บทที่ 2 พบหน้ากันอีกครา ล้วนเป็นคนแปลกหน้า

3367 คำ
ข้ากลับมาได้สามวันแล้ว แต่ละวันเงียบสงบราวกับทะเลไร้คลื่น ไม่มีผู้ใดมาเยี่ยมเยือน ไม่มีผู้ใดมาคารวะ เงียบสงบจนข้าเข้าใจไปเองว่าผู้คนภายนอกอาจจะลืมข้าผู้นี้ไปแล้วจริงๆ วันทั้งวันหมดไปกับการนั่งตกปลาในสระที่ขุดไว้ในวัง พอปลากินเบ็ด ข้าก็ปลดตะขอโยนมันลงน้ำเช่นเดิม ทำเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระทั่งยามนี้มีคนผู้หนึ่งย่องมานั่งข้างกายอย่างเงียบเชียบ หากเจ้าตัวไม่พูดขึ้นมาเสียก่อน เกรงว่าข้าคงไม่อาจรู้ตัวได้ “ชีวิตอ๋องช่างว่างอะไรเช่นนี้” ข้าตะลึงงันมองอีกฝ่าย เมื่อคนที่มาเยี่ยมเยือนคนแรกกลับเป็นคนผู้นี้ไปเสียได้ “นึกว่าเจ้าเด็กที่ไหน ที่แท้ก็เป็นเสี่ยวหลงเปานี่เอง” “เฮอะ! ไม่เจอกันนานนะพระปิตุลา เรียกฮ่องเต้ว่าเสี่ยวหลงเปา สมควรมีโทษสถานใดฮึ?” “จับขังคุกหลวงเป็นอย่างไร” ข้ายิ้มเสนอความคิดช่วย มือก็ยกคันเบ็ดขึ้นมาดู คราวนี้ไม่ใช่ปลาแต่กลับเป็นกิ่งไม้แห้งที่จมน้ำมานานจนตะไคร่เกาะกลายเป็นสีเขียว “จับเจ้าเข้าคุกหลวง? เจ้าอยากให้บรรพบุรุษชิงชังข้าเช่นนั้นหรือ เสด็จปู่คงชี้หน้าข้าว่าหลานเนรคุณ เสด็จพ่อคงชี้หน้าข้าว่าลูกไม่รักดี” “หึหึ ก็ดูดีไม่ใช่น้อย” เป็นครั้งแรกที่ข้าเผลอหัวเราะออกมาหลังจากที่ไม่ได้หัวเราะมานาน คงนับตั้งแต่วันที่ดอกไห่ถังร่วงโรยกระมัง ฮ่องเต้หนุ่มปรายตามองข้า ผู้อื่นคงกริ่งเกรงจนเข่าอ่อน แต่ข้ากลับเห็นว่าช่างน่าชังยิ่ง คาดว่ากิริยาเช่นนี้คงสืบทอดกันในตระกูล พ่อข้า พี่ข้า แม้แต่หลานข้า ล้วนแต่ปรายตามองผู้อื่นเช่นนี้ เสี่ยวหลงเปา ที่ข้าเรียกมีนามว่า เถียนอี้ หรือก็คือฮ่องเต้รัชกาลปัจจุบัน ผู้มีศักดิ์เป็นหลายชายของข้า หลานชายที่อายุมากกว่าข้าสี่ปีกว่า เพราะข้าดันเป็นองค์ชายน้อยที่เกิดมาแบบไม่คาดฝันของ เถียนตี้ไท่ซ่างหวง[1] และเป็นอนุชาที่เหลือเพียงคนเดียวของ เถียนเต๋อไท่จง เสด็จพ่อของ เถียนอี้ มิใช่ว่าเสด็จพ่อของข้านั้นมีโอรสธิดาน้อย แต่นั่นเป็นเพราะเสด็จพี่ของข้า ล้วนสังหารพี่น้องคนอื่นเสียหมดสิ้นก่อนขึ้นครองราชย์ ดังนั้นทั้งเสด็จพ่อ เสด็จพี่จึงเห็นข้าเป็นดั่งสมบัติล้ำค่าที่ต้องคอยประคองไว้กลางฝ่ามือ แม้แต่ เสี่ยวหลงเปาผู้นี้ยังสืบต่อเจตนารมณ์นี้ต่อ ทั้งหมดนี้ ข้าเห็นว่าบ้าบอยิ่ง “เจ้าโตขึ้นมาก” ข้ายกมือลูบหัวหลานชาย มิผิดจากที่คาดไว้ว่าเถียนอี้โตมาแล้วต้องรูปหล่อเฉกเช่นท่านอาอย่างข้า หากแต่การเป็นฮ่องเต้ดูจะเคี่ยวกรำคนอย่างมาก บนหน้าผากนี้ถึงมีร่องรอยของความเหนื่อยล้าปรากฏขึ้นมาให้เห็น “เจ้าย่อมไม่มีทางรู้ว่าข้าเป็นห่วงเจ้ามากแค่ไหน” เถียนอี้ว่าพลางจับมือของข้าที่แตะอยู่กลางหน้าผากตนไปกอบกุมไว้ ใช้ปลายนิ้วที่สากเล็กน้อยจากการฝึกกระบี่ลูบไล้มือข้าไปมา “กลับมาแล้วอย่าได้จากไปไหนอีก ถือว่าข้าขอร้อง...” “ยังติดท่านอาอย่างข้าอยู่อีกหรือ” ข้ายิ้มล้อเลียนผู้หลาน เมื่อครั้งเป็นเด็กรัชทายาทผู้นี้มักชอบจูงมือองค์ชายน้อยเช่นข้าไปทุกแห่งหน “นั่นเพราะเจ้ามันชอบทำตัวน่ารังแก ใครเห็นก็จะวิ่งเข้าไปรังแกอย่างไรเล่า!” “พวกเขาจะวิ่งมาอุ้มข้าต่างหาก เป็นเจ้าที่คิดมากไปเอง” ข้าดึงมือของตนกลับ ก่อนจะใส่เหยื่อที่ตะขอเบ็ดแล้วเหวี่ยงออกไปในน้ำอีกครั้ง ตอนที่ข้าเริ่มเดินได้ มีครั้งหนึ่งที่หกล้มเข่าแตกตามประสาเด็กเล็ก ทว่าผู้ใหญ่เช่นเสด็จพี่กลับเห็นเป็นเรื่องใหญ่เทียมฟ้า ปานสวรรค์จะถล่มลงมา เพราะกลัวว่าข้าจะได้รับบาดเจ็บอีก ข้าจึงมักถูกอุ้มโดยพวกนางกำนัลและขันทีเสียเป็นส่วนใหญ่ กระทั่งองค์ชายเช่นข้าเกือบลืมไปแล้วว่าตนก็เดินได้ มีเพียงเวลาที่อยู่ด้วยกันกับผู้หลาน ด้วยเกรงว่าหากเดินด้วยกันแล้วข้ายังถูกอุ้มอยู่ จะทำให้ดูมีอภิสิทธิ์เหนือผู้สืบบัลลังก์คนต่อไปจนดูไม่เหมาะสม จึงได้ปล่อยให้ข้าเดินเอง และเพราะเหตุนี้กระมัง เถียนอี้จึงมักจูงมือข้าไปไหนมาไหน จนมีพักหนึ่งที่ข้าเกิดตื้นตันใจเป็นอันมากจนเรียกเขาผิดๆ ว่า เสด็จพี่หลานชาย “ท่านอาของเจ้าเหนื่อยยิ่งนัก” ข้าถอนหายใจก่อนจะเอนซบแขนของเถียนอี้ ความเศร้าโศกที่ยากจะขจัดกำลังกัดกินใจข้าเหมือนหนอนพิษ ทั้งๆ ที่ข้าทนมาได้ขนาดนี้ แต่เมื่อพบความอบอุ่นของคนในครอบครัวน้ำตากลับรื้นขึ้นมาอย่างไม่อาจหักห้าม “ไม่ถามหน่อยหรือว่าสามปีข้าจากไปไหนมา” มือหนายกตบไหล่ข้าเบาๆ ไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใดต่อ มืออีกข้างรับคันเบ็ดจากข้าไปถือให้ ข้าไม่ได้มองว่าตอนนี้เขาทำหน้าเช่นไร ดวงตาเอาแต่จับจ้องแมลงปอตัวสีเขียว บินล้อเล่นลมอยู่บนดอกบัวขาวที่เริ่มเบ่งบานในสระ หาไม่แล้วหากได้เห็นแววตาของเขาที่มองมายังข้า ข้าคงน้ำตาร่วงให้น่าอับอาย เถียนอี้ปล่อยให้เสด็จอาของตนซบแขนแกร่งอยู่เช่นนั้น หลังจากตบบ่าปลุกปลอบอีกฝ่ายแล้วก็ได้แต่กอดไหล่มนเอาไว้ เพราะคนผู้นี้หน้าบางยิ่ง หากเจ้าตัวอยากจะร้องไห้ ทางที่ดีคืออยู่เงียบๆ คอยเป็นที่พึ่งพิงให้ก็เพียงพอแล้ว เสด็จปู่กับเสด็จพ่อก่อนสิ้นพระชนม์ ล้วนฝากฝังเถียนหลิงไว้กับตน แต่เมื่อสามปีก่อนอ๋องน่าตีผู้นี้กลับหนีออกจากวังไปเสียดื้อๆ ประสบกับช่วงนั้นมีเหตุการณ์ก่อกบฏและเรื่องราวน่าปวดหัวมากมาย เถียนอี้จึงปล่อยให้อีกฝ่ายจากไปโดยง่าย หากอยู่ในเมืองหลวงที่ตอนนั้นเต็มไปด้วยอันตราย สู้ไปอยู่ที่อื่นเสียยังดีกว่า หากแต่ยามนี้เมื่อได้กลับคืนมาแล้ว คงยากที่จะมือปล่อยไปอีก… “เสี่ยวหลงเปาบอกข้าสักคำเถอะว่าจะพาข้าไปไหน ...ท่านอาง่วงแล้ว” ข้าเอ่ยปากถามร่างสูงในชุดสามัญชน หลังจากโดนชักชวนออกจากเรือนยามวิกาล โดยมีพ่อบ้านฝูยืนยิ้มส่ง พร้อมบอกว่าจะรอข้ากลับมา นับจากวันนั้นนอกจากเถียนอี้แล้ว ก็หาได้มีผู้ใดมาเยี่ยมเยือนอีก ข้ารู้สึกผิดวิสัยเกินไป กระทั่งพ่อบ้านของข้าบอกว่า แท้จริงแล้วข่าวเรื่องการกลับมาของข้า ถูกปิดไว้ตามคำสั่งของฮ่องเต้ หรือก็คือผู้ที่ลากข้าออกจากห้องยามค่ำมืด ทั้งที่ดวงตาของข้าใกล้จะปิดแล้วตอนนี้ ผู้หลานไม่มีทางรู้เลยว่าเมื่อครั้งที่ข้าอยู่บนเขา ตะวันตกดินหัวข้าก็ถึงหมอนแล้ว ไหนเลยจะมีเวลามาเดินเที่ยวเตร่เช่นนี้ “เลิกเรียกข้าว่าเสี่ยวหลงเปาเสียทีเถอะน่า” ข้ายิ้มรับ กระชับมือใหญ่ที่จับจูงตนไว้ให้มั่น มองเสี้ยวหน้าที่น่าเกรงขามข้างกายแล้วนึกให้เอ็นดู แต่ไม่ได้ตกปากรับคำว่าจะเลิกราโดยง่าย ข้าเรียกของข้ามาเนิ่นนาน ไหนเลยจะเปลี่ยนความคุ้นชินนี้ได้ หากแต่หลานไม่รักดีผู้นี้กลับยกมือตีหน้าผากข้าเสียเสียงดัง “ดื้อด้าน” “เจ้าตีข้า... ข้าเป็นท่านอาของเจ้านะ” ข้าพูดเสียงอ่อย ยกมือลูบหน้าผากตัวเองปรอยๆ ไม่ลืมย้ำว่าข้าคือญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของเขา อันที่จริงหากจะกล่าวให้ถูกต้องเรียกว่าข้าเป็นญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวของเขาต่างหากเล่า ไม่ว่าจะไทซ่างหวง ไทฮองไทเฮา ฮองไทเฮา ล้วนสิ้นไปหมดแล้ว ตามหลักคุณธรรมแล้วผู้หลานควรจะเคารพข้าให้มากหน่อยมิใช่หรือ? “แต่ข้าอายุมากกว่าเจ้า! เจ้าเป็นอาประสาอะไรถึงได้อายุน้อยกว่าข้า นี่ยังไม่นับที่ข้าเป็นฮ่องเต้อีก” ว่าแล้วก็หันมาหยิกแก้มข้าจนน้ำตารื้อ ช่างลงมือได้เหี้ยมโหดเสมอต้นเสมอปลาย นอกจากจะตีข้าแล้วยังหยิกข้าอีกด้วย “ได้ๆ ท่านอาผู้นี้ย่อมต้องยอมให้ฮ่องเต้ พระองค์โปรดละเว้นกระหม่อมเถิด ขะ...ข้าเจ็บ เจ็บจริงๆ นะ” “หึ” เถียนอี้ทำเสียงขึ้นจมูก แล้วลากข้าออกเดินต่อ เจ้าช่างเป็นหลานที่ไร้คุณธรรมโดยแท้ แต่เอาเถิด แม้ลำดับญาติข้าจะสูงกว่า หากเมื่อเทียบกับคำว่า ข้าเป็นฮ่องเต้ ของผู้หลานแล้ว ข้าย่อมพ่ายแพ้ วันนี้เป็นคืนเทศกาลชีซี[2]ผู้คนในเมืองหลวงจึงดูคึกคักเป็นพิเศษ โดยเฉพาะหนุ่มสาวที่ใคร่อยากหาผู้รู้ใจ ยามนี้ที่ถูกจับจ้องเป็นพิเศษเห็นทีจะเป็นสองบุรุษที่เดินเคียงคู่กันมา หนึ่งสง่าผ่าเผย อีกหนึ่งน่าเกรงขามทั้งดูสูงศักดิ์ เถียนหลิงเดินผ่านร้านรวงต่างๆ มองดูพ่อค้าแม่ขายร้องป่าวเรียกลูกค้าอย่างครื้นเครง ตลอดเส้นทางสายหลักใจกลางเมืองหลวงล้วนถูกประดับตกแต่งด้วยโคมไฟ นานแล้วที่เขาไม่ได้มาเที่ยวงานเทศกาล จึงอดรู้สึกตื่นตาตื่นใจไม่ได้ หากแต่เมื่อเดินผ่านร้านขายหน้ากากไม้ ชายหนุ่มก็ชะงักฝีเท้าลง นิ้วเรียวยื่นไปแตะหน้ากากที่ลงสีไว้อย่างสวยงาม สัมผัสแผ่วเบาที่ปลายนิ้วเรียกความทรงจำเมื่อครั้งเก่าก่อนให้หวนกลับมาอีกครั้ง คราแรกให้ความรู้สึกอ่อนหวานในอก แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นขมขื่นจนต้องยิ้มเยาะให้ตนเอง ...เมื่อครั้งนั้น ท่านก็เคยทำหน้ากากไม้เช่นนี้ให้ข้า ‘หลิงเอ๋อร์ หน้ากากไม้นี่ข้าให้เจ้า เจ้าชอบหรือไม่’ เถียนหลิงละมือจากการปะซ่อมชุดของชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนรัก รอยยิ้มงามผุดขึ้นบนใบหน้า มือก็รับหน้ากากไม้นั้นมาถือไว้ ‘ข้า...’ แต่ทว่าเจ้าตัวยังตอบไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็ชิงพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน ‘หากเจ้าไม่ชอบก็ไม่เป็นไร คราวหน้าข้าจะแก้ตัวใหม่ ต้องหาของที่เจ้าชอบมากๆ มาได้แน่!’ รอยยิ้มอบอุ่นของชายที่รักถูกหยิบยื่นมาให้ แววตาที่แฝงไว้ด้วยความใสซื่อประสาชาวบ้านที่อยู่ห่างไกลความเจริญดูจริงใจยิ่งนัก และเพราะเป็นเช่นนี้ จึงไม่ยากเลยที่เขาจะได้ใจของเถียนหลิง องค์ชายน้อยผู้ที่โดนประจบเอาใจมาตั้งแต่เด็กจนชินชา ชีวิตของข้าหาได้ต้องการอำนาจหรือเงินทอง เพียงความเรียบง่ายเช่นนี้ที่ข้าต้องการ อยู่เป็นคู่ผัวเดียวเมียเดียวจนแก่เฒ่า ‘ไม่ต้องหรอกท่านพี่ ท่านให้อะไรข้าก็ชอบทั้งนั้น’ หน้ากากไม้แล้วอย่างไร ต่อให้ท่านนำฝุ่นผงเพียงหยิบมือยื่นให้ข้า ข้ายังจะเก็บมันไว้อย่างดีเสียด้วยซ้ำ ‘ติดตามข้าลำบากเจ้าแล้ว หลิงเอ๋อร์เจ้าจะรอข้าได้หรือไม่ ข้าสัญญาว่าจะกลับมาตบแต่งเจ้าเป็นภรรยาอย่างถูกต้อง’ มาวันนี้ถึงรู้ว่าตนโง่เขลายิ่งนัก งานมงคลนั้นมีอยู่จริง ผิดเพียงว่าเจ้าสาวนั้นไม่ใช่ข้า เถียนหลิงหนอ เถียนหลิง เจ้าช่างไม่ประสาเอาเสียเลย หากยามนั้นข้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ไหนเลยจะยิ้มส่งท่านได้หมดจดปานนั้น หากข้ารู้ว่าท่านจะเปลี่ยนใจเป็นอื่น ข้าคง... “...หลิง เถียนหลิง!!” “อ่ะ!” ข้าสะดุ้งตกใจหลุดจากภวังค์ ถอยหลังไปชนแผ่นอกของเถียนอี้ ร่างสูงจับไหล่ข้าพลิกหันกลับไปหาเขา ตาคมคู่นั้นดูคล้ายคนตื่นตกใจ ข้าไม่แน่ใจนักเพราะตอนนี้ดวงตาของข้า.... “เกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงร้องไห้” เพราะดวงตาของข้านั้น มันพร่าเลือนไปด้วยน้ำตาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ “ข้า...ข้า... คือ” ข้าไม่รู้จะตอบเถียนอี้ว่าอย่างไร จึงยกหน้ากากที่ถือติดมือมาด้วยขึ้นสวม “ข้าเห็นแล้วอยากได้มาก เจ้าจ่ายเงินให้ด้วย” พูดจบก็ผละไปเสียดื้อๆ ข้ารู้ว่ามันฟังดูโง่งม คงไม่มีผู้ใดร้องไห้เพราะอยากได้หน้ากาก โดยเฉพาะผู้ใหญ่เช่นข้า แต่จะให้ข้าบอกเถียนอี้ว่าอย่างไรเล่า บอกว่าข้าโดนบุรุษผู้หนึ่งทอดทิ้ง ยามนี้นึกถึงเรื่องราวเก่าก่อนจึงร่ำไห้เช่นนั้นหรือ? เกรงว่าหากเถียนอี้รู้เข้าคงล้างบางทั้งสกุลหลีกระมัง ถึงข้าจะโกรธแค้นเขามากมายเพียงใด แต่คนในสกุลหลีย่อมไม่รู้เรื่องนี้ แล้วข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร กระแสฝูงชนพัดพาข้าที่เดินออกมาก่อนให้พลัดหลงกับฮ่องเต้หนุ่ม เมื่อหันกลับไปมองอีกครั้งก็ไม่เจอใครเสียแล้ว ช่างเถิด... เถียนอี้เป็นฮ่องเต้ย่อมมีองครักษ์ลับคอยคุ้มกัน ผิดจากอ๋องเช่นข้าที่หามีผู้ใดจดจำได้ เมื่อคิดได้เช่นนี้ ข้าจึงไม่ใส่ใจจะเดินตามหาผู้หลานนัก แต่ขณะที่กำลังเดินเที่ยวงานโดยไร้จุดหมายอย่างเดียวดาย สายตาของข้าก็พบกับเงาร่างที่เคยเฝ้าคอยมาตลอดสามปี แม้นานมากแล้ว หากแต่ข้ายังจดจำทุกอย่างของเขาได้ดี แผ่นหลังเช่นนั้น ท่าเดินเช่นนั้น ข้าล้วนแต่จำได้ขึ้นใจ ท่านจะจำข้าได้หรือไม่ หลีกวนถง คลื่นอารมณ์มากมายถูกสาดซัดใส่ตัวข้าในเวลาเดียวกัน โกรธแค้น น้อยใจ ทั้งรัก ทั้งชัง ...ทั้งคิดถึง รู้ตัวอีกทีก็เดินตามไปเสียแล้ว ข้าคิดจะเอื้อมมือไปจับมือข้างนั้นของเขาไว้ ถามให้รู้เรื่องว่าแท้จริงแล้วเกิดอันใดขึ้น แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อมือข้างนั้นกำลังจับจูงดรุณีน้อยนางหนึ่งอยู่ ข้าหดมือกลับไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกำมันไว้แน่น เพื่อระงับอาการสั่นระริกราวถูกผลักตกน้ำในฤดูหนาวของตนเอง ‘สามปีผ่านไปสามีกลายเป็นอื่น’ ข้ารู้สึกซวนเซเล็กน้อย จึงหลบไปยืนพิงกายอยู่ข้างกำแพงใกล้ๆ นั้น ดวงตายังคงจับจ้องคนทั้งคู่ด้วยความรู้สึกบอบช้ำ ข้าคิดว่าตัวเองเจ็บมากจนชาชินแล้ว หากแต่เมื่อได้เห็นกับตากลับเจ็บยิ่งกว่า มันเจ็บมาก...แม้แต่หายใจมองอยู่ตรงนี้ก็ยังเจ็บ ที่ตรงนั้นเคยเป็นของข้า... บุรุษหล่อเหลากับสตรีรูปโฉมงดงาม ช่างเหมาะสมกันราวกิ่งทองกับใบหยก แล้วข้าเล่าเป็นตัวอะไรกัน นั่นคงเป็นคุณหนูไป๋ที่ผู้คนพูดถึงกระมัง งดงามและเพียบพร้อม อ่อนหวานเหมือนดอกไม้แรกแย้ม และเพราะข้าไม่อาจทำตัวเป็นไม้ตียวนยางคู่ เมื่อรู้สึกดีขึ้นจึงได้แต่เดินตามคู่รักอยู่ห่างๆ ทุกย่างก้าวที่พวกเขาหัวเราะต่อกระซิก ล้วนเหยียบย้ำไปบนใจข้า ที่น่าชังที่สุดเห็นทีจะเป็นตัวข้า แม้จะปวดร้าวปานจะขาดใจ แต่ก็ยังเดินตามอย่างไม่ลดละ มีบางครั้งที่ใบหน้านั้นมองผ่านมายังข้า เพียงแค่นั้นหัวใจที่นึกว่าตายไปเสียแล้วกลับสั่นระริกขึ้นมา ตื่นเต้นว่าเขายังจะจำข้าได้หรือไม่ แต่ก็ต้องรู้สึกผิดหวัง เมื่อเขามองผ่านไปราวคนแปลกหน้า ก่อนจะหันกลับไปหาสตรีข้างกาย ทอดมองนางด้วยความรักใคร่เอ็นดู อ่า...จริงสิ ข้าสวมหน้ากากอยู่เขาคงจะจำไม่ได้ ดีแล้ว... จำไม่ได้แบบนี้ก็ดีแล้ว จะได้ไม่เห็นว่าภายใต้หน้ากากนี้ น้ำตาที่ไหลรินของข้ามันน่าสมเพชเพียงใด แค่นี้ข้าก็น่าสงสารมากพอแล้ว ท่านก็อย่าได้เห็นมันเลย “มีอะไรหรือเจ้าคะ?” “เปล่า คล้ายเจอคนรู้จัก เเต่จำไม่ได้ว่าเคยเจอที่ไหน” หลีกวนถงตอบหญิงสาวที่ตนต้องเข้าพิธีด้วยในเวลาอันใกล้นี้ ก่อนจะจ่ายเงินให้เฒ่าแก่ร้านขายปิ่นเมื่อนางได้ปิ่นที่พึงใจ ทว่าตอนที่ทั้งคู่กำลังจะจากไปนั่นเอง “เถียนหลิง!!! เจ้ามันน่าตีให้ขาหักจริงๆ ข้าบอกให้เจ้าอยู่ห่างข้าตั้งแต่เมื่อไหร่!” “บะ...เบาหน่อย อายคนยิ่ง ข้าไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย เป็นเจ้าเองที่ไม่รีบตามมา” หลีกวนถงที่กำลังจะออกเดินต่อ พลันหันกลับไปทางด้านหลังของตน หากในยามปกติบทสนทนาเล็กน้อยนี้เขาคงไม่เก็บมาใส่ใจ แต่เมื่อได้ยินชื่อและเสียงที่ยังคงตราตรึงในความทรงจำนั้น ขายาวก็เปลี่ยนทิศทางในทันที ความรีบร้อนนี้ทำให้เขาลืมแม้กระทั่งสตรีที่พามาด้วย มิน่าถึงคุ้นเคยนัก ชื่อและเสียงเมื่อครู่ที่ได้ยินเหมือนมีแสงสว่างวาบเข้ามาในหัวของชายหนุ่ม ไม่ผิดแน่... ชื่อนี้ เสียงนี้ รูปร่างเช่นนี้ ต้องเป็น เถียนหลิง อย่างแน่นอน! หลิงเอ๋อร์มิใช่อยู่ที่หุบเขาหรือ เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่! แถมข้างกายที่เคยเป็นที่ของตนกลับกลายเป็นชายที่ดูสูงศักดิ์น่าเกรงขามผู้นั้นแทน ยิ่งคิด หลีกวนถงยิ่งร้อนรุ่มในใจ รีบสาวเท้าให้เร็วขึ้นอีก มือหนายื่นไปหวังจะจับร่างระหงที่เหมือนดั่งกระเรียนขาวนั่นมาซักไซ้ให้ได้ความ แต่ยังไม่ทันได้ถึงตัว กลับถูกบุรุษผู้นั้นชิงตัดหน้า ดึงหลิงเอ๋อร์ของเขาไปกอดไว้เสียก่อน ดวงตาคมตวัดมองกลับมาอย่างดุดัน ราวกับเขากำลังกระทำการอันไร้มารยาทอยู่… “เอาล่ะๆ เจ้าจะกอดคืนดีกับข้าจนโตเลยหรืออย่างไร” ข้ายิ้มขำทั้งน้ำตา ยกมือขึ้นกอดตอบพลางตบหลังเถียนอี้เบาๆ ยังดีที่ผู้หลานไม่เห็นว่าภายใต้หน้ากากข้าทำหน้าย่ำแย่เพียงใด “อืม คอยดูเถอะว่าข้าจะรัดเจ้าจนกระดูกหักอย่างไร” เสียงทุ้มหนักแน่นขบกรามกระซิบข้างใบหู เห็นได้ชัดว่าโมโหเป็นอย่างยิ่ง ข้าคลี่ยิ้มเมื่อคิดว่าคนผู้นี้เอาแต่รังแกข้าแต่ก็ห่วงใยข้ายิ่งนัก “เจ้าพูดอันใดให้ข้าขำอีกแล้ว” เถียนอี้ไม่ตอบ แต่กอดรัดข้าเสียแนบแน่น ถึงข้าจะถูกอีกฝ่ายกระทำเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก แต่มันก็อยู่ในห้องหับ หาใช่กลางฝูงชนเช่นนี้ไม่ มิใช่เขาลืมไปแล้วหรือว่า ยามนี้ผู้คนพลุกพล่านนัก ไม่กลัวจะถูกกล่าวหาว่าเป็นต้วนซิ่ว[3]หรือไร “พี่กวนถง เหตุใดจึงรีบร้อนนักล่ะเจ้าคะ” เสียงเรียกชื่อคนผู้นั้นอย่างอ่อนหวานทำร่างกายข้าแข็งเกร็งไปทั้งตัว เหตุใดพวกเขาจึงมาอยู่ด้านหลังของข้าได้ ยามนี้ ระยะห่างระหว่างพวกเรา... ใกล้เพียงคืบเท่านั้น “พอดีคิดว่าเจอคนรู้จัก จึงคิดจะมาทักทาย” หลีกวนถงตอบเด็กสาวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล หากแต่มือของชายหนุ่มกลับกำเข้าหากันแน่น เพื่อระงับโทสะและความหึงหวงที่ตอนนี้จวนจะปะทุอยู่รอมร่อ “สบายดีหรือไม่หลิงเอ๋อร์” ---------------------------------------------------------------------------------------------------- [1] ตำแหน่ง ไท่ซ่างหวง คือ ตำแหน่งฮ่องเต้ที่สละราชสมบัติโดยยังมีพระชนม์ชีพอยู่ [2] เทศกาลชีซี (**) เทศกาลแห่งความรัก ที่มาจำตำนานรักของสาวทอผ้ากับหนุ่มเลี้ยงวัว ที่จะได้กันปีละครั้ง ในวันที่ 7 เดือน 7 [3] ต้วนซิ่ว (**) ตัดแขนเสื้อ คำเปรียบเปรย เรียกชายรักชาย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม