ณ ไร่ชนินทร์วรางค์
“คุณปรีกลับมาแล้ว คุณหนูงอแงจะหาคุณปรีท่าเดียวเลยค่ะ” แม่นมอุ้มน้องชลที่กำลังร้องไห้ออกมายืนรอปรียาดากับนายหัวที่หน้าบ้านมาสักพักแล้ว พอรถยนต์คันหรูเลี้ยวเข้ามาจอดหนุ่มน้อยก็ร้องไห้เสียงดังขึ้นอีก
“พี่ปรี ฮึกๆคุณแม่ ฮึกๆหาคุณแม่” ปรียาดาหันหน้ามองชรัณอัตโนมัติ เธอคิดว่าเธอคงต้องถามไถ่เรื่องราวของมารดาของหนุ่มน้อยแล้วล่ะว่าเธอเป็นใครมีนิสัยอย่างไร
“พี่ปรีอยู่นี่แล้วครับ คนเก่งร้องไห้ทำไมครับ” ปรียาดาเช็ดน้ำตาให้น้องชลเบาๆ ไม่รู้ว่าร้องไห้มานานเท่าไรแต่ใบหน้าของหนุ่มน้อยแดงไปหมดจนน่าสงสาร
“ชล ชลกลัวคร๊าบ” หนุ่มน้อยพอรู้ว่าคนที่ร้องเรียกหากลับมาแล้วก็เงียบเสียงลงแล้วโผเข้ากอดแนบแน่น
“ตื่นมาไม่เจอใครก็ร้องเลยค่ะ นมพยายามปลอบแล้วก็ไม่เป็นผลเลย นมเลยพาออกมารอที่หน้าบ้านค่ะ” แม่นมนาถบอกกับหญิงสาวน้ำเสียงเป็นกังวล
“แกคงจะแค่ตกใจเดี๋ยวปรีพาแกไปนอนเองค่ะ วันหลังไม่มารอข้างนอกแล้วนะคะหนูรู้ใช่ไหมว่ายุงมันเยอะ”
“คร๊าบ”
“นี่ก็ดึกมากแล้วแม่นมไปนอนเถอะค่ะ”
“งั้นฝากด้วยนะคะคุณปรี”
“ค่ะๆ ไม่ต้องห่วงนะคะเดี๋ยวปรีจะดูต่อให้เอง” หลังจากแม่นมเดินห่างออกไปหนูน้อยก็ลืมตาตื่นมองหน้าหญิงสาวยิ้มๆ
“ยิ้มอะไรครับลูก หืม”
“สวยครับ” น้องชลเอ่ยชมคนที่อุ้มตนอยู่น้ำเสียงออดอ้อน
“ใครสวยครับ”
“พี่ปรีสวยมากเลยครับ” หนุ่มตอบกลับเสียงดังฟังชัด
“ฮ่าๆ สงสัยจะสวยจริงๆนะคะคุณชรัณ”
“ก็สวยน่ะสิครับ ดูสิครับหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่มองตาเชื่อมเชียว”
“น้องชลเขาง่วงต่างหากค่ะ ไปนอนกันนะคะคนเก่งของพี่ปรี พี่ปรีไม่ชอบเวลาที่น้องชลร้องไห้เลย”
“อยากให้คุณพ่อนอนด้วยครับ”
“แต่ว่าปกติเราเข้านอนกันแค่สองคนนี่คะ”
“วันนี้เพิ่มคุณพ่อด้วยได้ไหมครับ”
“ขี้อ้อนจริงๆลูกคนนี้ ตามใจแกหน่อยแล้วกันครับ” ชายหนุ่มยื่นมือไปยีหัวลูกชายเบาๆ เจ้าตัวหัวเราะคิกคักเมื่อถูกแกล้ง
“ค่ะ เห็นว่าง่วงหรอกน้าพี่ปรีถึงได้ยอมให้คุณพ่อของหนูไปด้วย”
เมื่อเข้ามาอยู่ในห้องนอนหนุ่มน้อยก็ตัวติดแจกับหญิงสาวเลย แม้เธอจะขอหนุ่มน้อยไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนยังไม่ได้เลย น้องชลซบใบหน้าลงที่อกอุ่นของหญิงสาวอย่างแนบชิดจนคนเป็นพ่อรู้สึกว่าความรักความห่วงหาอย่างอ่อนโยนส่วนนี้นี่เองที่เขาให้กับลูกน้อยไม่ได้ ชายหนุ่มนอนมองปรียาดากับลูกน้อยนิ่งๆเหมือนกับว่าเขาไม่มีตัวตน ไม่นานน้องชลก็หลับสนิท เธอจึงบอกให้เขาลุกขึ้นขยับตัวเพื่อที่จะได้ห่มผ้าห่มให้หนุ่มน้อยดีๆ
"หลับแล้วค่ะ ท่าทางจะหลับสนิทถึงตอนเช้าแน่ๆ ปรีเข้าใจแกเลยค่ะเรื่องที่ต้องร้องไห้งอแงตอนที่ตื่นมาแล้วไม่เจอใครท่ามกลางความมืด"
"ผมมีเรื่องจะคุยด้วยครับ เราออกไปคุยข้างนอกกันเถอะ"
"ได้ค่ะ ฝันดีนะครับ" ก่อนจะออกไปหญิงสาวก็ยังบอกฝันดีหนุ่มน้อยอีกครั้ง เขารู้สึกว่าเขาเองก็ได้รับความอบอุ่นจากเธอด้วยเช่นกัน
"ผมเล่าปัญหาให้คุณฟัง คุณเป็นที่ระบายให้ผมผมก็อยากเป็นที่ระบายให้คุณเหมือนกันนะครับ" เขารู้สึกดีแค่ไหนที่มีคนรับฟังเขาก็อยากจะให้เธอรู้สึกดีแบบนั้นบ้างก็เท่านั้นเอง
"คือปรี..."
"คุณช่วยเล่าเรื่องของคุณให้ผมฟังบ้างสิครับ"
"ก็ได้ค่ะ ปรีคิดว่าคุณคงจะอยากรู้เรื่องความกลัวของปรีแน่ๆ" ชายหนุ่มพยักหน้าขึ้นลงเบาๆ หญิงสาวเริ่มเล่าเรื่องของเธอให้เขาฟังทันที หญิงสาวเล่าว่าเธอเคยไปเล่นที่สวนสนุกแห่งหนึ่งกับคุณพ่อคุณแม่แต่ดันพลัดหลงกับพวกท่านและเกือบโดนจับตัวไปเรียกค่าไถ่ โชคดีที่มีพลเมืองดีมาช่วยเอาไว้ได้ทัน หลังจากเหตุการณ์นั้นเธอก็รู้สึกขาดความมั่นใจเวลาที่มองหาใครที่รู้จักไม่เจอถ้าได้มาออกมาด้วยกัน
"ผมเข้าใจแล้วครับ แล้วเรื่องความมืดละครับ"
"ปรีฝันร้ายค่ะ มันเป็นฝันร้ายหลังจากที่รู้ว่าคุณพ่อท่านเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ หลังจากเหตุการณ์นั้นปรีเลยต้องนอนเปิดไฟถ้าอยู่คนเดียวเพราะปรีมักจะจินตนาการไปต่างๆนาๆเอง"
"ความมืดมันน่ากลัวแต่มันจะไม่น่ากลัวถ้าเราได้อยู่กับคนที่เราไว้ใจนะครับ"
"ก็จริงค่ะ ปรีจะปิดไฟก็ต่อเมื่อวันนั้นเจ๊วิสมานอนด้วย"
"นอนด้วยกันบนเตียงเดียวกันน่ะหรอครับ" ชายหนุ่มเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย
"ใช่ค่ะ" หญิงสาวพยักหน้าหงึกๆ
"ไม่ได้นะครับ" ชรัณรีบเอ่ยห้ามทันที แม้พี่ชายของเขาจะไม่ใช่ชายแท้แต่มันก็ดูไม่เหมาะสมอยู่ดี
"ทำไมละคะ" หญิงสาวถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจ เธอกับชวิศนอนค้างด้วยกันออกจะบ่อยผีเห็นผีแบบนั้นไม่มีทางเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่นอนเธอรับประกัน
"ยังไงพี่ชวิศก็เป็นผู้ชายจะนอนด้วยกันไม่ได้ครับ" เขารู้สึกว่ายังไงก็ไม่ถูกต้อง เขารู้ดีว่าพี่ชายเขาไม่มองหญิงแต่มันก็อดคิดไม่ได้ว่ามันไม่เหมาะสม
"เขาไม่ทำอะไรปรีหรอกค่ะพวกเราน่ะไม่กินกันแน่นอน เพราะถ้าเกิดข้ามเส้นกันฟ้าต้องผ่าแน่ๆค่ะ” เธอบอกเขาออกไปยิ้มๆ
“ช่างเปรียบเทียบนะครับ”
“ปรีมีอีกหนึ่งคำถามค่ะ”
“ถามมาได้เลยครับผมพร้อมตอบอยู่แล้ว”
“เรื่องแม่ของน้องชลค่ะ ปรีทราบแค่ว่าเธอเสียแล้ว”
“ใช่ครับ เธอเสียไปหลายปีแล้วครับเพราะอุบัติเหตุ”
“น่าสงสารเธอนะคะยังไม่ทันได้ใช้ชีวิตกับน้องชลแล้วก็คุณชรัณเลยก็มาด่วนจากไปเสียก่อน”
“กับน้องชลน่ะถูกครับแต่สำหรับผมไม่ถูกซะทีเดียว”
“ยังไงหรอคะ”