บทที่ 3 เหตุการณ์พันยุ่งเหยิง และ วาบหวาม...

3472 คำ
สบายดีหรือไม่? ท่านเหตุใดยังกล้าถามข้าว่าสบายดีหรือไม่ ตลอดเวลาสามปีไม่เคยส่งข่าวคราว ครั้นสิ่งที่ส่งกลับมาเพียงอย่างเดียว กลับเป็นเพียงกระดาษพร้อมถ้อยคำที่เชือดเฉือนหัวใจข้า ข้ากอดเถียนอี้แน่น ร่างกายกายที่แข็งทื่อเมื่อครู่พลันสั่นระริก ก่อนหน้าข้าอยากจะถาม ว่าเหตุใดจึงทำร้ายข้าได้คล้ายคนไม่เคยร่วมหอลงโรง แต่ยามนี้พอเอาเข้าจริง ข้ากลับหวาดกลัวที่จะเผชิญหน้ากับคนผู้นี้ “เจ้ารู้จักเขา?” เถียนอี้กระซิบถามข้างหูคนในอ้อมแขน คำตอบที่ฮ่องเต้หนุ่มได้รับคือการพยักหน้าเพียงแผ่วเบา ท่าทางกระซิบกระซาบกันดูแล้วหวานชื่นนั่นทำให้หลีกวนถงแทบจะคลุ้มคลั่ง แต่เพราะมีศักดิ์ศรีของจอหงวนค้ำคออยู่ เขาจึงมิอาจกระทำตนคล้ายอันธพาล ได้แต่กักเก็บความไม่พอใจไว้ใต้ใบหน้าสุขุมนุ่มนวล ท่องไว้ในใจว่าผู้มีปัญญาชน ไม่นิยมความรุนแรง ยิ่งตนที่เป็นจอหงวนใหม่ที่ผู้คนจับตามองอยู่ยิ่งไม่สมควรทำเรื่องที่นำไปสู่การนินทาหลังมื้อน้ำชา “พี่กวนถง…” ไป๋ลั่วหลินกระตุกชายแขนเสื้อของคู่หมั้นตนเบาๆ เพื่อเรียกความสนใจ หากแต่อีกฝ่ายกลับเอาแต่จ้องคนผู้นั้นราวจะกลืนกิน จนนางเกิดความรู้สึกคล้ายไม่ชอบใจขึ้นมา หญิงใดบ้างที่มองไม่ออกว่าสายตาเช่นนั้นคือสายตาหึงหวง “ในเมื่อเจอกันแล้ว อย่างไรก็ไปนั่งสนทนาความเก่า ระลึกความหลังกันสักหน่อยเป็นอย่างไร ข้ารู้จักโรงเตี๊ยมขึ้นชื่ออยู่ที่หนึ่ง สุราโด่งดังมากเทียว” หลีกวนถงเชิญชวน เขากำมือแน่นจนเห็นกระดูกปูดโปนขึ้นมา เมื่อเห็นชายผู้นั้นก้มลงไปกระซิบถามหลิงเอ๋อร์ของเขา ก่อนจะพยักหน้าตอบรับคำเชิญ ภาพของกลุ่มคนทั้งสี่ แม้จะคล้ายมาด้วยกัน แต่กลับดูไม่เข้าพวกกันอยู่เล็กน้อย จอหงวนและคุณหนูไป๋ล้วนหน้าตาหล่อเหลางดงาม เดินคู่กันก็ดีอยู่หรอก แต่เมื่อเทียบกันคู่ที่เดินตามอยู่ด้านหลังแล้วย่อมเกิดความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เพราะทุกย่างก้าวของทั้งสองล้วนแต่แผ่ความสูงศักดิ์ออกมา หน้าตาหรือก็ดูเหนือผู้คนทั่วไป กระทั่งผู้ที่สวมหน้ากากอยู่ แม้จะไม่เห็นหน้าคาตาที่แน่ชัด แต่ก็รู้ได้ว่ามิใช่ธรรมดา ถึงจะหวาดกลัว แต่ข้าก็อยากลองดูสักตั้ง หากยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ยามเมื่อตายข้าคงมิอาจปล่อยวาง จึงพยักหน้าให้เถียนอี้ตามพวกเขาไป โรงเตี๊ยมใจกลางเมืองหลวงแห่งนี้เป็นที่ที่พวกเรามา จำได้ว่าตอนที่เป็นองค์ชายน้อย ข้าก็มาเที่ยวเล่นที่นี่อยู่บ่อยครั้ง พอเราเดินเข้าไปก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากเสี่ยวเอ้อร์ โต๊ะที่ดีที่สุดถูกผู้อื่นใช้ไปแล้ว แต่โต๊ะริมระเบียงชั้นสองติดริมคลองก็นับว่าไม่เลว มองลงไปก็สามารถเห็นบรรยากาศของผู้คนที่มาลอยโคมริมท่าน้ำได้ทั่ว ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคู่ชายหญิงที่มาขอพรเรื่องความรัก เหมือนที่สาวท้อผ้าและหนุ่มเลี้ยงวัวรักมั่นต่อกัน แต่นั่นคงใช้ไม่ได้กับความรักของข้าแล้ว มองดูยามนี้แล้วให้นึกขัน เมื่อคนที่เคยอยู่กินฉันสามีภรรยา มาตอนนี้ต่างคนต่างมีคนใหม่อยู่ข้างกาย แม้ว่าข้ากับเถียนอี้จะเป็นเพียงอาหลานกันก็เถิด ข้านั่งอยู่ตรงข้ามกับหลีกวนถง ความขี้ขลาดตาขาวของข้าเหมือนจะยังไม่ทุเลาดี ข้าจึงไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองบุรุษตรงหน้า เอาแต่ก้มหน้ามองจอกสุราเบื้องหน้าที่ภายในว่างเปล่า เฉกเช่นเดียวกับหัวสมองและหัวใจของข้า เถียนอี้ใช้นิ้วก้อยของตนเกี่ยวนิ้วก้อยของข้าไว้ราวปลอบโยน ข้ารู้ว่าเขาเห็นความผิดปกติของข้าเข้าแล้ว เพียงแต่มิได้เอ่ยถามออกมา ข้าจึงยิ้มให้ผู้หลานว่าไม่เป็นไร แต่เป็นอีกครั้งที่ข้าลืมไปว่าตนใส่หน้ากากอยู่ จนกระทั่งคุณหนูไป๋ทักท้วงขึ้นมา “พี่หญิงท่านนี้ ท่านไม่ถอดหน้ากากแล้วจะดื่มกินได้อย่างไร” คุณหนูไป๋กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานน่ารัก ข้าอดค่อนขอดในใจตัวเองไม่ได้ว่าน้ำเสียงแบบนี้เองหรือที่หลีกวนถงชอบ แต่เมื่อครู่นางเรียกข้าว่าพี่หญิง ฟังแล้วทำให้ข้านึกขันยิ่งนัก นางไม่รู้ว่าข้าเป็นบุรุษจริงๆ หรือเพียงแกล้งเย้าข้าเล่นกันแน่ และถึงข้าจะไม่อยากเอาโล่ที่ใช้ปกปิดความรู้สึกนี้ออก แต่ก็ต้องจำใจถอดหน้ากากไม้นี้ ก่อนจะถูกหาว่าไร้มารยาท หวังว่าหน้าตาข้าจะไม่ดูน่าสมเพชเกินไปกระมัง ยามนี้ไป๋ลั่วหลินและหลีกวนถง ต่างมองไปที่คนที่กำลังถอดหน้ากากออกด้วยอารมณ์แตกต่างกัน คนหนึ่งอยากรู้ว่าเมื่อเทียบกับตนแล้ว หน้าตาของนางผู้นี้จะเป็นเช่นไร เพราะบุรุษที่เคียงข้างมากับนางยังเหนือกว่าหลีกวนถงอยู่หลายส่วน ยังไม่นับความสูงศักดิ์ที่เทียบกันอย่างไรก็เทียบไม่ติดนี่อีก ไป๋ลั่วหลินจึงเกิดความริษยาอยู่บ้างเล็กน้อย คราวที่นางหมั้นหมายกับหลีกวนถง นางเชิดหน้าอยู่เหนือเหล่าสตรีที่ยังไม่ได้ออกเรือนทุกนาง หรือแม้แต่สตรีที่ออกเรือนแล้วก็ล้วนแต่อิจฉานางทั้งสิ้น แต่มาคราวนี้กลับเป็นนางที่รู้สึกอย่างนั้นเสียเอง รู้สึกอิจฉา… อิจฉาที่คนผู้นี้ได้สิ่งที่ดีกว่านางไป! ส่วนหลีกวนถงนั้น กลับอยากเห็นใบหน้าที่ไม่ได้เจอมาสามปีกว่า ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไรบ้าง... เถียนหลิงใช้เวลาอยู่เพียงครู่ในการทำใจ ครั้นลงมือถอดหน้ากากออก นิ้วก้อยกลับไปเกี่ยวเอาผ้าไหมมัดผมจนหลุดออกมาด้วย ทำให้ผมยาวดำขลับลื่นไหลออกมาคลอเคลียใบหน้าดั่งม่านน้ำตก ใบหน้าที่เดิมก็ขาวอยู่แล้วยิ่งถูกขับให้ดูโดดเด่น ดวงตากลมโตหากแต่เฉี่ยวขึ้นด้านบนราวกับจะมีไว้เพื่อใช้มองกดผู้อื่นให้อยู่ต่ำกว่าปกคลุมไปด้วยแพขนตาดกหนา ยามนี้มันดูเปียกชื้นเล็กน้อย เช่นเดียวกับนัยน์ตาสุกสกาวที่มีน้ำตาคลออยู่ จมูกโด่งรั้นดูแดงช้ำ บ่งบอกว่าเจ้าตัวพึ่งจะผ่านการร้องไห้มาไม่นาน ริมฝีปากแดงก่ำฝืนยิ้มน้อยๆ อย่างขออภัยที่ตนเสียมารยาทแล้ว กิริยาอดกลั้นจนน่าสงสาร ประกอบกับหน้าตาที่ชวนให้คนมองรักใคร่เช่นนี้ ทำให้ผู้ที่พบเห็นต่างก็มีความรู้สึกอยากจะดึงมากอดปลอบ ปาดน้ำตาและปัดเป่าความเศร้าหมองเหล่านั้นให้หมดไปเสีย ทั้งหมดนี้ถูกทำทันทีโดยเถียนอี้ ผ้าเช็ดหน้าสีขาวปักลายประณีต ถูกยกมาเช็ดน้ำตาให้เถียนหลิงโดยไม่ต้องร้องขอ เรียวนิ้วเกี่ยวเอาผมที่ยาวสลวยขึ้นมาทัดข้างใบหูมน ก่อนจะก้มเก็บผ้าไหมบนพื้นขึ้นมามัดรวบผมให้อีกฝ่ายอย่างเป็นธรรมชาติ คล้ายกับเคยกระทำเช่นนี้มาแล้วเป็นร้อยเป็นพันครั้ง นับตั้งแต่ถอนหน้ากากไม้ออก หลีกวนถงก็นิ่งมองอย่างตะลึงงัน ใบหน้าของหลิงเอ๋อร์ที่เขาได้แต่คะนึงหายามหลับใหล นับวันยิ่งงดงามจับตาเหนือผู้คน หวนให้ชายหนุ่มนึกไปถึงครั้งที่เคยเคียงคู่กันมา หากแต่ยามนี้ คนที่ได้อยู่เคียงข้างเมื่อใบหน้านั้นเปียกปอน กลับเป็นชายอื่นไปเสียแล้ว ไหนเล่าที่เจ้าว่าจะคอยข้ากลับไป โกหกทั้งเพ! หลีกวนถงยิ่งมอง ยิ่งรู้สึกถูกความรักของผู้อื่นเสียดแทงจนเจ็บนัยน์ตา ช่างเป็นคู่ที่รักกันหวานชื่น น่าอิจฉาโดยแท้! “ยังร้องไห้อยู่อีก ข้าก็ซื้อให้แล้วมิใช่หรือ หรือเจ้ายังอยากได้อันใดอีก” เถียนอี้ยกผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกแดงเรื่อนั่นให้ผู้เป็นอาได้สั่งน้ำมูก แต่เพราะเถียนหลิงยังพอมียางอายอยู่บ้าง จึงมิได้สั่งออกมาต่อหน้าผู้อื่นให้เสียมารยาท แต่ก็มิอาจหักหาญน้ำใจของผู้หลานได้เช่นกัน มือเรียวยกจับมือหนาที่ถือผ้าเช็ดหน้านั้นมาไว้ที่หน้าตักของตน ก่อนจะตบมืออีกข้างลงสามครั้งถือเป็นการขอบคุณ “พี่หญิงท่าน...” “เหตุใดเจ้าจึงร้องไห้” ไป๋ลั่วหลินชะงักไปครู่หนึ่ง หันไปมองหลีกวนถง ทันทีที่ชายหนุ่มโพล่งถามในสิ่งเดียวกันกับที่นางกำลังจะเอ่ยถาม เหตุใดพี่กวนถงต้องสนใจคนผู้นี้นัก! นับเป็นอีกครั้งที่ความไม่พอใจเกิดขึ้นในใจของนาง หากแต่ต้องกักเก็บมันไว้ นางคือคุณหนูผู้สูงศักดิ์ของตระกูลไป๋ ไม่อาจเสียกิริยาด้วยเรื่องหึงหวงเล็กน้อยเช่นนี้ได้ “ต้องเสียมารยาทแล้ว” เถียนอี้ค้อมศีรษะลงอย่างขออภัย “คนผู้นี้คล้ายเด็กยิ่ง เมื่อครู่ร้องจะเอาหน้ากาก ยามนี้ไม่รู้จะร้องเอาอะไรอีก ต้องขออภัยพวกท่านจริงๆ กลับไปข้าจะอบรมเขาให้มากหน่อย” แม้ปากจะกล่าวขออภัย แต่ใบหน้ากลับเอาแต่มองเถียนหลิงไม่วางตา อีกทั้งยังยกนิ้วเคาะหน้าผากกลมเกลี้ยงไปหนึ่งทีด้วยนึกเอ็นดู หาได้คิดตำหนิจริงจังอย่างที่พูดไม่ “เช่นนั้นหรือ...” น้อยครั้งนักที่หลีกวนถงจะเห็นเถียนหลิงร้องไห้ แม้แต่ตอนที่เขาจากไปนั้นยังไม่เห็นสักหยดน้ำตา “เอาล่ะๆ บางครั้งสตรีอย่างพวกเราก็อยากให้บุรุษรักใคร่สนใจบ้างก็เท่านั้น” ไป๋ลั่วหลินกล่าว พร้อมกับส่งสายตาหวานเชื่อมไปทางหลีกวนถง กระทั่งอีกฝ่ายยกมือขึ้นลูบหัว นางจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยก็ยังไม่หมางเมินนางจนเกินไป เพราะทุกคนต่างก็หันไปสนใจคนผู้นั้นหมด แค่บุรุษท่าทางสูงศักดิ์ก็น่าจะเกินพอแล้ว กระทั่งคู่หมั้นของนางยังทำท่าปวดใจเกินปกติ นางจะทนให้เป็นเช่นนี้ต่อไปได้อย่างไร “มาๆ ให้หลินเอ๋อร์รินสุราให้พวกท่านดีกว่านะเจ้าคะ” พูดจบร่างบางในชุดพลิ้วไหวสีชมพูของคุณหนูสกุลไป๋ก็ลุกขึ้นยืน มือเรียวเล็กดูเนียนนุ่มตามแบบฉบับคุณหนูตระกูลใหญ่ยกกาสุราขึ้นรินให้คนบนโต๊ะด้วยกิริยาชดช้อย น้ำสีใสพิสุทธิ์ของสุราขาวชั้นดี พลันเคลื่อนออกจากปากปลายแหลม หลั่งไหลเป็นสายต่อเนื่องไม่มีขาดตอน ยามต้องแสงไฟก็พลันเกิดประกายระยิบระยับ เมื่อได้มองคู่กันกับสาวงามแล้วจึงเกิดเป็นภาพที่งดงามเป็นอย่างยิ่ง “ไม่เลว” เถียนอี้กล่าวพอเป็นพิธีหลังจากยกสุราขึ้นดื่มหมดจอก สุรานี้แม้จะดีที่สุดในโรงเตี๊ยม แต่จะเทียบกับยอดสุราที่อยู่ในท้องพระคลังของฮ่องเต้ได้อย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยอดสุราของเถียนหลิงที่มีค่าควรเมือง “ไหนเลยจะสู้สุราที่หลิงเอ๋อร์เป็นผู้ทำได้ ยังไม่ทันดื่ม เพียงได้กลิ่นก็เมามาย...” หลีกวนถงกล่าวย้อนความหลังอย่างสนิทสนมก่อนเป็นคนแรก ดวงตาจับจ้องร่างตรงหน้าไม่วางตา สุราเลิศรสกับผู้รู้ใจ หากผู้รู้ใจกลับหมางเมินกลายเป็นอื่น แต่ละคนล้วนมีผู้รู้ใจใหม่ หึ เรื่องตลกของโลกโดยแท้... ยิ่งคิดยิ่งกลัดกลุ้ม เมื่อของที่เสียไปแล้วกลับอยากได้คืน จองหงวนหนุ่มจึงยกสุรากระดกไปหลายจอก เช่นเดียวกันกับเถียนหลิงที่ดื่มเหล้าเพื่อบรรเทาอาการทุกข์ทางใจ เมื่อเริ่มเมามายสิ่งที่ไม่คิดว่าจะทำกลับกล้าทำ หลีกวนถงถอดรองเท้าข้างหนึ่งออกเหลือเพียงถุงเท้าสีขาว ก่อนจะยกเท้าข้างนั้นไปหาเถียนหลิงที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม สัมผัสนุ่มนวลที่กำลังลากไล้ขึ้นมาจากปลายเท้าไต่ไปตามเรียวขาทำให้เถียนหลิงชะงัก ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะใจกล้าทำอะไรเช่นนี้กับตน ทั้งที่ข้างกันนั้นคือคุณหนูไป๋ผู้เป็นคู่หมั้น ถึงแม้กำลังทำเรื่องไม่สมควร ใบหน้าแดงเรื่อเพราะฤทธิ์สุราของหลีกวนถงก็ยังคงรักษาความสุภาพไว้ได้เช่นเดิม อีกทั้งยังร่วมพูดวิจารณ์กลอนกับเถียนอี้ได้อย่างลื่นไหล มีเพียงด้านล่างเท่านั้นที่กำลังรุกไล่เถียนหลิงอยู่ไม่หยุด ร่างกายของเจ้าไม่มีทางที่จะลืมสัมผัสของข้าไปได้หรอกหลิงเอ๋อร์! “ว่าแต่...พวกท่านรู้จักกันได้อย่างไรหรือเจ้าคะ” ไป๋ลั่วหลินเอ่ยถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้งสองที่นางคลางแคลงใจไม่หาย ใบหน้างามขมวดคิ้วเล็กน้อยทำหน้าฉงนดูน่าชมยิ่ง “ข้ารู้จักกับพี่กวนถงมาสองสามปีแล้ว ยังไม่เคยเห็นพี่หญิงเลยสักครั้ง คาดว่าพวกท่านคงรู้จักกันก่อนหน้านี้กระมัง” “...ใช่แล้ว” เป็นหลีกวนถงเองที่ตอบคำถามของนาง ในมือก็หมุนจอกสุราที่ว่างเปล่าของตนไปมาคล้ายคนระลึกความหลัง ก่อนจะยกยิ้มให้เถียนอี้ที่ทำหน้านิ่งอยู่ “สนิทสนมกัน...ก่อนที่ข้าจะมาเมืองหลวง แต่ลั่วหลินเด็กโง่ อันที่จริงหลิงเอ๋อร์นั้นเป็นบุรุษ ตาของเจ้า...มองพลาดแล้ว” ชายหนุ่มทักท้วงคู่หมั้นของตนเรื่องเพศของเถียนหลิง จนนางหน้าแดงซ่านด้วยความขัดเขิน ก่อนจะขออภัยด้วยการปรับสุราตัวเองที่เข้าใจผิดสามจอก แต่ถึงอย่างนั้นหลีกวนถงกลับไม่ได้ห้ามอีกฝ่าย เรื่องที่นางเรียกบุรุษผู้หนึ่งเป็นสตรี นั่นเพราะเขาคิดว่าไม่มีอันใดผิด ที่ว่าที่ภรรยาในอนาคตจะเรียกภรรยาคนแรกของตนว่าพี่หญิง ดวงตาเหลือบมองไปทางผู้เป็นภรรยาคนแรกอีกครั้ง ปลายเท้ายังคงซุกไซร้หาไออุ่นของเถียนหลิงที่นั่งนิ่งกำจอกสุราแน่นอย่างหยามใจ “อึก...อื้อ” สัมผัสจากปลายเท้าที่ล่วงล้ำเข้ามายังจุดกึ่งกลาง ทำให้เถียนหลิงหลุดครางแผ่วเบาออกมา อยากจะถอยหนี แต่กระนั้นร่างกายกลับไม่ยอมขยับตามความต้องการของสมอง ด้วยสัมผัสที่เคยทวิลหาทุกเมื่อเชื่อวันมายั่วเย้าอยู่ตรงหน้า ยิ่งผสมปนเปกับความร้อนจากฤทธิ์สุรา ยิ่งทำให้ท่านอ๋องที่หลีกวนถงมองว่าเป็นภรรยาคนแรกกระสับกระส่าย “หลิงเอ๋อร์ ดื่มให้น้อยหน่อย ดูสิหน้าเจ้าแดงก่ำไปหมดแล้ว” หลีกวนถงพูดอย่างห่วงใย รอยยิ้มสุภาพแต่แฝงไปด้วยความพึงพอใจฉายชัดอยู่บนใบหน้า นั่นเพราะสิ่งอ่อนนุ่มที่ตนสัมผัสอยู่เริ่มจะเเข็งขื่อขึ้นมา หากเป็นไปได้ เขาเองก็อยากจะอุ้มเถียนหลิงออกไปจากที่นี่ ไปยังที่ที่มีเพียงเราสอง หลังจากนั้นเขาจะเปลื้องอาภรณ์สีขาวสะอาดตานั้นออก ก่อนจะผสานกายให้เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างเช่นที่เคยทำมาก่อน... “ข้า...ข้าขอตัวไปเข้าห้องน้ำ” เถียนหลิงละล่ำละลักบอกเถียนอี้ ร่างระหงลุกพรวดขึ้นยืนทันทีจนหลีกวนถงต้องชักเท้ากลับไป “ข้าจะไปด้วย” เถียนอี้ทำท่าจะลุกขึ้นตาม แต่ถูกมือของผู้เป็นอากดบ่าไว้เสียก่อน “เจ้ารอข้าอยู่นี่ ข้าจะรีบกลับมาไม่หลงทางหรอก” เพราะน้ำเสียงที่ใช้นั้นจริงจัง ประกอบกับท่าทางยืนยันหนักแน่น ทำให้คนที่คิดจะตามไปด้วยยอมเปลี่ยนความคิดในที่สุด เถียนหลิงกระชับผู้หลานให้รออยู่ที่โต๊ะเสร็จ ก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว แผ่นหลังสง่างามค่อยๆ หายไปตามทางที่มุ่งสู่ชั้นล่าง ...ท่ามกลางสายตาของใครหลายคน แววตาที่เจือไปด้วยความห่วงใยของฮ่องเต้หนุ่ม แววตาหยามยันของไป๋ลั่วหลิน ส่วนหลีกวนถงนั้นกลับยกจอกเหล้าขึ้นดื่มเพื่อปกปิดรอยยิ้มกริ่มของตน ก่อนจะขอไปเข้าห้องน้ำเช่นกัน “ข้ารบกวนคุณชายฝากดูลั่วหลินสักครู่ นางเป็นคุณหนูในห้องหอ ข้ามิกล้าทิ้งไว้เพียงลำพัง” กล่าวจบก็เดินออกจากโต๊ะไป ทิ้งไว้เพียงผู้สูงศักดิ์และคุณหนูตระกูลใหญ่ ร่างสูงเพรียวในชุดขาวของเถียนหลิงค่อยๆ พากายที่ถูกโหมด้วยแรงปรารถนาของตนออกมาสูดอากาศข้างนอก ข้างโรงเตี๊ยมนั้นมีทางเล็กๆ ที่เชื่อมไปยังสวนใกล้ๆ คราแรกที่คิดจะไปสงบสติอารมณ์ที่ห้องน้ำ พลันเปลี่ยนฝีเท้ามุ่งมาทางนี้แทน แสงจันทร์ยามค่ำคืนของเทพธิดาฉางเอ๋อ สาดแสงส่องลงมาพอให้เห็นทางอยู่บ้าง หิ่งห้อยตัวน้อยสองสามตัวบินวนอยู่แถวนั้น สายลมที่หอบเอากลิ่นหอมหวานจางๆ ติดมาด้วย ทำให้เถียนหลิงเดินตามกลิ่นนั้นไปอย่างไม่รู้ตัว กว่าจะรู้อีกทีตนก็ถูกดึงเข้าสู่อ้อมกอดของใครบางคนเข้าเสียแล้ว สัมผัสอุ่นร้อนที่โอบรัดจากด้านหลัง ประกอบกับกลิ่นหอมจรุงใจ ที่ไม่แน่ชัดว่าเป็นสิ่งใด ทำเอามึนเมายิ่งกว่าสุราที่พึ่งดื่มมาเสียอีก คนผู้นี้หาใช่หลีกวนถง ยิ่งไม่ใช่เถียนอี้ และข้าที่จากเมืองหลวงไปนาน ไม่รู้จักคนผู้นี้… “ปะ..ปล่อยข้า... อย่า” เถียนหลิงร้องห้าม เมื่อชายหนุ่มผู้กรุ่นกลิ่นหอม ใช้นิ้วเรียวยาวกระตุกสายคาดเอวของเขาออก เสื้อตัวนอกสีขาวที่ทอจากไหมชั้นดีพลันลื่นไถลไปกองอยู่แทบเท้า ส่วนเสื้อตัวในถูกดึงรั้งไปอีกข้างจนเผยให้เห็นราดไหล่เนียน นึกชังตัวเองนัก...เมื่อเสียงห้ามปรามที่อยากให้ดังมากกว่านี้สักหน่อย กลับหลุดออกมาเพียงแผ่วเบาคล้ายเสียงแมวคราง เห็นได้ชัดว่ามันฟังดูยั่วยวนมากกว่าขัดขืน... “หอม” เสียงแหบพร่าคล้ายคนตื่นนอนใหม่ๆ กระซิบอยู่ข้างลำคอ ริมฝีปากร้อนทาบทับลงมาเพื่อหวังจะดูดเม้ม เมื่อรู้ว่าคนผู้นั้นเริ่มจะรังแกตนมากเกินไปแล้ว จึงผลักอีกฝ่ายออกทันที แต่เรี่ยวแรงนั้นก็คล้ายจะหดหายไป ตั้งแต่กลิ่นหอมประหลาดนั่นต้องนาสิกแล้ว แข่งขาที่อ่อนแรงจนแทบประคองตัวไม่อยู่ ทำให้คนผู้นั้นกระชับกอดแนบแน่นขึ้น จนทั้งคู่แทบจะกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน พร้อมๆ กันนั้น ริมฝีปากดุจเหล็กร้อนของเจ้าตัวก็เข้ามาขบเม้มเนิบนาบอยู่บนไหล่ขาว กระทั่งมันเปียกชื้นไปด้วยน้ำสีใส สิ่งใหญ่โตของบุรุษเพศที่บดเบียดอยู่ด้านหลังอยู่ไม่ห่างนี้ บ่งบอกความต้องการของเจ้าของมันได้เป็นอย่างดี มือที่คอยพยุงไม่ให้ล้มคว่ำเปลี่ยนมาใช้ปลายนิ้วบดคลึงยอดอก เรียกเสียงครางผะแผ่วในลำคอ คนแปลกหน้าผู้นั้นสัมผัสมันอย่างหยอกเย้า ผ่านเสื้อตัวในที่ทำหน้าที่เป็นปราการขวางกั้นอยู่เพียงชั้นเดียว เบาบ้างแรงบ้าง แต่กระนั้นสัมผัสที่ได้ยังคงเเจ่มชัดเหมือนดั่งถูกสัมผัสแบบเนื้อตัวเปล่า มืออีกข้างก็ไม่ยอมว่างเว้น ล้วงเข้ามากอบกุมส่วนอ่อนไหวที่ซ่อนอยู่ใต้กางเกงผ้าฝ้าย สัมผัสวาบหวามที่คนแปลกหน้ามอบให้ แม้เป็นเรื่องน่าเกรงฟ้าละอายดิน แต่ร่างกายกลับตอบสนองอย่างไม่อาจหักห้าม ...เถียนหลิงที่ถูกปลุกปั่นจากน้ำมือหลีกวนถงอยู่ก่อนแล้ว เมื่อมาเจอสัมผัสดุจราดน้ำมันใส่กองไฟเช่นนี้ จึงทำให้สติอันน้อยนิดแตกซ่านสาดกระเซ็น เผลอไผลไปกับห้วงปรารถนาราวกับคนหน้ามืดตามัว ปล่อยให้อีกฝ่ายนำพาตามใจปรารถนา เมื่อความสุขสมที่ได้มิอาจกักเก็บได้ทุกหยาดหยด ก็ปล่อยให้มันทะลักทลายในอุ้งมือของอีกฝ่าย สิ่งนั้นเหมือนดั่งจะพาวิญญาณให้หลุดลอยตามไปด้วย ได้แต่ทิ้งกายของตนลงหาคนผู้นั้นอย่างเหนื่อยอ่อน อ้อมแขนแกร่งที่ไม่รู้จักหากทว่าอุ่นนัก สามารถรองรับร่างของเถียนหลิงได้เป็นอย่างดี คล้ายสงบ แต่มิอาจเรียกได้ว่าสงบ หลังจากปัดปรอยผมบางส่วนออกจากใบหน้าให้คนในอ้อมกอด เสียงกระเส่าของชายหนุ่มก็เอื้อนเอ่ยออกมาชิดข้างใบหูมน “วันนี้คนของหอโคมแดงทำได้ไม่เลว ...ข้าจะซื้อเจ้ากลับไปด้วยดีหรือไม่”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม