รวีสะดุ้งตื่นหลังจากเสียงนาฬิกาปลุกเป็นครั้งที่สาม เธอกะว่าจะนอนต่ออีกหน่อยไม่เกินห้านาที แต่นี้ดันเลยไปยี่สิบกว่านาทีแล้ว ถึงรีบลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวและปล่อยให้นลินนอนไปก่อน พอใกล้ถึงเวลาที่จะออกจากบ้านไปตามนัดค่อยปลุกนลินอีกที เธอรู้ว่านลินไม่ใช่คนอนตื่นสาย เพราะอาจเป็นเพราะหนอนที่เธอกินเข้าไปนั้นทำพิษ
รวีเดินมานั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แต่งเติมสีสันให้กับใบหน้าเล็กน้อย เริ่มจากลงแป้งพัฟเบา ๆ วาดคิ้วให้ได้รูป จากนั้นตามด้วยบลัชออนสีชมพูอ่อนดูเป็นธรรมชาติและแต่งเติมปากด้วยทินท์ ถึงมองเผิน ๆ จะดูเหมือนไม่แต่งอะไรมากนักแต่ถึงอย่างไรก็ขอให้มีสีสันบนหน้าบ้างนิดหน่อย
รวีเหลือบมองนาฬิกาก็พบว่าใกล้ถึงเวลานัดแล้วจึงเดินไปปลุกนลินที่ยังนอนอยู่บนเตียงอยู่
“คุณนลินคะ ตื่นได้แล้วค่ะ วีจะออกไปข้างนอกแล้วนะคะ”
ไม่มีเสียงหรือปฏิกิริยาใด ๆ ตอบออกมา รวีจึงเรียกนลินอีกครั้งพร้อมกับสะกิดเบา ๆ ที่แขน เมื่อแตะที่แขนของนลินแล้วรวีรู้สึกถึงไอร้อนแผ่ที่มือของเธอทันที รวีวางกระเป๋าสะพายไว้ข้าง ๆ ก่อนเดินไปหยิบกะละมังใบน้อยเปิดน้ำใส่พอประมาณ หยิบผ้าขนหนูขนาดสี่เหลี่ยมผืนผ้าผืนใหม่จุ่มลงในกะละมัง บิดน้ำออกพอหมาดก่อนเช็ดเบา ๆ บนแขนของนลิน
“อ่าวเธอ...ยังไม่ไปอีกเหรอ? เดี๋ยวสายนะ”
นลินที่เพิ่งรู้สึกตัวเอ่ยถามรวีในขณะที่เธอยังหลับตาอยู่
“คุณไม่สบาย เดี๋ยววีไปต้มข้าวต้มให้นะคะ ทานเสร็จจะได้กินยา”
รวีพูดจบก็พุ่งตรงไปที่ห้องครัวทันที โชคดีที่ในครัวเธอยังพอมีข้าวสวยและพวกเครื่องเคียงเหลืออยู่บ้างจึงไม่ต้องเสียเวลาออกไปหาซื้อข้างนอก
ข้าวต้มชามโตตกแต่งด้วยแครอทหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ โรยหน้าถูกถือออกมาจากในครัว รวีนั่งลงบนเตียงข้าง ๆ นลิน ก่อนพยุงนลินขึ้นนั่งพิงหัวเตียง
“คุณค่อย ๆ ลุก ส่วนนี่ข้าวต้ม” รวียื่นข้าวต้มที่เธอเพิ่งทำเสร็จร้อน ๆ ให้นลินก่อนจะตักคำเล็ก ๆ ยื่นไปตรงหน้าเธอ
“ฉันกินเองได้”
นลินค่อย ๆ ยื่นมือไปช้าง ๆ เพื่อที่จะรับชามข้าวต้มจากมือของรวีแต่รวีกลับถือออกห่าง
“แค่แรงยกแขนคุณยังยกแขนตัวเองไม่ไหวเลย คุณอยู่เฉย ๆ วีป้อนน่ะดีแล้ว”
นลินขมวดคิ้วใส่รวีทันทีเมื่อได้ฟังเช่นนั้น “แล้วเธอไม่ไปดูหนังแล้วรึไง...เดี๋ยวเดตก็ล่มหรอก” คำหลังนลินพูดแล้วหันหน้าไปทางอื่น
“เดตอะไรกันคะ วีโทรไปยกเลิกแล้ว วีไม่ทิ้งคนป่วยหรอกน่า”
รวีสังเกตเห็นสีหน้าที่นิ่วของนลินตั้งแต่คุยเรื่องนัดของเธอ เธอจึงยื่นใบหน้าเข้าไปแนบใบหูของนลินและกระซิบว่า “วีเป็นห่วง...คุณ”
เมื่อได้ยินคำที่รวีกระซิบหน้าของนลินก็แดงฉ่าขึ้นมา แต่สีแดงที่เกิดจากอาการบางอย่างดันไปกลืนกับอาการไข้ของเธอจึงทำให้สีบนใบหน้ากลมกลืนจนดูไม่ค่อยออก
“นี่ยา กินแล้วจะได้นอนพักผ่อน”
รวียื่นเม็ดยาพร้อมกับรินน้ำให้นลินเมื่อเห็นว่าข้าวต้มในชามหมดแล้ว
“คุณนอนได้เลยนะ วันนี้วีไม่มีธุระที่ไหนแล้ว วีจะอยู่กับคุณ ฉะนั้นคุณพักผ่อนให้เต็มที่เถอะ”
นลินพยักหน้าช้า ๆ ก่อนรับยามากินและค่อย ๆ ดันตัวเองลงนอน รวีห่มผ้าให้นลินก่อนจะยกถ้วยชามไปเก็บหลังครัว เธอยังไม่ล้างจานทันทีเพราะกลัวจะเสียงดังและคนป่วยจะพักผ่อนไม่เต็มที่ เธอได้แต่เปิดน้ำให้เต็มถ้วยทิ้งเอาไว้ก่อนเพื่อที่จะไม่ให้ข้าวแห้งติดชาม เพราะมันทำให้ล้างออกยาก ในระหว่างที่เธอกำลังยุ่งอยู่กับในครัวอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงนลินพึมพำ เธอจึงเดินไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
นลินที่หลับสนิทบนเตียงกำลังกอดผ้าห่มไว้แน่นพร้อมกับพึมพำว่า “หนาว....หนาว...หนาวจัง” ก่อนจะคว้าข้อมือขวาของรวีลงมากอดไว้ รวีไม่กล้าดึงมือออกจึงนั่งลงข้าง ๆ นลิน แต่เธอก็นั่งไม่สะดวกเท่าไหร่เพราะนลินเล่นกอดแขนและดึงไปไว้ข้าง ๆ ตัวเธอ จึงทำให้รวีต้องเอี่ยวตัว เห็นเป็นเช่นนั้นรวีจึงค่อย ๆ เปลี่ยนจากอิริยาบถเป็นนอนแทนและค่อย ๆ เอื้อมมือซ้ายกอดนลินที่ยังนอนบ่นว่าหนาวอยู่ เมื่อเนื้อสัมผัสกับเนื้อทำให้ไออุ่นจากอีกคนไปถึงอีกคนจึงทำให้คนป่วยรู้สึกอุ่นขึ้นมาและหยุดพึมพำไปในที่สุด
รวีนอนจ้องหน้านลินที่นอนหลับอยู่ข้าง ๆ เธอ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมีโอกาสได้อยู่ใกล้ แนบชิดและนานขนาดนี้ รวีค่อย ๆ พิจารณาใบหน้าเริ่มจากหัวคิ้วที่เรียงสวยเป็นธรรมชาติ ขนตาที่งอนแล้วเรียงกันเป็นแพอย่างสวยงาม พวงแก้มที่แดงระเรื่อด้วยพิษไข้ เมื่อรวีมองมาถึงที่แก้มของนลินก็อดใจไม่ได้ที่จะลองสัมผัส เธอค่อย ๆ เอานิ้วชี้เกลี่ยที่ไปแก้ม สัมผัสถึงผิวที่ละเอียดและมองต่ำ ลากตาลงมาที่ริมฝีปากที่อวบอิ่มได้รูป เธอพินิจพิจารณาอยู่นาน นานจนตกอยู่ในภวังค์ รวีคิดว่าคราวนี้ของลองแบบเต็ม ๆ คงจะไม่มีใครว่าอะไร เจ้าตัวคงไม่รู้ เธอค่อย ๆ เอียงหน้าเข้าไปใกล้ ๆ ช้า ๆ ก่อนจูบลงไปที่ริมฝีปากบนและล่างอยู่อย่างนั้นเกือบจะถึงหนึ่งนาที หากถ้านลินไม่ขยับตัวเสียก่อนเธอคงไม่จบที่ปากเป็นแน่
นลินลืมตาช้า ๆ ทำให้รวีตกใจไปชั่วครู่ก่อนที่นลินจะหลับตาลงต่อ ทำให้รวีโล่งใจที่นลินไม่ได้ตื่นมารับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เธอคงหาข้ออ้างไม่ทันและไม่รู้จะแก้ตัวว่าอย่างไรด้วย
เช้าวันใหม่ รวีตื่นมาด้วยอาการมึนหัวเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่คิดที่จะหยุดงาน
รวีเดินเข้าออฟฟิศก่อนจัดแจงข้าวของบนโต๊ะให้เป็นระเบียบเรียบร้อยและหยิบแฟ้มงานที่ต้องส่งภายในสองถึงสามวันขึ้นมาก่อน
รวีเงยหน้าขึ้นตามเสียงฝีเท้าที่มาหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงานของเธอ ก็พบกับสุพจน์ที่พาใครมาด้วยก็ไม่รู้ เธอไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน แต่เธอก็พอจะเดาได้ คงเป็นเด็กใหม่ที่เคยพูดกันไว้เมื่อคราวก่อน
“น้องดาวคะ นี่พี่วีจะมาเป็นคนช่วยสอนงานต่าง ๆ ให้กับน้องนะ”
สุพจน์แนะนำดารณีให้กับรวีได้รู้จัก จะได้สนิทสนมกันการทำงานจะได้เป็นไปอย่างราบรื่น แต่สุพจน์รู้ดีว่าสองคนนี้ยังไงก็คงไงจะไม่มีปัญหากันหรอก เพราะรวีเป็นคนอัธยาศัยดีเข้ากับคนได้ง่าย
ดารณีรูปร่างตัวเล็กกระทัดรัด ผิวขาวหน้าตาจิ้มลิ้ม ไม่ว่าจะเดินไปไหนก็เป็นที่สะดุดตาพอสมควร
“สวัสดีค่ะ หนูชื่อดารณีค่ะ ดาวค่ะ”
ดารณีจึงแนะนำตัวให้เป็นทางการอีกรอบหลังจากสุพจน์แนะนำเธอให้กับรุ่นพี่ตรงหน้า
รวีจึงแนะนำตัวเองกลับพร้อมกับชี้ไปที่โต๊ะว่างข้างเธอ “ดาวนั่งตรงนี้แล้วกันนะ นั่งข้าง ๆ พี่เลยแล้วกัน จะได้สอนงานสะดวก ๆ” จากนั้นรวีก็หันไปหยิบแฟ้มเอกสารของเธอเล่มหนึ่งแล้วยื่นให้ดารณี “ช่วยพี่ทำอันนี้นะ พี่จะได้สอนไปในตัวด้วยเลย” ดารณีรับแฟ้มเอกสารพร้อมฟังคำอธิบายจากรวีจากนั้นก็ค่อย ๆ ลงมือทำ
“อ่ะแฮ่ม! ทำไรกันอยู่จ๊ะ สนิทกันเร็วจริง”
เสียงของปรีดาดังมาแต่ไกล ก่อนเดินตรงมาหยุดที่หน้าโต๊ะของทั้งคู่ก่อนลากเก้าอี้มานั่งลงต่อหน้า
“นี่รู้จักกันแล้วเหรอดา?” รวีถามปรีดาเพราะดูท่าทีทั้งสองไม่เคอะเขินกัน
“ฉันกับพี่นีเจอน้องก่อนแกอีกวี”
“แล้วนี่มาทำไรที่โต๊ะฉันเนี่ย การงานไม่มีทำเหรอ”
“มี แต่ฉันมาอู้”
ในระหว่างที่ทั้งสามกำลังคุยเล่นกันอยู่นั้น ‘ปราชญ์’ ก็พุ่งตัวเข้ามาในวงสนทนาด้วย
“สวัสดีครับ พี่ชื่อปราชญ์นะครับ ว่าแต่น้องชื่ออะไรครับ?” ปราชญ์ผู้ชายที่หน้าตาจัดไปทางค่อนข้างแย่แต่ดูดีที่สุดในแผนกหันไปแนะนำตัวกับดารณีพร้อมเสยผมขึ้นเบา ๆ
ดารณียิ้มแห้ง ๆ ก่อนตอบคำถาม “ชื่อดาวค่ะ”
“นี่พี่ปราชญ์เสยผมคิดว่าหล่อนักหนิ?”
ปรีดามองบน
“ถ้าไม่คิดแล้วจะเสยทำไมล่ะ” ปราชญ์หันไปตอบปรีดาก่อนหันมาคุยกับดารณีต่อ “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ มีปัญหาอะไรปรึกษาพี่ได้ตลอดนะ อย่างเอกสารเล่มนี้พี่ช่วยดูให้ได้นะครับ” พูดจบปราชญ์ก็ทำท่าจะยื่นมือไปจับเอกสารแต่ก็เลี้ยวมือมาแต๊ะอั๋งโดยการจับแขนดารณีแทน
เปี๊ยะ!
รวีฟาดไปมือของปราชญ์ทันทีที่แตะแขนดารณีก่อนโอบไหล่ดารณีหลวม ๆ
“นี่เด็กในปกครองวีเว้ยพี่ปราชญ์” รวีเอี้ยวตัวไปผลักไหล่ปราชญ์เป็นเชิงหยอก “ออกไปห่าง ๆ น้องเขากลัวหมดแล้ว” ระหว่างที่ทำการกระชับมิตรกันอย่างสนุกสนามกันอยู่นั้นก็มีเสียงแทรกขึ้นมาจากด้านหลัง เป็นเสียงที่แสนจะคุ้นหู
“ว่างมากเหรอ?”
ทั้งสี่คนเงยหน้าขึ้นมามองที่ต้นตอของเสียงก็พบกับนลินที่กำลังยืนกอดอกและจ้องหน้าด้วยสายตาเย็นยะเยือกโดยเฉพาะดารณีที่เพิ่งเข้ามาทำงานวันแรก
ปรีดาและปราชญ์รีบกระจายตัวออกจากโต๊ะรวีและดารณีและกลับไปนั่งทำงานค้างของตนต่อทันทีอย่างไม่รีรอ
“ดารณี เธอตามฉันมาที่ห้องด้วย”
นลินพูดจบก็เดินนำหน้าก่อนจะมีดารณีเดินตามหลังติด ๆ รวีมองตามจนทั้งสองเข้าห้องทำงานของนลินไป เธอนึกเป็นห่วงดารณีที่มาทำงานวันแรกก็โดนบทหนักเข้าเสียแล้ว
“เธอทำอย่างนี้ตั้งแต่วันแรกมันควรแล้วเหรอ?”
นลินพูดด้วยน้ำเสียงแข็งพร้อมกับตบเอกสารที่อยู่ใกล้มือที่สุดไปบนโต๊ะทำงาน ทำให้ดารณีสะดุ้งโหยงด้วยอาการตกใจ
“เออ คือหนู...”
ดารณีก้มหน้าคิดหาคำตอบแต่ไม่ได้ทันพูดอะไรออกมานลินก็พูดตัด
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ฉันไม่อนุญาตให้พูด”
นลินเดินมาตรงหน้าดารณี ทำให้ดารณีเกร็งมากกว่าเดิม
“นี่! เงยหน้าขึ้นมา”
ดารณีรีบเงยหน้าขึ้นตามคำสั่งของผู้เป็นเจ้านายก่อนมองไปตามเรียวนิ้วที่นลินชี้
“เอาเอกสารกองนั้นไปทำซะ ของเธอสามเล่มแล้วก็หยิบไปให้ทั้งสามคนที่อู้งานเหมือนเธอด้วย แต่สามคนนั้นคนละห้าเล่ม ยกไปรอบเดียวได้ใช่ไหม? ฉันไม่อยากให้มีคนเปิดเข้าออกห้องฉันหลายรอบน่ะ ฉันเสียสมาธิในการทำงาน”
นลินพูดจบก็นั่งลงบนเก้าอี้ทำงานก่อนนั่งพิมพ์อีเมล์แจ้งงานลูกค้าต่อโดยไม่สนใจดารณี ปล่อยให้เธอทำตามคำสั่งไป
ดารณีมองกองเอกสารที่ตนต้องยกออกไปทั้งหมดตามที่นลินกล่าวไว้ก่อนหน้า ‘ยกไปรอบเดียวได้ใช่ไหม?’ เธอได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ แล้วคิดว่าเธอจะยกทั้งหมดนี่ออกไปพ้นหน้าประตูไหม ดารณีจึงแบ่งกองเอกสารเป็นฝั่งละเก้าเล่ม แขนซ้ายเก้าเล่มและแขนขวาอีกเก้าเล่มและใช้ตัวเป็นที่พิงเอกสารเผื่อไม่ให้เอกสารทั้งหมดตกลงพื้น เมื่อจัดแจงการยกได้แล้วเธอค่อย ๆ เดินช้า ๆ ไปที่ประตูและใช้ลำตัวแทนมือในการผลักประตูออกไปแทน
รวีที่นั่งรอลุ้นเหตุการณ์อยู่ที่โต๊ะก็รีบลุกเดินไปหาดารณีทันทีเมื่อเห็นสภาพดารณียกกองเอกสารสูงลิ่วทั้งแขนซ้ายและขวา โดยเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ถูกจับตามองโดยคนในห้องที่ดารณีเพิ่งเดินออกมา
“มา พี่ช่วยยก”
รวียกกองเอกสารออกจากแขนซ้ายของดารณีทั้งหมด แค่เก้าเล่มยังหนักขนาดนี้แต่ดารณียกมาถึงสิบแปดเล่มจะหนักขนาดไหน โชคดีที่รวีรีบเดินมาช่วยก่อนไม่เช่นนั้นเอกสารเหล่านี้คงตกกระจายก่อนประตูห้องจะปิดสนิทแน่ ๆ
“ขอบคุณนะคะ”
ดารณีกล่าวขอบคุณก่อนยกเอกสารไปวางไปบนโต๊ะและหยิบเอกสารสามเล่มวางไว้ที่โต๊ะตนก่อนยื่นอีกห้าเล่มให้กับรวีที่โต๊ะ
“คุณนลินให้เอกสารนี่กับพี่วีค่ะ”
“ห๊ะ? ห้าเล่มเลยเหรอ?”
รวีเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าได้ภาระเพิ่มมาอีก วันนี้รวีกะว่าจะหาเวลาเข้าไปถามนลินเรื่องวันก่อนเสียหน่อยแต่ก็ไม่มีโอกาสเพราะต้องรีบปั่นงานให้เสร็จภายในวันนี้
วันก่อนหลังจากที่นลินตื่นขึ้นพร้อมอาการไข้ที่ทุเลาลงก็รีบลุกขึ้นจากเตียงและบอกกับรวีว่า “ฉันดีขึ้นแล้ว ขอกลับไปพักที่บ้านต่อนะ ไปล่ะ” นลินพูดโดยไม่ยอมสบตากับรวีและพูดบางอย่างก่อนออกไป เธอจับใจความได้เพียงว่านลินฝันบางอย่างเท่านั้น
ดารณียิ้มแหย ๆ พร้อมกับพยักหน้าแทนคำตอบ
“ดาวเองก็ได้มาสามเล่มค่ะ”
ดารณีพูดเสียงแผ่วเพราะรู้ว่าสามเล่มที่เธอได้มานั้นก็เป็นภาระอีกส่วนหนึ่งของรวี เพราะเธอทันได้เรียนรู้เกี่ยวกับเอกสารพวกนี้เลยก็ดันมาเกิดเรื่องเสียก่อน จากนั้นดารณีก็เดินไปแจกจ่ายเอกสารที่เหลือให้กับปราชญ์และปรีดา ทั้งสองตกใจไม่ต่างอะไรกับรวีแต่ก็ก้มหน้ารับมาทำด้วยความจำใจ
เวลาล่วงเลยไปจนเป็นเวลาบ่ายแก่ ๆ เอกสารทั้งหมดจากรวีและดารณีค่อย ๆ ทยอยเสร็จไปทีละเล่ม ที่ช้ากว่าปกติเพราะรวีต้องคอยสอนงานดารณีไปด้วย แต่ก็พอถู ๆ ไถ ๆ ไปได้บ้าง
“วันนี้พวกเราไปกินเลี้ยงฉลองต้อนรับน้องดาวกันเถอะ”
สุพจน์เดินเข้าชักชวนรวีและปรีดา ก่อนจะมีชญานีพูดเสริมว่า “แล้วก็เลี้ยงปลอบใจน้องดาวด้วยที่วันแรกก็เจอแจ็กพอต”
“ก็ดีเหมือนกันแล้วจะไปกินไรกันอ่ะ หมูกะทะมั้ยหรือชาบู?”
รวีเสนอแนะอาหารยอดฮิตสำหรับกินเลี้ยง ไม่ว่าจะหมูกะทะหรือชาบูอะไรก็ได้ทั้งนั้น
“น้องดาวอยากกินอะไร บอกพวกพี่ได้นะ”
ปรีดาหันมาถามความคิดเห็น
“ดาวอะไรก็ได้ค่ะ แต่เป็นชาบูก็ดี”
“โอเคงั้นชาบูกัน”
ปรีดาสรุปพร้อมนัดหมายเจอกันที่หน้าออฟฟิศหลังเลิกงาน