้นครองราชย์ ฮ่องเต้ของแคว้นเสียนก็ได้ส่งของล้ำค่ามากมายมาเพื่อแสดงความยินดีด้วยเช่นกัน มาวันนี้ฮ่องเต้แคว้นเสียนยังฝากสิ่งของล้ำค่ามาให้อีกหลายหีบ ส่วนใหญ่เป็นของหายากจากท้องทะเลเนื่องจากเป็นแคว้นที่ติดกับทะเลและทำการค้าขายทางทะเลเป็นหลัก ต่างจากแคว้นฉีของเถียนอี้ที่เน้นการค้าขายตามเส้นทางสายไหม รายนามสิ่งของมีค่าที่ถูกเอ่ยออกมาล้วนแต่ทำขุนนางทุกคนตกตะลึง มิคาดว่าฮ่องเต้ของแคว้นเสียนจะยอมนำสิ่งของเหล่านี้มามอบให้โดยง่าย แต่ในโลกนี้ไม่มีสิ่งของใดที่ผู้อื่นให้ท่านโดยไม่มีจุดประสงค์ เถียนอี้มองออกถึงจุดนี้ว่าแคว้นเสียนมาวันนี้ก็เพื่อขอใช้เส้นทางการค้าของตน เนื่องจากยามนี้มีโจรสลัดออกปล้นและทำลายทรัพย์สิน สร้างความเสียหายเป็นจำนวนมหาศาล ช่วงนี้กำลังอยู่ในระยะปราบปราม ทำให้ประชาชนไม่สามารถทำการค้าขายออกเรือได้ชั่วคราว เมื่อเงินขาดมือก็ย่อมเกิดปัญหายิบย่อยตามมา ดังนั้นทางการจึงต้องหาทางแก้ไขเร่งด่วนด้วยการเบนเข็มมาทำการค้าทางบกไปพลางก่อน ซึ่งจะทำเช่นนั้นได้ก็ต้องขอเจ้าของเส้นทางอย่างเถียนอี้เสียก่อน เรื่องนี้แคว้นฉีย่อมไม่เสียเปรียบทั้งยังได้ค่าผ่านทางและสัมพันธ์อันดีกับแคว้นทางใต้ ยิ่งยามนี้ชนเผ่านอกด้านเริ่มคิดการใหญ่ ตอนนี้เสียนกับฉีเป็นพันธมิตรกันย่อมดีกว่า “นอกจากสมบัติล้ำค่าเหล่านี้แล้ว ฮ่องเต้หรวนเฉิงของเรายังหวังว่าจะเกิดงานมงคลระหว่างสองแคว้น ฝ่าบาทมีความคิดเห็นประการใดพ่ะย่ะค่ะ” เฟิ่งเจี่ยหรันกล่าว แน่นอนว่าเถียนอี้มิสามารถส่งองค์หญิงแต่งออกได้ เพราะยามนี้ตนไม่มีองค์หญิงสักพระองค์ แต่ถึงแม้จะมีเถียนอี้ก็ไม่คิดจะส่งบุตรสาวของตนไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง หากอยากเห็นงานมงคลจำต้องส่งองค์หญิงของฝ่ายนั้นมาแต่งแทน ในขณะเดียวกันนี้เองที่ขันทีน้อยเข้ามากระซิบข้างหูจางกงกง มหาขันทีเมื่อได้ฟังจนจบความก็ทำหน้าอยากร่ำไห้ ก่อนจะเดินเร็วๆ มากระซิบข้างพระกรรณของฮ่องเต้เพื่อรายงานต่อ เถียนอี้ได้ฟังแล้วก็ขมวดคิ้วก่อนจะโบกมือให้ขันทีคนสนิทถอยออกไป หันมาพูดกับเฟิ่งเจี่ยหรันต่อ “นับเป็นเรื่องดี แต่ไว้เราจะเรียกท่านทูตมาเพื่อคุยเรื่องนี้อีกรอบ วันนี้ก็พอแค่นี้ก่อนเถิด พวกท่านคงเหนื่อยกันแล้ว เราได้ให้คนจัดที่พำนักไว้รองรับแล้ว หากขาดตกบกพร่องสิ่งใดก็บอกกล่าวได้เสมอ สามวันหลังจากนี้เราจะจัดงานเลี้ยงใหญ่รับรองให้สมเกียรติ ระหว่างนี้ก็เชิญพวกท่านเที่ยวเล่นให้สำราญ” “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ...กระหม่อมจะรอ” ทูตหนุ่มผู้มีกลิ่นกายหอมโค้งรับบัญชา ยามเมื่อก้มหัวลงใบหน้าก็เปื้อนรอยยิ้มกริ่มบางประการ ฮ่องเต้ออกปากไล่แล้วใครยังจะอยู่ต่อ ขุนนางและคณะทูตในท้องพระโรงต่างก็ถวายบังคมลา ระยะเวลาปฏิบัติที่ไม่สั้นไม่ยาว ผู้เป็นฮ่องเต้ไม่เคยถือเป็นปัญหามาก่อน แต่มายามนี้คนที่รีบร้อนอย่างเถียนอี้คล้ายจะขาดใจตายให้ได้ เมื่อเสร็จสิ้นพิธีการอันน่ารำคาญใจนี้แล้วก็รีบวิ่งขึ้นเกี้ยวสีเหลืองทองกลับตำหนักเพื่อเปลี่ยนฉลองพระองค์เป็นชุดสามัญชน เสร็จแล้วก็กระโดดคร่อมม้าเหงื่อโลหิต ควบขี่มันออกจากวังมุ่งตรงไปยังคุกหลวง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม