เช้าวันถัดมาเหลือเวลาอีกแค่สองวันก่อนที่จะมีงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูต เมื่อคืนนี้เถียนอี้แอบใช้เส้นทางลับไปยืนมองคนดื้อดึงว่ามีอาการไข้แทรกขึ้นมาอีกหรือไม่ โชคยังดีที่ก่อนจากไปตนจับป้อนยาได้สำเร็จ ทั้งยาของหมอหลวงยังได้ผลชะงัด มองแล้วจึงไม่เห็นอาการผิดปกติใดอีก เถียนอี้ยืนมองอย่างเงียบเชียบอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานาน โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
เป็นผลให้เวลานี้ใบหน้าของฮ่องเต้หนุ่มติดจะอิดโรยเพราะนอนไม่เพียงพอ ทั้งยังมีเรื่องให้ขบคิดอีกมากมายจึงดูเหนื่อยล้ากว่าทุกที แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นหัวหน้าคณะทูตจากแคว้นเสียนอย่างเฟิ่งเจี่ยหรัน เดินเข้ามาใกล้จะถึงหอเก๋งกลางน้ำซึ่งตั้งอยู่ในอุทยานหลวงแล้ว ใบหน้าอิดโรยนั้นก็หายไปทันตาเห็น ก่อนถูกแทนที่ด้วยสีหน้าสุขุมที่ติดจะอ่อนโยนอยู่บ้าง ทว่าเมื่อเฟิ่งเจี่ยหรันได้เห็นแล้วกลับมีความรู้สึกว่าฮ่องเต้ผู้นี้ยากจะอ่านความรู้สึกที่แท้จริงได้
“ถวายบังคมฝ่าบาท”
“ไม่ต้องมาพิธี นั่งลงเถอะ” เถียนอี้โบกมืออย่างไม่ถือสาพิธีการ เชื้อเชิญอีกฝ่ายให้นั่งลงตรงข้ามกับตน บนโต๊ะที่คั่นกลางระหว่างชายหนุ่มทั้งสองนั้น กระดาษซวนจื่อ[2]แผ่นใหญ่ได้ถูกกางเอาไว้ ด้านข้างของมันถูกที่ทับกระดาษที่ทำจากหยกสีเขียวครามทับอยู่ ข้างกันนั้นยังมีแท่งหมึกเนื้อดีที่ถูกฝนทิ้งไว้นอนเกยอยู่บนจานฝนหมึกอีกด้วย
เห็นอีกฝ่ายนั่งลงแล้ว ปลายพู่กันที่อยู่ในมือของเถียนอี้ก็เริ่มตวัดไปมาต่อจากเมื่อครู่ ลายเส้นของผู้เป็นฮ่องเต้ดูหนักแน่นทรงพลังแต่ยังคงไว้ซึ่งพลิ้วไหว ยามที่เฟิ่งเจี่ยหรันมองไปที่กระดาษสีขาวนั่นอีกครั้ง ต้นหยางหลิ่วที่อยู่ริมฝั่งตรงข้ามหอเก๋งก็มาปรากฏอยู่ในกระดาษเสียแล้ว
“คล้ายว่ายังขาดอะไรไป ท่านทูตมองแล้วคิดว่าเช่นไร” เถียนอี้วางพู่กันลงบนที่รอง ก่อนจะรับผ้าจากนางกำนัลมาเช็ดมือ
เฟิ่งเจี่ยหรันยิ้ม หันไปมองริมฝั่งที่อยู่ตรงข้ามอีกครั้งก็ปรากฏหญิงสาวสูงศักดิ์นางหนึ่งเดินเลียบฝั่งมา ด้านหลังกันนั้นยังมีนางกำนัลขันทีเดินตามมาด้วยอีกขบวนหนึ่ง ผู้เป็นทูตจึงผายมือไปทางนั้น “ขาดดอกไม้งามเช่นนั้นกระมังพ่ะย่ะค่ะ”
เถียนอี้มองตามทันที หญิงสาวร่างอ้อนแอ้น มองแล้วก็ช่วยประดับให้ทิวทัศน์เบื้องหน้างดงามขึ้นก็จริง แต่ทว่าขบวนด้านหลังนางออกจะเอิกเกริกไปเสียหน่อย จำนวนข้ารับใช้ที่ตามอยู่ด้านหลังมองคร่าวๆ แล้วก็พอจะคาดเดาได้ว่าเป็นสนมนางใด
“เป็นกุ้ยเฟยของเราเอง”
“ต้องขอพระราชทานอภัยจากฝ่าบาทแล้ว กระมังหม่อมบังอาจเปรียบเทียบพระนางกับดอกไม้ไปเสียได้”
เถียนอี้ส่ายหน้าอย่างไม่ใส่ใจ เพราะสนมนางในของเขาก็ไม่ต่างจากดอกไม้อย่างที่อีกฝ่ายพูดเท่าไหร่ สายตาทอดมองไปแล้วก็พลันคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
ออกมาเดินเล่นเช่นนี้ไม่รู้ว่าคัดจริยธรรมหญิงเสร็จแล้วหรืออย่างไร
“พระสนมเพคะ คล้ายว่าฝ่าบาทจะทอดพระเนตรมาทางเราแล้วนะเพคะ รออีกหน่อยจะต้องส่งคนมาเชิญพระนางเป็นแน่ ถึงยามนั้นเมื่อได้ทอดพระเนตรความงามของพระสนมให้ชัดแล้ว คงจะมิสามารถทอดพระเนตรไปมองที่ใดได้อีก ตำแหน่งฮองเฮาคงอีกไม่ไกลแล้วล่ะเพคะ” นางกำนัลข้างกายไป๋กุ้ยเฟยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ทั้งยังประจบประแจง
ผู้เป็นนายได้ยินแล้วก็ยิ้มอย่างเอียงอาย นางนั้นเข้ามาเป็นสนมตั้งแต่ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ ตำแหน่งฮองเฮายังคงว่างเว้น สตรีทุกนางต่างฝ่าฟันหวังว่าตนจะได้ขึ้นไปนั่ง น่าเสียดายที่ฮ่องเต้ไม่หลงระเริงในสตรี ไม่ว่าจะงัดมารยาออกมาใช้เท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล ตำแหน่งกุ้ยเฟยของตนนี้แท้จริงก็ได้บิดาไปขอมาให้
ยามนั้นมหาเสนาบดีไป๋ผู้เป็นบิดาของนางรวมตัวกันกับเหล่าขุนนาง ยืนฎีกาถวายว่าตำแหน่งฮองเฮามารดาของแผ่นดินมิควรว่างเว้น ฮ่องเต้เห็นแล้วก็โมโหใหญ่โต สุดท้ายได้แต่ถอยกันคนละก้าว นางได้เป็นกุ้ยเฟย ส่วนบิดาก็ไม่พูดถึงตำแหน่งฮองเฮาให้ขัดพระทัยอีก ไม่รู้ว่าพระองค์จะเหลือไว้ให้ใครนั่งกัน!
แต่อีกไม่นานหรอก นางเหลือแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น...
“งั้นก็ยืนรออีกหน่อยเถิด”
“เพคะ”
นายและบ่าวจึงยืนรอคอยอยู่เช่นนั้น พากันชี้นกชี้ไม้ด้วยท่าทีเป็นธรรมชาติ ประหนึ่งว่าไม่ได้รอคอยอะไรอยู่ เถียนอี้เห็นแล้วก็ร้องเฮอะอยู่ในใจ เรียกจางกงกงเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะรับสั่งบางอย่างเพื่อให้มหาขันทีนำไปถ่ายทอดให้คนงามที่ยืนโต้ลมอยู่ฝั่งตรงข้าม
เมื่อพระพายพัดผ่านร่างบางนั้นยามใด ชุดพลิ้วไหวก็กดแนบเนื้อให้เห็นสัดส่วนเย้ายวนใจ แต่ตาสองข้างของเถียนอี้ที่เห็นพระปิตุลาเป็นดั่งซีซือ[3]จะยังเหลือตาไปมองที่ใดได้อีก ในใจยังสบถว่าสนมของตนเป็นหญิงบ้าเสียด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องกล่าวไปถึงว่าบิดาของนางคือมหาเสนาบดี ตาเฒ่าที่เคยบีบคั้นเขาเรื่องตำแหน่งฮองเฮามาก่อน
จางกงกงเดินนำรับสั่งไปถ่ายทอดอย่างไม่รีบร้อน พอถึงตรงหน้าไป๋กุ้ยเฟยก็ถวายบังคมแล้วกล่าวว่า “พระสนม ฝ่าบาทมีรับสั่งให้กระหม่อมมาไต่ถามว่า จริยธรรมหญิงคัดเสร็จแล้วหรือยัง หากว่าเสร็จแล้วก็ให้นำมาส่งได้ทันที พระองค์จะตรวจทานให้เรียบร้อยพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋กุ้ยเฟยได้ยินแล้วก็สีหน้าย่ำแย่ พึ่งจะผ่านไปได้ไม่กี่วันจะเสร็จได้อย่างไร! เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้นแล้วใบหน้างามก็ผินไปมองผู้ที่อยู่ในหอเก๋งอย่างตัดพ้อน้อยใจ ทรงพระทัยร้ายกับนางเกินไปแล้ว!!
คืนเทศกาลชีซีนางเป็นหัวหอกให้จัดงาน ผู้ที่เสียหน้าที่สุดก็คือนาง และเพราะมีตำแหน่งสูงสุดในฝ่ายใน คนที่โดนคัดมากที่สุดก็ย่อมเป็นนาง คัดไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ปวดมือไปหมด อาศัยว่าคงไม่มีผู้ใดกล้ามาตำหนินางได้ หากว่านางจะขอหยุดพักเดินเล่นเสียบ้าง
ยามนี้ฮ่องเต้ยังจะ ยังจะไม่ไว้หน้านางอีก!
ไม่ไว้หน้านางก็แล้วไป แต่ควรจะนึกถึงว่านางมาจากตระกูลใดบ้าง ค่อยดูเถอะจะฟ้องท่านพ่อให้เล่นงานในท้องพระโรงให้หนักเชียว!
“กลับ!!” ไป๋กุ้ยเฟยเดินหน้าหงิกงอนำขบวนกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์
“พระสนมเดินระวังด้วย” จางกงกงน้อมส่งพลางนึกขัน เฮ้อ งามแต่ตัวเช่นนี้ก็ไม่ไหว สถานการณ์เช่นนี้สมควรออกมาเดินเล่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
เถียนอี้กับเฟิ่งเจี่ยหรันมองขบวนของไป๋กุ้ยเฟยจากไปเงียบๆ ก่อนจะยกชาเข็มเงิน[4]ขึ้นมาจิบ สายตาชื่นชมดอกบัวที่แข่งกันชูช่อเบ่งบานอยู่ในสระ ทั้งคู่ทำเหมือนว่าเมื่อครู่ไม่มีหญิงสาวเอวอ่อนนางใดยืนคอยท่าอยู่ตรงนั้น กระทั่งน้ำสีเหลืองอำพันพร่องไปบ้างแล้วจึงได้พูดเข้าเรื่องที่มาพบกันในวันนี้
“ฝ่าบาทคงพอทราบมาบ้างแล้วว่าหากสองแคว้นมีการเชื่อมสัมพันธ์กันย่อมมีแต่ผลดี” เฟิ่งเจี่ยหรันไม่มัวเสียเวลากล่าวนอกเรื่อง เมื่อพูดก็พูดเข้าตรงประเด็นทันที ใบหน้าหล่อเหลายิ้มเบาบาง เช่นเดียวกับกลิ่นกายของเขาที่ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกมา
“อืม เราทราบ แต่เราเพิ่งจะครองราชย์ได้ไม่นาน ยามนี้นอกจากพระโอรสองค์เล็กแล้วเราก็ยังไม่มีองค์หญิง ส่วนเรื่องจะรับสนมเข้ามานั้น บอกท่านตามตรงว่าเราก็ไม่อยากได้เท่าใดนัก ยามนี้ฝ่ายในก็ครื้นเครงมากพอแล้ว”
เหล่านางสนมของเถียนอี้นั้นยังไม่นับว่ามากหากเทียบกับฮ่องเต้องค์ก่อนๆ ส่วนใหญ่แล้วล้วนแต่เป็นบุตรสาวของขุนนางที่ตนเอาไว้ใช้ถ่วงดุลอำนาจบิดาของพวกนาง แต่โอรสเพียงหนึ่งของเถียนอี้นั้นเกิดจากนางกำนัลเกิงอีที่ต่ำต้อย พอคลอดองค์ชายให้เขาหนึ่งคนแล้ว ต่อมานางจึงได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งที่สูงขึ้น ไม่นานก็หลงระเริงในอำนาจ ท้ายที่สุดก็มีจุดจบที่ไม่ดีนัก
เรื่องนี้ผ่านมาสองปีเห็นจะได้ ยามนี้ผู้เป็นฮ่องเต้ก็คล้ายจะลืมเลือนหน้าของนางไปแล้ว ส่วนองค์ชายน้อยนั้นยามนี้อยู่ในการเลี้ยงดูของนางข้าหลวงรุ่นใหญ่ อย่างไรก็เป็นบุตรของตน เถียนอี้ไม่อยากให้บุตรชายเพียงคนเดียวต้องตกไปอยู่ในบงการของนางสนมที่มีศักดิ์เป็นดั่งมารดา จึงไม่ได้ยกให้สนมนางใดเอาไปเลี้ยง
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท การเชื่อมสัมพันธ์สองแคว้นนั้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงฝ่ายในของพระองค์เท่านั้น อีกอย่างกระหม่อมมีผู้ที่อยู่ในใจอยู่แล้ว”
“ผู้ที่อยู่ในใจงั้นหรือ? ท่านทูตกล่าวเช่นนี้คงมิใช่ว่าท่านจะเป็นผู้รับงานมงคลนี้ไว้เองกระมัง”
เฟิ่งเจี่ยหรันยิ้มรับ “เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“งั้นก็พูดมาเถอะว่าเป็นผู้ใด หากเราเห็นสมควรย่อมไม่ขัดวาสนาชะตารักของท่าน”
เฟิ่งเจี่ยหรันลุกขึ้นยืน ร่างสูงสง่าประสานมือ ค้อมตัวและศีรษะของตนลงต่อหน้าผู้เป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นฉี “องค์ชายห้าเหวินหรันแห่งแคว้นเสียน ตกหลุมรักชินอ๋องยากจะถอนใจ ขอฝ่าบาทโปรดส่งเสริมวาสนารักครั้งนี้ พระราชทานงานมงคลสมรสให้กระหม่อมกับพระปิตุลาของพระองค์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝะ...ฝ่าบาท”
เสียงจางกงกงร้องขึ้นอย่างตกใจ เมื่อเถียนอี้บีบถ้วยชาในมือจนปริแตก เศษกระเบื้องบาดมือโอรสสวรรค์ในทันที โลหิตและน้ำชาที่ผสมปนเปกัน ไหลอาบตามนิ้วมือจนชุ่มโชก สีหน้าที่เป็นมิตรไมตรีมลายสิ้นแล้ว ฮ่องเต้หนุ่มไม่นำพากับอาการบาดเจ็บที่มือตน เขาเพียงวางเศษถ้วยชาไว้บนโต๊ะแล้วปล่อยให้มหาขันที่ใช้ผ้าสะอาดมากดห้ามเลือดให้ ก่อนจะให้ขันทีน้อยไปเรียกหมอหลวงมายังที่แห่งนี้
ราชทูตที่ยามนี้เผยศักดิ์ว่าเป็นองค์ชายห้าแห่งแคว้นเสียน ช่าง...ช่างรนหาที่แท้ๆ เป็นผู้อื่นก็แล้วไป นี่ถึงกลับกล้ามาขอแก้วตาดวงใจของราชสกุลเถียน! หากว่าเรื่องจบที่ตรงนี้ได้ก็ดีไป แต่หากเกิดข้อพิพาทเป็นปัญหาระหว่างสองแคว้นใหญ่ขึ้นมา นับว่าน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง สีหน้าของจางกงกงจึงย่ำแย่นักเมื่อคิดถึงปัญหาที่จะตามมา
“องค์ชายห้า รู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังขอสิ่งใดอยู่” เถียนอี้จ้องคนตรงหน้าเขม็ง ถามด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกราวกับจะแช่เเข็งคนได้
“กระหม่อมทราบดีพ่ะย่ะค่ะ ขอฝ่าบาทโปรดส่งเสริมด้วย” เฟิ่งเจี่ยหรันยังคงยืนยันหนักแน่น รอยยิ้มนุ่มนวลขององค์ชายห้าผู้นี้ มองแล้วไม่ได้หวั่นเกรงต่อท่าทีมึนตึงของฮ่องเต้แคว้นฉีแม้แต่น้อย
“เราคงต้องขอปฏิเสธ หากท่านต้องการตบแต่งท่านหญิงหรือท่านชายผู้อื่นก็แล้วไป...” ว่าถึงตรงนี้ เถียนอี้ก็ใช้มืออีกข้างที่วางอยู่ ตบโต๊ะไม้ชิงชันอย่างแรงจนเกิดเสียงดังปัง กระทั่งจานฝนหมึกและหยกทับกระดาษยังกระดอนขึ้นมา เหล่าข้ารับใช้ต่างสะดุ้งโหยงรีบทรุดเข่าลงกับพื้น ก้มหน้าให้ต่ำปลายคางชิดอก ทราบโดยทั่วกันว่ายามนี้ฮ่องเต้พิโรธแล้ว “แต่คนที่ท่านขอนั้นไม่อาจยกให้ใครไปได้... พระปิตุลาถือเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของแว่นแคว้น เป็นมิ่งขวัญของแผ่นดิน เลิกคิดเรื่องนี้ซะเถอะ เราจะถือว่าท่านไม่เคยพูด”
“แล้วถ้า...” เฟิ่งเจี่ยหรันเปลี่ยนมายืนตัวตรงมองตอบอย่างไม่เกรงกลัว แววตามุ่งมั่นไม่มีทีท่าว่าจะถอยแม้แต่น้อย “ถ้าแคว้นเสียนยอมยกเมืองขึ้นของเราให้กับแคว้นฉีล่ะฝ่าบาท
ฉู่ จิ๋ว หยาง สามเมืองนี้อยู่ในเขตการปกครองของกระหม่อม หากพระองค์ยอมส่งเสริมงานมงคลครั้งนี้ กระหม่อมจะยกทั้งหมดนี้ให้แก่พระองค์ ถือเป็นสินสอดเจ้าสาว”
นี่ถือเป็นการแลกเปลี่ยนที่...ที่ ไม่รู้จะเปรียบมูลค่าเทียบกันได้อย่างไรดี! แรกได้ยินมหาขันทีก็อ้าปากค้างตกตะลึงจนเกือบสิ้นสติ
เพราะหากสามเมืองนี้เป็นสินสอดจริงดั่งว่า ก็ถือเป็นสินสอดที่มีมูลค่ามหาศาลแบบประเมินค่ามิได้!!!
ด้วยเพราะสามเมืองที่ว่าล้วนแต่เป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์และสร้างผลผลิตมากมายแตกต่างกันไป
ฉู่ เป็นเมืองแห่งเกษตรกรรม ถือเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหารที่ให้ผลผลิตตลอดทั้งปี จิ๋ว เป็นเมืองแห่งการผลิตแร่และหลอมโลหะ หากมีเมืองนี้ไม่ต้องกลัวว่ากลัวว่าคลังอาวุธของกองทัพและเครื่องไม้เครื่องมือที่ทำจากโลหะจะขาดแคลน ส่วน หยาง เป็นเมืองแห่งการปลูกหม่อนไหมและทอผ้า ผ้าไหมที่มาจากเมืองหยางมีใครบ้างที่ไม่อยากได้ ราคาต่อพับสูงลิ่วกระทั่งเหล่าเศรษฐียังต้องคิดก่อนจะซื้อใช้ด้วยซ้ำ!!
หากองค์ชายห้าเหวินหรันผู้นี้ไม่บ้า ก็ถือว่าเป็นคนคลั่งรักผู้หนึ่งโดยแท้!!
มหาขันทีอดที่จะแอบมองพระพักตร์ของฮ่องเต้ไม่ได้ ไม่อาจแน่ใจว่าเมื่อพระองค์ได้ยินข้อเสนอเช่นนี้แล้วจะทรงตัดสินพระทัยอย่างไรต่อ
...พระญาติผู้หนึ่ง แลกกับสามเมืองขึ้นที่จะใช้ประโยชน์ได้ชั่วลูกชั่วหลาน
โอรสสวรรค์จะเลือกสิ่งใดกัน
“องค์ชาย” เมิ่งเสี่ยวไห่หรือคนพาย เรียกผู้เป็นนายของตนหลังจากที่ทั้งคู่ออกจากวังหลวงมาแล้ว ยามนี้นายและบ่าวกำลังนั่งรถม้าของตนมุ่งกลับที่พำนักของคณะทูต “หากว่าฮ่องเต้... เสด็จพ่อของพระองค์ทราบข่าวว่าองค์ชายกำลังเอาสามเมืองสำคัญไปแลกกับคนผู้หนึ่งจะต้องพิโรธมากแน่ ทำเช่นนี้จะดีหรือ องค์ชายโปรดทบทวนด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิ่งเจี่ยหรันไม่ตอบ เพียงนั่งเท้าคางชมบรรยากาศเมืองหลวงของแคว้นฉี แต่ภาพอยู่ในห้วงคะนึงหากลับเป็นใบหน้าของใครอีกคน เอาเมืองสำคัญไปแลกกับคนเพียงคนเดียว ใครได้ยินเข้าก็ต้องบอกว่าเขาเป็นบ้าไปแล้ว ไม่เว้นแม้แต่เจ้าตัวเองก็คิดเช่นเดียวกันนี้ แต่ทว่า “ข้าวของยังหาใหม่ได้ ผู้รู้ใจหาใหม่ไม่ง่าย” เฟิ่งเจี่ยหรันพูดออกมาไม่ดังไม่เบา
ที่องค์ชายห้าผู้นี้ยอมเทหมดหน้าตักจะว่าเป็นเพราะเหตุนี้ก็ได้ และอีกอย่างนั้นเป็นเพราะ...
การพบกันเมื่อคืนเทศกาลชีซีไม่ใช่ครั้งแรกที่องค์ชายหนุ่มได้พบกับเถียนหลิง หากแต่เป็นก่อนหน้านั้น ก่อนหน้าที่เถียนหลิงยังอาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนเขาสูงนั่น
กระดิ่งน้อย เจ้าคงจะจำคนที่ตัวเองช่วยชีวิตไม่ได้แล้วกระมัง...
เฟิ่งเจี่ยหรันเงยหน้ามองท้องฟ้านอกหน้าต่างรถม้า พลอยทำให้เขาคิดถึงคืนวันเหล่านั้น เมฆก้อนใหญ่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า เขานอนหายใจแผ่วเบาคล้ายคนใกล้ตายอยู่บนโขดหิน มองท้องฟ้าเคลื่อนคล้อยจากไปตามกระแสลมอย่างเงียบงัน เช่นเดียวกับความตายที่ค่อยๆ เคลือบคลานเข้ามาใกล้ทุกที แขนขาที่หักจากการตกผา เจ็บจนไม่รู้เจ็บแล้ว ทั่วทั้งร่างอาบไปด้วยเลือดโลหิตสีแดงคล้ำ
องค์ชายห้าเหวินหรันตกหน้าผาขณะออกเดินทางร่ำเรียนวิชา
อีกไม่นานพวกมันคงได้ปล่อยข่าวนี้สมใจอยากแล้วกระมัง หลังจากจัดพิธีศพให้เขาเสร็จสิ้น ก็คงดื่มสุราฉลองกันเสียยกใหญ่ที่สามารถตัดศัตรูผู้ช่วงชิงบัลลังก์ไปได้อีกหนึ่ง ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นใจ หรือว่านี่จะถึงจุดจบของเขาแล้วจริงๆ
ว่าวใหญ่ ลอยสูง สูงเท่าไหร่
ยามตก ตกลง ในโคลนตม
ตัวข้า ขึ้นสูง สูงเท่าไหร่
ยามตก ตกลง เหมือนดั่งว่าว
เขาหัวเราะออกมาเบาๆ มิคาดว่าตนจะมีอารมณ์สุนทรีย์ก่อนตายเช่นนี้ได้ ในขณะที่คิดอย่างเลื่อนลอยนั่นเอง เสียงเดินสวบสาบผ่านพงหญ้าก็ดังเข้ามาใกล้ อาจจะเป็นหมีหรือหมาป่า พวกมันคงตามกลิ่นเลือดที่คาวคลุ้งของเขามา แม้หูจะได้ยินเสียงอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามาทุกที ชายหนุ่มก็ไม่สามารถลุกขึ้นมองหรือหนีได้ ด้วยเพราะกำลังตอนนี้เหลืออยู่เพียงน้อยนิด เดิมทีจะใช้หายใจยังยากเต็มที
...แต่ก็ ดีเหมือนกัน หากว่าตายเร็วหน่อยอาจจะดีกว่าตอนนี้ก็ได้
ดวงตาคมกล้าที่คล้ายจะหมดแสงหลับตาลง ยามนี้เขาพร้อมรับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นแล้ว ทว่าเมื่อได้ยินเสียงใสดั่งกระดิ่งต้องลมนั่นแล้ว ชายหนุ่มก็ต้องฝืนกำลังตนลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
“นอนหลับสบายเชียว”
ใบหน้าขาวผ่อง นัยน์ตาใสกระจ่างตัดกับท้องฟ้าด้านบนกำลังชะโงกหน้าลงมาหา รอยยิ้มจากคนแปลกหน้าที่หยิบยื่นมาให้คนใกล้ตาย ...ช่างอ่อนโยนเหลือเกิน
หนึ่งยิ้มล่มเมืองไม่แปรผัน ชั่วขณะหนึ่งยิ้มนั้นกลับกลายเป็นนิรันดร์
องค์ชายห้ารู้แล้วว่า หากไม่ได้ยลรอยยิ้มนี้อีกสักครั้ง ตนก็มิอาจตายได้…
เมิ่งเสี่ยวไห่มองผู้เป็นนายที่เหม่อลอยคล้ายคนกำลังระลึกความหลังแล้วก็ได้แต่ปลงในใจ ไม่ว่าต่อไปองค์ชายห้าผู้นี้จะตัดสินใจเช่นไร จะส่งผลดีหรือไม่อย่างไร ตนที่เป็นองครักษ์ข้างกายก็ไม่อาจโต้แย้งอันใดได้
------------------------------------------------------------------------------------------------
[2] กระดาษซวนจื่อ (**) กระดาษสีขาวใช้เขียนอักษรจีน รวมทั้งวาดรูป มีต้นกำเนิดตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง มีลักษณะลื่นและนุ่ม เก็บได้นานไม่เหลืองซีด
[3] ซีซือ หรือ ไซซี หนึ่งในสี่สาวงามในตำนานของจีน สำนวน เห็นคนรักเป็นดั่งซีซือ
มีความหมายว่า เห็นคนรักของตนนั้นงามที่สุดในสายตา
[4] ชาเข็มเงิน (****) จวินซานอิ๋นเจิน ชาเข็มเงินจวินซาน ดั้งเดิมนั้นผลิตบนพื้นที่เขตจวินซาน มีตำนานเกี่ยวข้องในสมัยถังว่าเป็นต้นชาวิเศษ