บทที่ 9 ผิดถูกมิอาจกำหนดใจ

4106 คำ
“คุณชายท่านต้องกินยานะขอรับ ไม่เช่นนั้นจะไม่หายโดยง่าย” ยามนี้หมอหลวงถึงกับน้ำตาตกใน ตนนั้นถูกมหาขันทีเรียกให้ออกมาตรวจอาการคนถึงในคุกหลวงตั้งแต่เช้าตรู่ กำชับฝากฝังเสียดิบดีว่าคนผู้นี้อย่าให้โรคใดมากล้ำกราย หาไม่แล้วจะเกิดปัญหาใหญ่เช่นเดียวกับดินถล่มฟ้าทลายตามมาได้ หากทำได้ดีจะมีรางวัลให้อย่างงาม เมื่อตรวจดูแล้วก็พบว่ามีอาการไข้หวัดอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น กินยาไม่กี่เทียบก็หายดี รางวัลที่ว่าย่อมไม่หลุดมือไปไหนแน่นอน! หากแต่ปัญหาอยู่ตรงที่คนไข้ไม่ยอมกินยา! หมอหลวงกู้คุกเข่าก็แล้ว โขกหัวก็แล้ว บอกว่าอย่างไม่ขมมากทั้งยังกินให้เป็นตัวอย่างก็แล้ว คุณชายสูงศักดิ์ผู้นี้ก็ไม่ยอมชายตามองถ้วยยาสักนิด! “ข้าสบายดี” เถียนหลิงที่นั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงตอบแล้วไอแค่กๆ ใส่หน้าหมอหลวง มือก็โบกไล่อีกฝ่ายไปด้วย นี่ยังบอกว่าสบายดีอีกหรือ!! “เหนื่อยแล้ว ท่านออกไปเถอะ ข้าอยากอยู่คนเดียว” เถียนหลิงไล่เสร็จก็ปรายตาไปทางผู้คุมที่ยืนอยู่หน้าประตูจนอีกฝ่ายสะดุ้ง เห็นได้ชัดว่าความน่าสะพรึงกลัวจากเมื่อคืนยังมีผลกระทบต่อจิตใจเขาอยู่ ไม่ต้องใช้วาจาให้เสียเวลา เพียงแค่ใช้สายตาฮัวเกาเจียนก็รู้ได้ว่าตนต้องทำอย่างไรต่อ ร่างบึกบึนปั้นหน้าเหี้ยมโหดลากหมอหลวงออกไปทันที หากท่านไม่ไป ข้าจะไปแล้วนาท่านหมอ! “ปล่อยข้านะ! คุณชายอย่าลืมกินยา ท่านต้องกินยานะ...คุณชายยย...” ไม่นานเสียงร้องโหยหวนของหมอหลวงก็เงียบหายไป เถียนหลิงหันไปมองถ้วยยาบนโต๊ะแล้วเบือนหน้าหนี เค้นเสียงร้องเหอะออกมาหนึ่งคำ ผู้หลานเจ้าคิดจะเล่นอะไรกับข้ากัน... มุมปากของพระปิตุลาพลันปรากฏรอยยิ้มเบาบาง ก่อนที่มันจะเลือนหายไป ยามเช้าวันนี้ตนตื่นมาก็เจอกับจางกงกงที่เดินยิ้มหน้าบานเข้ามา ก่อนที่รอยยิ้มกว้างจะหุบฉับเมื่อเจอสภาพห้องขังของเขา พอได้สบตากับพระปิตุลาที่ยืนอยู่กลางห้องแล้ว ร่างในชุดขันทีก็คุกเข่าลงกับพื้นอย่างคนโรยแรง อันที่จริงแล้วเถียนหลิงคิดว่าแท้จริงแล้วจางกงกงไม่ได้ตั้งใจจะคุกเข่า แต่เป็นเพราะขันทีผู้นี้กำลังหน้ามืดจะเป็นลมเสียมากกว่า หลังขอพระราชทานอภัยโทษตายเสร็จ ร่างชราก็แล่นไปจัดการผู้คุมต่อทันที ข้าบอกว่าให้ดูแลอย่างดี นี่มันดีกับผีน่ะสิ! หรือเจ้าดีกับทวดเจ้าเช่นนี้หา!! ด่าผู้คุมจนหนำใจหน้าม่อยไปข้างแล้ว จางกงกงก็รีบร้อนเรียกเหล่าข้ารับใช้มาช่วยกันทำความสะอาดห้องขังเสียยกใหญ่ เครื่องเรือนน้อยใหญ่หลายชิ้นถูกนำเข้ามา ตั้งแต่เตียงตั่งจนถึงโต๊ะเก้าอี้ กระทั่งโคมไฟและรูปวาดพู่กันยังนำเข้ามาด้วย แจกันลายครามปักดอกจวี๋ฮวา[1]หลากสีนี่ก็เช่นกัน เจ้าเอามาไว้ให้ใครมอง! บัดนี้ในห้องที่แต่เดิมมีสภาพย่ำแย่ทั้งยังหนาวเย็นกลับคล้ายห้องของคหบดีผู้หนึ่ง หาใช่นักโทษแห่งคุกหลวงอย่างที่ควรจะเป็น ครั้นจัดห้องให้ใหม่แล้วก็ยังมีน้ำขิงและหมอหลวงตามมาตรวจอาการให้ถึงที่ น้ำขิงนั้นก็พอกินได้สามสี่คำอยู่ก่อนจะเลื่อนหนี ทว่าน่าเสียดายยาที่หมอหลวงต้มมา แม้จะพิถีพิถันทำมาอย่างดี แต่มันกลับไม่ได้มีค่าพอที่เถียนหลิงจะปรายตามอง แต่ไหนแต่ไรมา...เรื่องที่น่าปวดหัวที่สุดของผู้ใหญ่ในราชสกุลเถียนก็คือ องค์ชายน้อยที่ทุกคนรักถนอม เกลียดการเสวยยาขมเป็นที่สุด เมื่อครั้งเป็นเด็กล้มป่วยแต่ละคราวก็ทำเอาในวังวุ่นวายกันไปหมด ที่ลำบากที่สุดในยามนั้นเห็นจะเป็นหมอหลวงอาวุโสหลายท่านที่โดนทั้งฮ่องเต้ทั้งไท่ซ่างหวงด่ายับ ดังนั้นหากบอกว่าพระวรกายฮ่องเต้มีค่าดั่งทอง ของพระปิตุลาก็คือสุดยอดทองแล้ว! “เจ้าก็ออกไป ไม่ต้องเข้ามา” เถียนหลิงกล่าว เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาในห้องขังของตน เปลือกตาที่หลับลงแล้วยังคงปิดสนิทอยู่ “เจ้าไล่ใครกัน” เถียนอี้เดินเข้ามา เมื่อเห็นสภาพในห้องที่แตกต่างกับเมื่อคืนราวฟ้ากับเหวก็พยักหน้าพอใจ ไอเย็นในห้องก็ถูกไล่ด้วยกระถางไฟไปหมดแล้ว ตอนที่เขาเดินเข้ามานั้นเถียนหลิงกำลังนอนห่มผ้าอยู่บนเตียง ฮ่องเต้หนุ่มยังไม่ทันได้ก้าวเข้าไปใกล้ก็ถูกอีกฝ่ายออกปากไล่เสียอย่างนั้น เมื่อได้ยินเสียงทุ้มหูนั่นแล้ว ตาคู่งามก็ลืมขึ้นมอง เถียนหลิงพบว่าไม่ใช่ผู้คุมฮัวอย่างที่ตนคิด แต่เป็นเสี่ยวหลงเปาที่แต่งชุดอย่างสามัญชนต่างหาก “ใยฝ่าบาทจึงเสด็จมาถึงนี่ได้” ว่าแล้วก็ปิดเปลือกตาของตนลงเช่นเดิมเหมือนไม่อยากเห็น ถ้อยคำห่างเหินยังคงมีให้ได้ยิน แต่ถึงจะเรียกอีกฝ่ายว่าฝ่าบาทเจ้าตัวกลับไม่ยอมลุกขึ้นจากเตียงมาถวายบังคม เถียนอี้ส่ายหัวไปมารู้สึกอ่อนอกอ่อนใจ ก่อนจะเดินไปถือเอาถ้วยยาที่ถูกตั้งทิ้งไว้บนโต๊ะ จับช้อนคนให้อุ่นจนเกิดควันสีขาวจางกรุ่นขึ้นมา แล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างเตียงผู้เป็นอา “ไม่สบายก็ต้องกินยา ทำไมถึงดื้อดึงเช่นนี้ เจ้าอยากให้ข้าทุกข์ใจตายเช่นนั้นหรือ” “…เป็นเจ้าไม่ใช่หรือที่ทำให้ข้าต้องมีสภาพเช่นนี้” เถียนหลิงว่าแล้วก็นอนหันแผ่นหลังให้อีกฝ่าย ดีใจที่เถียนอี้ไม่ได้ทอดทิ้งเขาจริงๆ แต่ก็ยังคงมีความรู้สึกน้อยใจที่อีกฝ่ายจับเขาโยนเข้าคุกได้อย่างง่ายดาย ทั้งที่ความผิดอะไรนั้นก็ยังไม่แน่ชัด สรุปแล้วยามนี้ เถียนหลิงไม่ได้โกรธ แต่ก็ไม่อาจให้อภัยได้โดยง่าย “ก็เป็นเจ้าไม่ใช่หรือที่บอกว่ารู้ความผิดตนดี” เถียนอี้ว่า มือยังใช้ช้อนคนถ้วยยาไม่หยุด ตักชิมดูเมื่อเห็นว่าอุ่นแล้วก็แตะมือของตนลงที่ตัวของเถียนหลิงออกแรงเขย่าเบาๆ “มา กินยาเร็วเข้า วันนี้คณะทูตของแคว้นเสียนถวายขนมมาให้ ข้าชิมดูแล้วรสชาติไม่ธรรมดา เจ้าน่าจะชอบ” “ไม่กิน” เถียนหลิงยกผ้าห่มขึ้นคลุมโปงหนีหน้าเถียนอี้ ปากก็พูดอู้อี้อยู่ข้างในว่า “ข้าบอกว่ารู้ความผิดตนก็จริง แต่ข้าไม่ได้บอกว่าให้เจ้าโยนข้าเข้าคุกแม้แต่น้อย แล้วก็ไม่ต้องเอาขนมมาหลอกข้ากินยาเลยนะ! ข้าไม่ใส่องค์ชายน้อยแล้ว” พูดถึงตรงนี้ก็ดึงผ้าห่มลงเล็กน้อยที่เผยให้เห็นแค่ใบหน้า ดวงตาใสกระจ่างจ้องเถียนอี้แล้วถลึงตาโตใส่ “ปล่อยข้าทิ้งไว้เช่นนี้แหละ ...ข้าจะตายอยู่ในนี้” เถียนอี้เมื่อเจออาการแง่งอนเช่นนี้ ก็รู้สึกแช่มชื่นในใจทั้งปวดใจในคราวเดียวกัน ใครจะปล่อยให้เจ้าตายในนี้กัน! เจ้าเด็กที่เป็นญาติผู้ใหญ่คนนี้นี่ มันช่างน่าจับมาตีก้นให้เข็ดเสียจริง ถ้าจะปล่อยให้ตายในนี้เขายังจะต้องเสียเวลาทำเรื่องเหล่านี้ไปทำไมกัน “อาหลิง เจ้ายังจำฮูฮูได้หรือไม่” เถียนอี้วางถ้วยยาไว้แล้วช้อนเอาก้อนดักแด้นี้มากอด ดักแด้ยักษ์ดิ้นขลุกขลักอยู่ไม่นานก็แน่นิ่งไป ตอบเบาๆ ว่าจำได้ ฮูฮู เป็นสุนัขทรงเลี้ยงของเถียนอี้สมัยยังเป็นองค์รัชทายาท ยามนั้นเพราะพึ่งเคยมีสัตว์เลี้ยงเป็นครั้งแรกเถียนอี้จึงรักมันมาก กระทั่งยามนอนก็ยังเอาไปนอนด้วย ช่วงที่เห่อแรกๆ นั้น รัชทายาทผู้นี้ไม่ยอมให้เถียนหลิงไปเล่นกับมันด้วยซ้ำ แต่แล้ววันหนึ่งเหตุไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อวันดีคืนดีฮูฮูก็คลุ้มคลั่งน้ำลายฟูมปาก ตอนนั้นเผอิญว่าเถียนหลิงโชคร้ายผ่านทางมาพอดี องค์ชายน้อยที่หนีนางกำนัลขันทีมาเล่นกับเสด็จพี่หลานชาย มองเห็นฮูฮูมาแต่ไกล จึงวิ่งเตาะแตะไปหามันคิดจะอาศัยโอกาสนี้แอบเล่นกับมันตอนเถียนอี้ไม่อยู่ แต่เมื่อวิ่งเข้าไปใกล้ก็ต้องเปลี่ยนทิศทางเป็นวิ่งหนีมันแทน เมื่อเจ้าตัวเห็นสภาพของเจ้าสุนัขที่พร้อมกระโจนขย้ำคอของเขาให้ตกตายได้ องค์ชายน้อยวิ่งหนีทั้งยังร้องไห้จ้า ปากก็ร้องหาเถียนอี้ เสด็จพ่อ เสด็จพี่ไปด้วย นี่ถือเป็นเรื่องน่าอับอายของพระปิตุลาในวัยเยาว์ “แล้วสุดท้ายเป็นเช่นไร” “...สุดท้ายเจ้าก็ฆ่าฮูฮู” เถียนหลิงเอ่ยออกมาเศร้าๆ เขาจำภาพนั้นได้ขึ้นใจตอนที่ธนูของเถียนอี้พุ่งแหวกผ่านอากาศทะลุเข้าที่เบ้าตาของฮูฮู สุนัขที่เขารักที่สุด... ฮูฮูนอนหายใจรวยรินอยู่ไม่นานก็ขาดใจตาย องค์รัชทายาทวิ่งมากอดเขาที่ร้องไห้ขวัญเสียก่อนจะอุ้มออกมา ยามนั้นเถียนอี้ไม่ชายตามองฮูฮูด้วยซ้ำ “ผิดแล้ว...” เถียนอี้ว่ามือก็กระชับกอดแน่นหลับตาลงนึกถึงยามนั้นที่เขาเห็นฮูฮูวิ่งไล่เถียนหลิง ความหวาดกลัวในวันนั้นตนยังจำได้ดี “เหตุใดจึงผิด” เถียนหลิงโผล่หน้าออกมาจากผ้าห่มอีกครั้ง เรียวคิ้วขมวดเป็นปมไม่เข้าใจ เมื่อตาประสานตากันก็พลันเห็นบางสิ่งบางอย่างในนั้น ...แววตารักใคร่อย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้นี้ ช่างแรงกล้าจนทำให้คนมองต้องหลับตาลง “สุดท้าย...ข้าก็เลือกเจ้าต่างหาก” นิ้วเรียวดีดเข้าที่หน้าผากของเถียนหลิงเบาๆ ไม่ว่ายังไงข้าก็เลือกเจ้าอยู่วันยันค่ำ ได้ฟังแล้วเถียนหลิงก็คล้ายโดนคลื่นบางอย่างกระแทกเข้ากลางดวงใจ แต่ไหนเลยจะกล้าคิดเป็นอื่น... เมื่อครั้งยังเยาว์ เรื่องความสัมพันธ์ที่เรียกว่ารักลึกซึ้งเช่นนี้เถียนหลิงไม่อาจเข้าใจได้ หากแต่ยามนี้เมื่อเคยมอบรักให้กับคนผู้หนึ่งไปแล้ว เขาย่อมรู้ดีว่าผู้หลานนั้นคิดเช่นไรกับตน แต่ทว่าสิ่งที่เถียนอี้คาดหวัง ไม่สามารถเป็นจริงได้ ผิด... สิ่งนี้ถือว่าผิด ไม่เพียงแค่ผิด แต่เถียนหลิงเองก็ไม่อยากสูญเสียหลานชายคนนี้ไป เพราะรักลึกซึ้งที่ตนเคยมอบให้หลีกวนถงนั้นสุดท้ายแล้วเป็นเช่นไร ...สุดท้ายก็สลายไปคล้ายไม่เคยมี ดั่งหมอกที่ต้องแสงในยามเช้า คงอยู่ได้ไม่นานก็จางหายไป เหลือเพียงความร้าวรานและบาดแผลฉกรรจ์ เถียนหลิงไม่อยากให้ความสัมพันธ์ที่บ่มเพาะกันมาตั้งแต่เด็กของตนกับผู้หลานต้องมาแหลกลาญเพราะคำว่า รัก เพียงคำเดียว หากวันหน้าไร้ซึ่งรัก มิเท่ากับว่าต้องสูญเสียคนสำคัญที่เรียกว่าครอบครัวไปหรอกหรือ เถียนหลิงหวงแหนมันมากเกินกว่าจะยอมปล่อยให้เป็นเช่นนั้นได้ ดวงตาคมของเถียนอี้ที่เจือไปด้วยความรักใคร่มองคนในอ้อมกอดของตนอย่างครุ่นคิด แม้เถียนหลิงจะหลับตาไว้หากแต่เปลือกตากลับไหวระริก เรียวคิ้วขมวดอย่างกลัดกลุ้มกังวลใจ แสร้งทำเป็นไม่รับรู้สิ่งที่เขาสื่อไปให้ด้วยการปิดหูปิดตา และมักจะเป็นเช่นนี้มาตลอด “อาหลิง... เมื่อก่อนข้าคิดเสมอว่าต่อให้เจ้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็ไม่เป็นไร มีเพียงข้าที่รู้ดีแก่ใจก็นับว่าเพียงพอแล้ว ทว่าสามปีที่ผ่าน แม้ข้าจะมีทุกอย่างที่บุรุษในใต้หล้าอยากครอบครอง แต่ข้ากลับไม่อาจมีสิ่งที่ธรรมดาสามัญอย่างคนที่ข้ารัก” ผู้ที่มีมากที่สุด แต่กลับขาดที่สุดก็คือ เถียนอี้ ทุกสิ่งในแคว้นนี้ล้วนเป็นของเขา มีเพียงความรักเท่านั้นที่มิใช่ของเขา... “ข้าไม่อยากมีคืนวันเหล่านั้นอีกแล้ว” พูดจบเถียนอี้ก็ดึงเอาผ้าห่มนั้นทิ้งไป ปล่อยเถียนหลิงนอนลงบนเตียงอุ่นแล้วพลิกตัวขึ้นคร่อม จ้องมองคนที่อยู่ใต้ร่างอย่างเว้าวอน ดวงตาที่มองตอบกลับมากำลังสั่นไหว เถียนหลิงส่ายหน้าไปมาจนผมสีน้ำหมึกสยายออกเมื่อรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น “อย่านะ...” เสียงห้ามออกมาไม่ทันไรก็ถูกริมฝีปากนิ่มที่ร้อนจัดเข้าครอบครองเสียแล้ว ลิ้นหยุ่นของเถียนอี้สอดเข้ามาชิมรสหวานในปาก ไร้ซึ่งการหักห้ามใจอย่างเช่นในยามปกติ มือหนาเลื่อนปลดเปลื้องชุดที่มหาขันทีนำมาให้ผลัดเปลี่ยนแทนชุดนักโทษรวมทั้งของตนทิ้งไป ชุดผ้าไหมชั้นดีกองรวมกันดูยับย่นอยู่บนพื้น ในขณะที่บนเตียงเองก็พัวพันกันยุ่งเหยิง คนหนึ่งขัดขืน อีกคนหนึ่งไร้ซึ่งสติ มือไล่แตะสัมผัสทุกสิ่งอย่างที่ตนเคยปรารถนา เถียนอี้ยามนี้เหมือนถูกดูดเข้าไปในห้วงฝันที่ไม่อยากตื่นขึ้นมา รสสัมผัสจากกายกรุ่นที่ได้ลิ้มลอง เมื่อดูดกลืนเข้าไปก็นุ่มนิ่มอยู่ในปากแทบละลาย ช่างหวานล้ำเกินกว่าที่เคยจินตนาการ แม้แต่ความเจ็บปวดที่ถูกอีกฝ่ายใช้กำปั้นทุบตีลงบนหลังยังถูกความหวานนี้กลบเสียมิด ตีให้แรงกว่านี้ก็คล้ายจะไม่กระไร “อย่า...อย่าทำแบบนี้ เจ้าเป็นหลานของข้า ฮึก เป็นหลานของข้านะ...” เถียนหลิงว่าทั้งน้ำตานองหน้า ความเศร้าโศกปะทุขึ้นมาจนเจ็บร้าวในอก เถียนอี้พยายามอย่างยิ่งที่จะทำเป็นไม่นำพากับน้ำตานั้น ฮ่องเต้หนุ่มอดยิ้มหยันตัวเองไม่ได้ ไม่ใช่ไม่รู้ เพราะรู้จึงทนมาได้เนิ่นนานขนาดนี้ ทว่าเมื่อได้ฟอนเฟ้นกายเปลือยเปล่านี้แล้ว ยิ่งไม่อาจกักเก็บความรู้สึกและความต้องการของตนได้อีกต่อไป “...ข้าไม่อยากเป็นหลานของเจ้าแล้วปิตุลาคนดี” เมื่อได้ยินถ้อยคำตัดสัมพันธ์ฉันท์อาหลาน ผู้ที่นอนเปลือยกายน้ำตาไหล ยิ่งไหลรินๆ หรือว่าตนจะสูญเสียสิ่งที่สำคัญไปก็วันนี้… ทั้งไม่อาจเข้าใจและไม่อาจยอมรับ ในขณะที่หยางใกล้จะผสานหยางให้เป็นหนึ่ง เรียวขาเนียนก็ถีบเข้าที่กลางลำตัวของเถียนอี้จนต้องร้องครวญครางออกมา ใช้มือผลักอีกฝ่ายให้ออกไปจากการทาบทับแล้วพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง จมูกรั้นและปลายคางเชิดขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ หากแต่ดวงตายังคงพร่างพราวไปด้วยน้ำตา เอ่ยกับผู้ที่ตนถือว่าเป็นครอบครัวคนสำคัญด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เจ้าบอกว่าไม่อยากเป็นหลานของข้า ต้องถามข้าก่อนว่ายินยอมหรือไม่! และข้าไม่ยินยอม!!” เถียนหลิงไม่ยอมสูญเสียญาติคนสำคัญนี้ไป จะอย่างไรเขาก็ไม่ยอม! แต่เถียนอี้ไม่เข้าใจเหตุผลข้อนี้เลยแม้แต่น้อย หัวใจเจ็บปวดเกินจะทานทน ใบหน้าหล่อเหล่าก็ซีดขาวไร้ซึ่งเลือดมาหล่อเลี้ยง ดวงตาแดงก่ำคล้ายจะมีน้ำเอ่อ ยามเอื้อนเอ่ยก็แหบพร่าราวคนใจกำลังจะขาดอยู่รอนๆ “...นั่นเพราะใจของเจ้า อยู่ที่ใครแล้วใช่หรือไม่” ผู้เป็นอาไม่ตอบเพียงเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ด้วยเพราะตนไม่อาจทนมองท่าทางอ่อนแอของเถียนอี้ได้ กลัวว่าหากเผลอมองต่อเพียงนิด เขาอาจจะยอมใจอ่อนปล่อยให้เรื่องเลยเถิดเกินกว่านี้ ถึงตอนนั้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่คงกู่ไม่กลับแล้ว จึงได้แต่งปั้นท่าแข็งข้อเข้าสู้อย่างเดียว อีกทั้งยังไม่อาจปฏิเสธคำถามของผู้หลานได้ ...คำถามที่ยากจะตอบ ใจของเถียนหลิงนั้นอยู่กับหลีกวนถง เรื่องนี้จะอย่างไรก็เป็นเรื่องจริง ทว่ามากหรือน้อยนั้นมีเพียงพระปิตุลาเท่านั้นที่รู้แจ้งแก่ใจตน ยามนี้จึงมีเพียงความเงียบงันเกิดขึ้นระหว่างอาหลาน หากแต่ความเงียบสำหรับเถียนอี้แล้ว ก็ถือเป็นคำตอบได้ประการหนึ่ง... คำตอบที่ทำให้ใจคนปริแตก ขณะที่ผู้เป็นอาตามเก็บเสื้อผ้าของตนขึ้นมาสวมใส่ให้มิดชิด ฮ่องเต้หนุ่มก็อาศัยโอกาสนี้เงยหน้าขึ้นกะพริบตาถี่ๆ ไล่ความแสบร้อนที่นัยน์ตาของตน ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่รู้ว่าเป็นประโยคคำถามหรือคำเว้าวอนกันแน่ “อาหลิง... ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้าเคยมีน้ำหนักในใจเจ้าเพียงนิดหรือไม่” เถียนหลิงเม้มปาก ไม่กล้าสบตากับเถียนอี้โดยตรง ได้แต่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง “แน่นอนว่าเจ้าย่อมต้องมีน้ำหนักในใจข้า” ด้วยเพราะก้าวเดียวมิอาจพลาดพลั้ง จึงกล่าวสำทับเป็นการตัดบัวไม่เหลือใยอีกว่า “…นั่นก็เพราะเจ้าเป็นหลานของข้า” คำก็หลาน สองคำก็หลาน คำเพียงคำเดียวที่ขวางกั้นพวกเขาเอาไว้ “เป็นหลานแล้วอย่างไร สุดท้ายก็ไม่สำคัญเท่าคนที่เจ้ารัก...” ถ้อยคำตัดพ้อของเถียนอี้แผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ แต่ความเจ็บปวดที่เจ้าตัวได้รับกลับไม่เบาเหมือนถ้อยคำแม้แต่น้อย ฮ่องเต้หนุ่มหลับตาลงข่มความทุกข์ตรมของตนไว้ให้ลึกที่สุด ลึกเท่าที่ใจดวงหนึ่งจะทำได้ ความเจ็บปวดในอกนี้ช่างหนักหน่วงเหลือเกิน แต่ทว่าเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจแห่งโอรสสวรรค์ก็วาวโรจน์จนน่ากลัว “แล้วหากไร้ซึ่งหลีกวนถง เจ้าจะเห็นข้าสำคัญกว่าเดิมหรือไม่” ถ้อยคำเย็นชาแฝงอันตรายนี้ทำให้เถียนหลิงหันกลับมาเบิกตามองด้วยอาการตะลึงงัน ไม่คาดคิดมาก่อนว่าผู้ที่อยู่เมื่องหลวงจะล่วงรู้เรื่องนี้ได้ “จะ เจ้าพูดเรื่องอะไร?” มือใหญ่ของเถียนอี้จับมือที่ชะงักจากการผูกปมเสื้อมาบีบไว้เบาๆ ราวกับจะอ้อนวอน นี่อาจจะเป็นการอ้อนวอนครั้งสุดท้ายที่เถียนอี้คิดจะทำ “อาหลิง หลีกวนถงผู้นั้นมีอันใดที่เทียบข้าได้บ้าง เจ้าจะลืมคนทรยศผู้นั้นไปแล้วมอบความรักนั้นให้ข้าไม่ได้เชียวหรือ” หากจะให้พูดกันตามจริงแล้ว มีเรื่องใดบ้างที่เถียนอี้อยากรู้แล้วไม่รู้ ยิ่งเกี่ยวกับพระปิตุลาจะให้เล็ดลอดไปได้อย่างไร เรื่องความสัมพันธ์บางประการที่คนทั้งคู่มีต่อกันนั้น เถียนอี้ไม่อยากเอ่ยถึงให้เจ็บปวดก็เพียงเท่านั้น “ไม่ได้...” เถียนหลิงไม่แม้แต่จะเสียเวลาคิดด้วยซ้ำ ไม่เกี่ยวกับว่าจะลืมหรือไม่ลืม รักหรือไม่รัก แต่พระปิตุลาผู้นี้คิดแต่จะทำเช่นไรให้เถียนอี้ยังเป็นหลานชายของตนดังเดิม ไม่รู้เลยว่าตนกำลังพยายามประคับประคองสถานะนี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่ทำร้ายใจคนซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ข้ารักของข้ามาสามปีกว่า แต่ละวันล้วนผูกใจไว้กับเขา เจ้าบอกว่าให้ข้าลืม ข้าก็ลืมได้ง่ายดายเช่นนั้นหรือ” ได้ฟังแล้วเถียนอี้ก็อยากจะหัวเราะออกมาเสียงดัง หัวเราะให้กับคำว่าผูกใจมาสามปีของคนตรงหน้า มือสองข้างกระชากเอาไหล่มนของเถียนหลิงไว้ บีบให้หันมามองหน้าตนด้วยแรงอารมณ์ “เจ้าบอกว่ารักหลีกวนถงมาสามปี แล้วข้าล่ะ... ข้าที่รักเจ้ามาตลอดชีวิตมิเท่ากับสูญเปล่ายิ่งกว่าเจ้าอีกเหรอเถียนหลิง!!” โทสะที่เกิดเป็นดั่งเปลวเพลิงที่กำลังเผาไหม้อยู่ในใจให้เจ็บแสบ ยามนี้เถียนอี้แทบควบคุมสติตนไม่ได้ เมื่อชายหนุ่มพบว่า ความรักชั่วชีวิตนี้ของเขา ไม่มีค่าแม้แต่น้อย... สุดท้ายก็เผลอเสียงดังตะคอกใส่เถียนหลิงจนได้ กระทั่งผู้เป็นอาที่พยายามปั้นหน้าดึงดันยังตกใจกับท่าทางของเถียนอี้ น้ำตาหยดเผาะกระทบหลังมือของหลานชายของตนโดยปราศจากเสียงสะอื้น ก่อนที่มันจะกลิ้งไหลลงไปบนเตียงดั่งหยดน้ำที่กลิ้งตกจากใบบัว เถียนอี้เห็นแล้วก็รั้งเอากายนั้นมาโอบกอดเอาไว้ ใบหน้าได้รูปก้มลงไปกระซิบลงที่ข้างใบหูขาว น้ำเสียงทุ้มน่าฟังเหมือนยามที่เอ่ยกับเหล่าขุนนางในท้องพระโรงไม่มีผิด ทว่าเถียนหลิงได้ฟังแล้วกลับรู้สึกทรมานใจยิ่งนัก “ท่านอาคนดี เจ้าอย่าร้องไห้สิ ...หากมันหายไป เจ้าคงจะเปลี่ยนใจมารักเราบ้างจริงไหม” “เจ้าคิดจะทำอะไรเขา” เถียนหลิงรู้สึกหวาดกลัวกับท่าทางของที่ผิดแผกไปจากเดิมเหลือเกิน “หากเจ้าคิดจะทำอะไรเขา ข้าจะ... ข้าจะไม่ให้อภัยเจ้า” เถียนอี้เค้นรอยยิ้มออกมาอย่างเย็นชา กระชับกอดจนร่างของทั้งสองแทบกลายเป็นหนึ่ง “พูดอะไรเช่นนั้นพระปิตุลา จอหงวนของเรายามนี้มีคู่หมั้นหมายแล้ว อ้อ... เจ้าคงยังไม่รู้สินะ ว่าเราพึ่งจะกล่าวประทานสมรสให้คนทั้งคู่ไป แล้วไยพระปิตุลาที่เป็นพระญาติของเราถึงได้แสดงความไม่พอใจในการตัดสินใจของเราเช่นนี้กัน พูดมาสิว่าเราทำผิดที่ใด เชิญพระปิตุลาชี้แจ้งมาได้เลย” ไม่ใช่...เถียนหลิงรู้ว่านี่ไม่ใช่เสี่ยวหลงเปาของเขา หากแต่เป็นฮ่องเต้ที่มีความคิดลึกล้ำผู้หนึ่ง “หึ... เจ้าจะเล่นแบบนี้ใช่หรือไม่” เถียนหลิงผลักเถียนอี้ออกจากตัว ยามนี้คนตรงหน้าช่างเหมือนคนแปลกหน้ายิ่งนัก “พระองค์ตรัสถูกต้องทุกประการ กระหม่อม...ไม่มีข้อโต้แย้ง แต่ขอบังอาจกราบทูลเตือนฝ่าบาทว่าราชกิจของพระองค์นั้นมีมากมาย สมควรจะเสด็จกลับตำหนักได้แล้ว ทูลลาเลยแล้วกันพ่ะย่ะค่ะ” ถูกอีกฝ่ายไล่กันตรงๆ เช่นนี้ เถียนอี้แม้จะไม่ยินยอมแต่ก็หยิบชุดของตนขึ้นมาสวมใส่ ดวงตาคมเหลือบไปมองถ้วยยาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ แล้วก็หันกลับมามองเถียนหลิงอีกครั้ง มือหนาฉวยเอาถ้วยยานั้นมายกกระดกอมไว้ในปาก ก่อนจะรวบกอดร่างนุ่มนิ่มที่ไล่เขาปาวๆ มาไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง เมื่อริมฝีปากอุ่นนิ่มประกบลงไปแนบชิด โอสถรสชาติขมฝาดก็พลันถูกป้อนลงคอ น่าประหลาดที่มันกลับหวานติดปลายลิ้นของเถียนหลิง หัวใจของพระปิตุลาเต้นโครมครามขณะที่ถูกริมฝีปากของเถียนอี้แทะเล็มลิ้นเล็กของตนอย่างอ้อยอิ่ง สัมผัสที่ได้คล้ายจะเยียวยาทุกสิ่งอย่าง กระทั่งยังเผลอตอบสนองไม่ชั่วขณะ ก่อนจะเจ็บแปลบเมื่อถูกเถียนอี้ขบริมฝีปากบางจนปริแตก “พระปิตุลา ต่อให้วันนี้เจ้าไม่ใช่ของเรา แต่คืนนี้พรุ่งนี้ก็ไม่แน่ อ้อ อีกอย่างที่เราจะบอกให้รู้ ตั้งแต่เกิดมาเจ้าก็เป็นของเราแล้ว” เถียนอี้ยิ้มเย็นชาก่อนจะลุกขึ้นยืน สะบัดแขนเสื้อของตนเอามือข้างหนึ่งไขว้หลัง เดินจากกรงทองแห่งนี้ไป ตั้งแต่ผู้หลานจากไป น่าแปลกที่พอถึงยามค่ำคืนเถียนหลิงกลับรู้สึกว่ามันหนาวเหน็บกว่าคืนแรกที่ตนเข้ามานอนมากนัก ทั้งที่ตอนนี้ในห้องมีพร้อมไปเสียทุกอย่าง แต่กลับไม่มีความอบอุ่นแม้แต่น้อย ...ที่ใดกันที่หนาวเหน็บ เป็นกายของข้าหรือว่าใจของข้ากันแน่ หากแต่เมื่อสำรวจให้ถี่ถ้วนแล้วก็พบว่าเป็นที่ใจ นี่มันตลกแล้ว ไม่ใช่ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนนั้นตนยังฟูมฟายเรื่องหลีกวนถงอยู่หรอกหรือ แล้วเหตุใดตอนนี้ปัญหาที่ใจกลับมาจากเรื่องของเถียนอี้ไปได้... ไม่ มันเป็นไปไม่ได้หรอก ---------------------------- [1] ดอกจวี๋ฮวา หรือ ดอกเบญจมาศ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม