บทที่ 1 หวนคืนสู่ฐานะ

2587 คำ
“นายท่านจะไปที่ใด?” เสียงเสี่ยวเอ้อร์ในร้านเหล้าเล็กๆ ไต่ถามข้า ข้าเพียงพยักหน้าให้เขา แล้วกล่าวขอซื้อม้าสักตัว “ข้าจะกลับเมืองหลวง บ้านเกิดของข้า...คือเมืองหลวง” “ชาวบ้านคงคิดถึงท่านน่าดู เฮ้อ แต่จะอย่างไรท่านไปก็ดีแล้ว ที่ไหนก็ไม่เหมือนบ้านเกิดของเรา ขอให้ท่านโชคดี” “พวกเจ้าก็เช่นกัน หากต้องการสุรา ใต้ต้นสาลี่บ้านข้ามีหลายสิบไห เอาไปทีละน้อยหน่อย ค่อยๆ แบ่งกันกิน สุราของข้าฤทธิ์แรงมากเทียว” “ขอบคุณนายท่าน ขอบคุณ” “แล้วพบกันใหม่” หลังจากล่ำลา ยกหมวกสานขึ้นสวม ข้าก็ตวัดขาขึ้นหลังม้าที่ไม่ได้ขี่มานาน แต่กระนั้นก็ยังทำได้อย่างคล่องแคล่ว มือข้างหนึ่งกุมบังเ**ยนแน่น ส่วนอีกข้างลงแส้ฟาดม้า ก่อนจะควบขี่มันออกไปตามทางที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา คืนนั้นหลังจากนั่งหนาวจนเช้า ข้าตากน้ำค้างจนหัวใจเย็นชืด แสงอาทิตย์ที่โผล่ขึ้นตามแนวทิวเขา จู่ๆ ก็ทำให้ข้าคิดถึงบ้านเกิด เอาเถิด ในเมื่อไม่มีอะไรมาฉุดรั้งข้าไว้อีกต่อไปแล้ว ข้าก็จะกลับบ้าน ถึงจะคิดว่าที่แห่งนี้เป็นบ้านของข้ามาตั้งสามปี แต่นั่นคงเป็นข้าที่คิดไปคนเดียว กลับบ้านก็ดีเหมือนกัน อยากรู้ว่าตอนที่ข้าไม่อยู่ ผู้คน สถานที่ต่างๆ ในความทรงจำจะเปลี่ยนไปสักกี่มากน้อย หลังจากควบม้าเปลี่ยนม้ามาสามวัน ในที่สุดข้าก็มาถึงเมืองหลวง ประตูหน้าเมืองตั้งตระหง่านดูน่าเกรงขาม เหมือนเช่นตอนที่ข้าจากไป แสดงว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทำนุบำรุงเมืองได้ดีไม่น้อย ข้าลงจากหลังม้าแล้วจูงมันเดินไปต่อแถวเหมือนเช่นคนอื่นที่ต้องการเข้าเมือง ป้ายชื่อตัวที่ไม่ได้ใช้มานานถูกหยิบออกมาจากอกเสื้อ มันดูเก่าไปบ้างแต่ยังใช้ได้ดี ข้าคิดว่าข้าคงต้องกลับไปขัดมันสักเล็กน้อยในภายหลัง “พ่อหนุ่มเจ้าเป็นคนจากที่ใดรึ” แม่เฒ่าที่รออยู่ข้างหน้าหันมาพูดคุยกับข้าไปพลางขณะรอแถวเคลื่อน นางเป็นหญิงชราที่ดูใจดีผู้หนึ่ง “ข้าเป็นคนเมืองหลวง ยามนี้เพียงจะเข้าเมืองเพื่อกลับบ้านเท่านั้น” ข้ายิ้มตอบนาง “อ้อ มิน่าเจ้าถึงดูสง่างามนัก ที่แท้ก็เป็นคนเมืองหลวงนี่เอง” ข้าไม่กล่าววาจาใดอีก นอกจากยิ้มกึ่งรับกึ่งสู้ค้อมหัวให้นางเล็กน้อย คนแก่ที่หูตาฝ้าฟางล้วนพูดจาไพเราะยามเจอข้า หากแต่กูเหนียง[1]บางนางกลับไม่แม้แต่จะมองหน้าข้าด้วยซ้ำ พวกนางก้มหน้างุด แต่ข้าไม่ได้ติดใจอะไรนัก “หลีกไป! คุณชายของข้ารีบเข้าเมือง” “ว้าย!” กลุ่มอันธพาลในคราบผู้ดีผลักหญิงชราที่อยู่ตรงหน้าข้าให้หลีกพ้นทาง ก่อนจะเคลื่อนรถม้าของตนเข้ามาแทนที่ ยังดีที่ข้าเข้าไปพยุงนางได้ทันก่อนจะหกล้ม ข้าตระหนักได้ว่าคนแก่หากล้มไปไม่ดีนัก จึงเหลือบมองกลุ่มคนเหล่านั้นด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย “มองทำไม! พวกเจ้าอยากมีเรื่องกันนักใช่ไหม! ท่านที่อยู่ในรถม้านี้คือคุณชายน้อยตระกูลเฟิง หากยังไม่อยากมีเรื่องกับตระกูลเฟิงก็หลีกไปให้พ้นทางซะ!!” ผู้คนพอได้ยินคนในรถม้านั่นเป็นคนตระกูลเฟิงก็เหมือนจะกลัวจนหัวหด ยกเว้นเพียงข้าที่หาได้ก้มหน้าราวผู้หวาดกลัว “ท่านยายข้าจะอุ้มท่านขึ้นหลังม้า อย่างไรก็เข้าเมืองพร้อมกันกับข้าเถิด” ข้ายกนางขึ้นนั่งบนหลังม้า แม่เฒ่ากอดคอม้าไว้อย่างตื่นกลัว ข้าลูบหัวม้าเบาๆ แล้วยิ้มให้นางวางใจ แน่นอนว่าหากยังมีข้าอยู่ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดอันใดขึ้น! “แต่ว่านั่นเป็นคนของตระกูลเฟิงเชียวนะพ่อหนุ่ม” นางว่าด้วยความวิตกกังวล “ตระกูลเฟิงแล้วอย่างไร ในเมื่อคนพวกนี้กล้าเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ย่อมต้องยอมรับได้หากถูกผู้อื่นกระทำเช่นเดียวกันกลับ ท่านยายอย่าได้กังวล สิ่งที่ข้าทำไม่อาจเรียกว่าผิดกฎหมาย” ข้าจูงม้าเดินออกจากแถว ก่อนจะเดินไปอยู่ข้างหน้ากลุ่มคนตระกูลเฟิง กระทำเช่นเดียวกันกับที่พวกมันทำไปเมื่อครู่ “เจ้าๆ เหตุใดจึงใจกล้านัก!!” “ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าเหตุใดคนตระกูลใหญ่ถึงกล้าแม้แต่รังแกหญิงชราตัวคนเดียว ยังมียางอายอยู่หรือไม่” -ข้าโต้ตอบกลับไปอย่างไม่ยอมความ “เอะอะอันใดกัน! สุนัขตัวใดบังอาจขวางทางข้า!” เด็กหนุ่มผู้หนึ่งร้องตะโกนออกมาจากห้องโดยสารของรถม้า ก่อนที่เจ้าตัวจะตามออกมา ข้าปรายตามองคุณชายน้อยตระกูลเฟิงอย่างเหยียดยามและไร้ซึ่งการปกปิดใดทั้งสิ้น ปกติข้าไม่ชอบมองคนด้วยแววตาเช่นนี้นักหากไม่จำเป็น… “ข้าหาใช่สัตว์เดรัจฉานเช่นพวกเจ้า การกระทำหรือวาจาล้วนแล้วแต่เดรัจฉาน นี่หรือคนตระกูลใหญ่ ได้ยินแล้วข้าอยากจะหัวเราะให้กำแพงเมืองถล่ม” ไม่น่าเชื่อว่าวาจาเผ็ดร้อนนี้จะออกมาจากปากข้าได้ ผู้คนรอบๆ เริ่มหัวเราะกลุ่มคนตระกูลเฟิงราวกับตัวตลก เห็นได้ชัดว่าต่างก็มีความรู้สึกเจ็บแค้นพวกเด็กรุ่นหลานที่ชอบวางท่าใหญ่โตเช่นกัน “ข้าจะฟ้องทางการ!!” “เชิญ!!” “แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!” “แต่ข้าคงไม่รอให้ถึงตอนนั้น ขอตัว” ข้ากระโดดขึ้นหลังม้าก่อนจะควบขี่ออกไป มือข้างหนึ่งโอบรัดรอบเอวแม่เฒ่าไว้ด้วยเกรงว่านางจะตกหลังม้า ใช้เวลาไม่นานก็ถึงหัวแถว นายทหารยกทวนขึ้นชี้หน้าข้า พลางตะโกนอย่างเดือดดาล “เหตุใดเจ้าไม่ต่อแถว ขี่ม้ามาด้วยความเร็วเช่นนี้คิดว่าตนเป็นอ๋องท่านใด!!” ข้าหยุดม้าแล้วลูบหัวมันอย่างปลอบโยน ก่อนจะพยักหน้าให้นายทหาร “บังอาจนัก! หากยังอยากเข้าเมืองก็ไปต่อแถว อย่าได้ทำตัวเป็นอันธพาลไม่รู้ความ หากเวลานั้นข้าหมดความอดทน จับพวกเจ้าทั้งสองเข้าคุก ถึงยามนั้นแม้แต่ฮ่องเต้ก็ช่วยไม่ได้แล้ว” กลุ่มคนตระกูลเฟิงที่ตามมาด้านหลัง ทันได้ยินเข้าก็ยิ้มเยาะข้า รอดูเรื่องสนุกที่พวกมันคิดว่าจะได้ดูในไม่ช้านี้ “พ่อหนุ่ม...” แม่เฒ่าร้องเรียกข้าอย่างหวาดกลัว ข้าเพียงยิ้มละไมให้นาง ก่อนจะโยนป้ายประจำตัวให้นายทหารผู้นั้น วรยุทธ์ของคนผู้นี้นับว่าไม่เลวนัก เพราะเขารับมันไปถือได้อย่างคล่องแคล่ว นี่นับว่าเหล่าแม่ทัพนายกองฝึกทหารได้ดี “ทะ...ท่าน ท่าน” “ข้าทำไม” “เชิญเข้าเมืองเถิดพ่ะย่ะค่ะ ขออภัยที่กระหม่อมมีตาแต่ไร้แวว พูดจาหารู้ความไม่ ขอพระองค์อย่าได้ถือสานายทหารชั้นผู้น้อยเลย” “ข้าไม่ได้ใจดำขนาดนั้น แต่กลุ่มคนด้านหลังข้าล้วนแต่ทำผิดกฎการเข้าเมือง หากพวกเขาไม่กลับไปต่อแถวเหมือนเช่นคนอื่นก็อย่าให้เข้าเมือง หากข้ารู้ว่าเจ้าปล่อยปละ” พูดถึงตรงนี้แล้วข้าก็ยืดหลังวางท่าของผู้สูงศักดิ์ เหลือบตามองเขาจากบนหลังม้าแล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา “…ข้าจะกลับมาคิดบัญชีกับเจ้าภายหลัง” “กระหม่อมมิกล้า” “ดี!” ข้ารับป้ายประจำตัวกลับมา ปรายตามองคนตระกูลเฟิงที่หน้าซีดเซียวอยู่เบื้องหลัง ก่อนจะควบม้าเข้าเมืองไป ทิ้งไว้เพียงฝุ่นที่ลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ ตัวข้าผู้เป็นอ๋องจะเข้าเมืองไม่จำเป็นต้องต่อแถวให้เสียเวลาแม้แต่น้อย ที่ทำไปเพราะไม่อยากให้การกลับมาครั้งนี้ดูเอิกเกริกใหญ่โต เป็นพวกคนตระกูลเฟิงเองที่ทำให้ข้าต้องใช้อภิสิทธิ์เหนือผู้อื่นแท้ๆ “ท่านยายจะไปที่ใดรึ” ข้าถามหญิงชรา เมื่อนางนั่งนิ่งไป “เจ้า.. อ่า ท่าน อ่าไม่สิ พระองค์เป็นเชื้อพระวงศ์หรือเจ้าคะ” นางถามผิดๆ ถูกๆ แต่ข้าหาได้ถือสาอันใด “ก็แค่อาชีพของข้า ท่านอย่าได้ถือสา ข้าก็หาได้จริงจังกับมันนัก มาเถิด บอกข้าว่าท่านจะไปที่ใด หากไม่รีบพูดข้าจะพาท่านเข้าวังไม่รู้ด้วยนะ” ข้าเย้านางเล่น เมื่อแม่เฒ่าทั้งตื่นเต้นทั้งหวาดกลัวข้าอยู่ในที “สวรรค์… แคว้นฉีอยู่ใต้สกุลเถียนนั้นนับว่าถูกต้องแล้ว” นางพึมพำด้วยดวงตาแดงก่ำ หากแต่ใบหน้ากลับยิ้มยินดี ข้าไม่ค่อยเข้าใจนักแต่ก็พยักหน้ารับแล้วกล่าวลานาง ถนนสายหลักล้วนเนืองแน่นไปด้วยผู้คน ข้าลงจากหลังม้าแล้วเดินจูงมันไปแทน เมืองหลวงยังคงมีสีสันของชีวิตมากกว่าที่อื่นดั่งเช่นตอนที่ข้าจากไป ตึกรามบ้านช่องดูหรูหราบ่งบอกไปถึงความมั่งคั่งของแคว้น แต่กระนั้นก็ยังแฝงไปด้วยกลิ่นอายของเมืองโบราณ ด้วยที่แห่งนี้คือที่สถาปนาแว่นแคว้นเมื่อหลายร้อยปีก่อน ผู้คนล้วนมีใบหน้าอิ่มเอิบ แสดงว่าการบริหารงานแผ่นดินไม่มีปัญหาอันใด หรือหากมีก็คงซ่อนเร้นไว้ได้ดีนัก “นี่ๆ ได้ยินข่าวงานมงคลของจอหงวนหลีกับบุตรสาวมหาเสนาบดีตระกูลไป๋แล้วหรือไม่” “เจ้ามิถามข้าช้าไปหรอกหรือ!? ยามนี้ใครบ้างไม่รู้เรื่องนี้ อ่า... นางช่างมีวาสนานัก ออกเรือนทั้งทีก็ได้ผู้มากความสามารถมาเป็นนายท่าน อีกทั้งยังหล่อเหลามากเทียว ข้าละอิจฉานางยิ่ง!” กึก! บทสนทนาของแม่นางด้านข้าง ทำให้ข้าเผลอกระแทกจอกน้ำชาลงบนโต๊ะอย่าลืมตัว อ่า... จอหงวนหลี หลี งั้นหรือ? คล้ายว่าลางสังหรณ์กำลังบอกอะไรบางอย่างแก่ข้า... “รบกวนแม่นาง จอหงวนผู้นั้นมีชื่อแซ่เต็มๆ ว่าอย่างไร ข้ากลับเมืองหลวงมาวันแรก พึ่งจะทราบว่าใครได้เป็นจอหงวน” “อ่ะ คุณชายท่านนี้ จอหงวนหลี ชื่อเต็มคือ หลีกวนถง สอบครั้งแรกก็ได้ตำแหน่งจอหงวนแล้ว ถือว่าเป็นคนฉลาดแห่งยุคเชียว” “ขอบคุณแม่นาง” “เดี๋ยว! ท่านชื่ออะไร” ข้าลุกขึ้นยืน มือหยิบเงินค่าน้ำชาที่ได้จากการขายม้าวางไว้บนโต๊ะแล้วเดินออกไป ไม่ทันได้ฟังเสียงเรียกของแม่นางน้อยผู้นั้น ท่าทางซวนเซของข้านั้นคล้ายคนเมาสุรา ทั้งที่สิ่งที่ดื่มกินไปเมื่อครู่มีเพียงน้ำชาและเสี่ยวหลงเปาลูกหนึ่ง ยามนี้ในใจเจ็บปวดจนอยากจะหัวเราะให้ตัวเองอีกสักครั้ง สามปีที่จากไป ที่แท้ก็อยู่เมืองหลวง สามปีที่จากไปที่แท้ก็มีสตรีในดวงใจ ข้าเดินไปเรื่อยเปื่อยอย่างคนไร้ซึ่งความคิดและสติปัญญา เหมือนตัวโง่งมที่เดินหาทางออกให้ตัวเองไม่เจอ ยังดีที่สองขาของข้าไม่ได้พาไปที่ประหลาดนัก แต่มันพาข้ากลับมาที่บ้าน... บ้านของข้าที่เมืองหลวง บ้านหลังใหญ่อันดับสองเป็นรองเพียงบ้านของฮ่องเต้เท่านั้น ...วังชินอ๋อง ข้ายืนมองป้ายหน้าประตูวังอย่างครุ่นคิด ทหารเฝ้าประตูมองตอบข้าอย่างสงสัยไม่แพ้กัน พวกเขาล้วนเป็นคนใหม่ ข้าจากไปนานปานนั้นยังจะมีใครจดจำได้ไหมหนอ เมื่อคิดว่าอาจจะไม่มีใครจดจำข้าได้ ข้าพลันรู้สึกเศร้าขึ้นมา “เหตุใดจึงมาทำลับๆ ล่อๆ จงแจ้งความประสงค์ของเจ้ามา หากยังทำตัวเช่นนี้ เห็นทีพวกข้าคงต้องจับไปไต่สวน” ข้าไม่ได้นึกโมโหที่พวกเขาช่างเกรี้ยวกราดกับข้าผู้เป็นนายนัก แต่กลับชอบใจจนอยากตกรางวัลให้แก่ความขยันขันแข็ง “ช่วยไปบอกพ่อบ้านที ข้า เถียนหลิง กลับมาแล้ว” ยังดีที่หน้าตาข้าพอจะเชื่อถือได้อยู่บ้าง หลังจากทหารไปแจ้งความแก่พ่อบ้านตามคำขอของข้า ชายชราใบหน้าซูบตอบก็วิ่งกระหืดกระหอบออกมา เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดดวงตาเรียวรีก็ปรากฏน้ำตาแห่งความปีติ มันเอ่อล้นออกอย่างอยากจะหักห้าม พอรู้ว่ากิริยาของตนมิใคร่จะเรียบร้อยต่อหน้าผู้เป็นนายนัก จึงนึกให้ละอายใจ รีบยกมือเหี่ยวย่นตามกาลเวลาขึ้นมาซับน้ำตาไม่น่ามองเหล่านั้นออกเสีย “ท่านอ๋อง เป็นท่าน..เป็นท่านจริงๆ หรือ” “อืม เป็นข้าเอง” ข้ายกยิ้มเบาบาง ในใจหวนคิดถึงวัยเยาว์ ครั้งเก่าก่อนคนผู้นี้ชอบมองข้าด้วยสายตาเอ็นดูหนักหนา มายามนี้กลับเป็นข้าที่มองอีกฝ่ายด้วยสายตากลับกัน คำว่ายิ่งแก่ยิ่งเหมือนเด็กคล้ายเป็นฉะนี้หรือ ข้าถึงได้มองอีกฝ่ายแล้วนึกเอ็นดูนัก “ท่านแก่ไปมาก พ่อบ้านฝู” “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมแก่ลงมากแล้ว แก่แล้วจริงๆ เมื่อครู่ยังนึกว่าเป็นภาพลวง หากไม่ได้ยินเสียงพระองค์คงจะคิดว่าตนเลอะเลือน นึกว่าชั่วชีวิตนี้ท่านอ๋องจะไม่กลับมาเสียแล้ว” พ่อบ้านชราพูดแล้วพลางกลืนก้อนสะอื้นลงคอ สามปีผ่านไป คนนอกล้วนลืมเลื่อน สามปีผ่านไป คนในใยจะลืมได้ แท้ที่จริงคนในครอบครัวข้าล้วนแต่จดจำตัวข้าได้ดียิ่ง เป็นข้าที่นึกหวาดกลัวใจคนไปเอง แต่จะโทษข้าได้อย่างไร ในเมื่อคนผู้หนึ่งได้สร้างแผลเหวอะหวะทิ้งไว้ ข้าปลอบโยนพ่อบ้านของตนอีกสองสามประโยค ก่อนจะเดินเข้าประตูหน้าอย่างคุ้นเคย ระหว่างทางก็มีพ่อบ้านคนสนิทผู้นี้ คอยยกไม้ยกมือชี้ว่าตรงไหนที่เปลี่ยนไปบ้าง ตรงไหนยังคงไว้เช่นเดิมให้ข้าดูตลอดทาง ข้าเห็นว่านอกจากต้นไม้บางต้นที่เพิ่มเข้ามาแล้ว ข้าวของภายในล้วนไม่ต่างจากวันวาน ถูกวางทิ้งไว้อย่างไร ก็ยังถูกวางทิ้งไว้อย่างนั้น แม้แต่พัดที่ข้าขว้างทิ้งไว้ส่งๆ ก็ยังตกอยู่ตรงที่เดิม เว้นอยู่อย่างคือมันถูกทำความสะอาดเสียหมดจด ก่อนจะวางกลับไว้ให้อยู่ในตำแหน่งเดิมของมัน ฝีมือพ่อบ้านผู้นี้นับว่าร้ายกาจยิ่งนัก มองที่แห่งนี้แล้วก็ทอดถอนใจ ตั้งแต่รู้ข่าวเรื่องงานมงคล การกลับมาคราวนี้ ข้าไม่อาจแน่ใจได้ว่าตนคิดถูกหรือไม่ หรืออันที่จริงข้าควรอยู่บนเขานั้นต่อไปกันแน่ หากไม่รับรู้ ใยจะเจ็บปวดเช่นนี้... แม้ในใจอยากจะมองหน้าผู้เป็นนายให้นานกว่านี้หน่อย แต่พ่อบ้านฝูก็หาใช่คนชราแก่แล้วเลอะเลือน เข้าใจว่าผู้เป็นนายอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ จึงไม่ได้อยู่รบกวนนานนัก หากแต่ชายชรากลับมีความกังวลอยู่ไม่น้อย แม้กิริยาท่าทางเบาสบายแต่แฝงไปด้วยความสูงศักดิ์นี้จะเหมือนเช่นวันวาน ทว่าแววตาดุจน้ำค้างกลางหาวกลับหม่นเศร้าเหลือคณา บางครั้งคล้ายสับสน บางครั้งคล้ายว่างเปล่า ปล่อยไว้เช่นนี้จะดีหรือ? ------------------------------------------------------------------------------ [1] กูเหนียง (แม่นาง) คำเรียก สตรีที่ยังไม่แต่งงานออกเรือน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม