หงอ้ายพอได้ยินว่าย่าตกลงแล้ว ก็เอานมสดออกมา 12 ขวด เพราะเธอคิดว่าคนในบ้านทุกคนควรจะได้ดื่มกันทั้งหมด เพราะนมมีประโยชน์ต่อร่างกายมาก แล้วก็เอาขนมปังข้าวโพดออกมาอีก 14 อัน คนในบ้านมีทั้งหมด 16 คนแต่ตัดอาเล็กที่ไปเป็นทหารออกก็เหลือ 15 คน ตัดเธอออกไปอีกหนึ่งขนมปังก็จะได้คนละหนึ่งก้อนพอดี
"ทำไมเอาออกมาเยอะแบบนี้ล่ะ" นางหวังซื่อเห็นของที่หลานสาวเอาออกมาก็ต้องตกใจ นมสดในขวดแก้วขนาดไม่ใหญ่แต่มีถึงสิบกว่าขวด ยังมีขนมสีเหลืองหอมกลิ่นข้าวโพดนี่อีกหลายก้อน
"หนูอยากให้ทุกคนได้ดื่มนมเพราะมันช่วยบำรุงร่างกายได้ดี และขนมปังข้าวโพดนี้ก็แบ่งได้คนละชิ้นพอดี ย่าไม่ต้องห่วงของที่มีอยู่ในระบบเกมฟาร์มมันมีเยอะมากมายเลย แล้วถ้าหนูมีระบบนี้แต่คนในบ้านยังต้องอยู่อย่างอดอยาก แต่หนูกลับได้กินอิ่มอยู่คนเดียวก็รู้สึกไม่สบายใจค่ะ" หงอ้ายเห็นย่าฟางตกใจ และเหมือนจะไม่ยินยอมที่จะเอาของออกไปก็รีบเอ่ยอธิบายให้ย่าฟัง นมสดขวดหนึ่งไม่ได้เยอะน่าจะประมาณ 200 มิลลิลิตรเท่านั้น เพียงแต่พอเอาออกมาหลายๆ ขวดจึงดูเยอะ ส่วนขนมปังข้าวโพดก็ก้อนเท่ากำปั้นผู้ใหญ่แค่กินพออิ่ม และถ้าให้เธอมีของพวกนี้มากมายแต่ไม่สามารถเอาออกมาให้คนในบ้านกินได้ เธอก็คิดว่าต่อไปก็จะไม่กินเหมือนกัน
"เอาล่ะ ย่าเข้าใจแล้ว เดี๋ยวย่าไปเรียกแม่ของหลานมาช่วยขนของพวกนี้ออกไปก่อน" นางหวังซื่อได้ยินที่หลานสาวบอกก็รู้สึกดีใจที่ตอนนี้เด็กน้อยรู้จักคิดเป็นห่วงคนอื่นแล้วไม่เอาแต่นิ่งเฉยเหมือนเมื่อก่อนอีก และถ้าเป็นตัวของนางเองก็คงทำใจไม่ได้เหมือนกันที่ตัวเองมีกินอิ่มท้อง แต่คนอื่นในครอบครัวยังคงหิวโหยอยู่ พูดจบก็ลุกออกไปเรียกสะใภ้รองที่ด้านนอก
ไม่นานสะใภ้บ้านรองอินซื่อหรือแม่ของหงอ้ายก็ถือตะกร้าตามย่าฟางเข้ามาในห้องของครอบครัวด้วยความสงสัย แต่พอเห็นของที่วางอยู่จนเต็มเตียงเตาของครอบครัวก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ และเตรียมจะพูดอะไรออกมาก็ถูกย่าฟางห้ามไว้ก่อน
"หล่อนอย่าเพิ่งถามอะไร รีบขนของพวกนี้ออกไปก่อนเถอะ สงสัยอะไรเดี๋ยวฉันจะบอกให้ฟังพร้อมกับคนอื่นๆ" นางหวังซื่อเห็นท่าทางสะใภ้รองที่กำลังจะพูดอะไรออกมาก็รีบห้ามเอาไว้ เพราะกลัวว่าคนอื่นๆ จะสงสัยแล้วเรื่องจะยุ่งยากขึ้น
"ค่ะ คุณแม่" อินซื่อพอได้ยินที่แม่สามีพูดก็เอ่ยรับปาก แล้วหยิบขวดแก้วที่มีน้ำสีขาวอยู่ด้านในใส่ลงในตะกร้าที่แม่สามีให้ถือมา ส่วนแม่สามีก็หยิบก้อนขนมสีเหลืองที่ห่อด้วยกระดาษ แต่มีกลิ่นหอมของข้าวโพดลงไปในกระจาดที่ถือมาเช่นกัน
และเมื่อนางหวังซื่อกับลูกสะใภ้รองอินซื่อขนของออกมาจากห้อง ก็เรียกให้ทุกคนมารวมตัวกันที่ระเบียงยกพื้นหน้าห้อง ที่เป็นที่สำหรับใช้นั่งกินข้าวของครอบครัว ที่สั่งให้ลูกชายยกโต๊ะกินข้าวมาตั้งเตรียมไว้แล้ว
"อาไจ่ ไปปิดประตูหน้าบ้านแล้วดูให้ดีว่ามีใครอยู่แถวนี้ไหม" นางหวังซื่อเมื่อเห็นทุกคนมานั่งที่โต๊ะเรียบร้อย ก็เอ่ยบอกบุตรชายคนโตให้ไปปิดประตูหน้าบ้านและตรวจดูรอบๆ บริเวณบ้านว่ามีใครเดินผ่านไปมาบ้างไหม ดีที่รั้วบ้านตระกูลฟางถูกสร้างจากหินที่แน่นหนาและมีความสูงใช้บดบังสายตาผู้คนที่ด้านนอกได้
"ครับ" ฟางไจ่รับคำมารดา แล้วเดินไปดูที่นอกรั้วบ้าน ซึ่งพอดีกับที่ช่วงนี้แต่ละบ้านกำลังเตรียมอาหารมื้อเย็นจึงไม่มีใครเดินไปมาอยู่ที่ด้านนอก เขาจึงปิดประตูหน้าบ้านและเดินไปนั่งลงยังที่นั่งประจำของตนที่โต๊ะอาหาร
"เอาล่ะ ทุกคนมากันครบแล้วนะ เจ้าห้ากับเจ้าเล็กล่ะ" นางหวังซื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วก็มองคนในครอบครัวเมื่อเห็นว่าหลานชายที่ยังเล็กสองคนไม่อยู่ก็พยักหน้าพอใจแต่ก็ไม่ลืมถามถึง
"อยู่ในห้องค่ะ คุณแม่" สะใภ้ใหญ่ลี่ซื่อเป็นผู้ตอบกลับมา
"เอาล่ะ ฉันมีเรื่องจะบอกทุกคน แต่ต้องจำไว้ว่าเรื่องนี้สำคัญมาก และก็เป็นอันตรายกับครอบครัวเรามากเช่นกัน แต่ถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดีบ้านเราก็จะไม่ต้องอยู่อย่างอดอยากหิวโหยอีกต่อไป โดยเฉพาะพวกหลานห้ามเอาเรื่องนี้ออกไปบอกกับใครเด็ดขาดไม่อย่างนั้นพวกเราทุกคนจะเดือดร้อนเข้าใจไหม" นางหวังซื่อเอ่ยขึ้นเสียงไม่ดังไม่เบาแต่ทุกคนได้ยินอย่างชัดเจน ระหว่างพูดก็มองใบหน้าสมาชิกของครอบครัวเพื่อเป็นการย้ำเตือนไปด้วย
"เข้าใจครับย่า" เด็กชายทั้งสี่เอ่ยตอบรับกลับมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
"พอดีวันนี้ฉันได้ไปเจอคนคนหนึ่งมา ซึ่งเขามีของมากมายเอามาขาย ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ของใช้ แต่ในสถานการณ์แบบนี้เขาไม่สามารถเอาออกมาขายอย่างเปิดเผยได้ และจะเอาไปขายในอำเภอก็ทำไม่ได้ แต่เขายินดีที่จะขายของบางอย่างที่มีอยู่มาให้กับฉัน ด้วยราคาที่ไม่แพงและไม่ต้องใช้คูปอง เพราะฉะนั้นนี่จึงเป็นความลับที่สำคัญมากของบ้านเรา อย่างวันนี้ฉันก็ได้ของมาหลายอย่างเลย เอาละสะใภ้รองเอาของออกมาแจกให้กับทุกคน" นางหวังซื่อคิดไว้แล้วว่าจะบอกเรื่องนี้กับคนอื่นๆ อย่างไร นางไม่คิดจะบอกว่าของพวกนี้มาจากหลานสาว แต่ใช้การอ้างถึงบุคคลอื่นแทนจะดูน่าเชื่อถือกว่า
"นะ…นี่…มัน น้ำนมเหรอ" ทุกคนรับของไปหมดแล้ว ปู่ฟางไห่เป็นคนแรกที่เปิดขวดแก้วขึ้นก่อนใคร และเมื่อดมกลิ่นและยกชิมก็เอ่ยถามออกมาด้วยความตื่นเต้น แต่เดิมในตอนยังเป็นเด็กครอบครัวเขาก็ไม่ได้มีชีวิตยากลำบากอะไร เพราะมีฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่อยู่ทางภาคเหนือของประเทศ นมวัว นมแพะเขาก็เคยได้ดื่มกินมาก่อน แต่พอลูกชายคนที่ 3 อายุได้เพียงแค่ 1 ปี ก็เกิดสงครามโลกครั้งที่สองขึ้น (1939-1945) แล้วต่อด้วยการปฏิวัติครั้งที่สองของประเทศจีในปี 1949 ครอบครัวของเขาก็ต้องพากันอพยพหนีตาย และตามมาด้วยเหตุการณ์ที่ผู้คนอดอยากไปทั่วประเทศ คนในตระกูลฟางคนอื่นๆ ต่างล้มหายตายจากกันไปหมด คนที่รอดจากวิกฤตพวกนั้นมาได้ก็มีเหลือแค่ตัวเขา ภรรยา กับลูกชายทั้งสามคนเท่านั้น จึงได้ตัดสินใจตั้งรกรากอยู่ที่นี่ซึ่งก็ผ่านมาเกือบ 20 ปีแล้ว และเขาก็ไม่คิดจะกลับไปที่บ้านเกิดอีก
"เอาล่ะรับไปแล้วก็รีบกินกันเสีย จำไว้ว่าอย่าเอาของพวกนี้ออกไปนอกบ้าน และอย่าให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาด เพราะนอกจากต่อไปพวกเราจะไม่ได้กินแล้ว อาจจะถูกพวกทหารแดงจับไปลงโทษด้วย เข้าใจนะ" นางหวังซื่อไม่ได้เอ่ยตอบสามี แต่หันไปเอ่ยกำชับคนอื่นๆ
"ขนมนี่มันอร่อยมากเลยครับย่า ว่าแต่ไม่มีของน้องสาว น้องห้า แล้วก็น้องเล็กหรือครับ" ฟางตงอวี้หลังจากได้ดื่มนมและกินขนมสีเหลืองที่ทั้งอร่อยและหอมลงไปบ้างแล้วก็นึกถึงน้องๆ อีกสามคนขึ้นมา
"สามคนนั้นกินไปแล้วล่ะ ยกเว้นขนมปังข้าวโพดนี่ที่เจ้าห้ากับเจ้าเล็กยังไม่ได้กิน" นางหวังซื่อเอ่ยตอบหลานชายคนโตด้วยท่าทางพอใจว่าหลายชายคนโตนี้ดูแล้วน้องคนอื่นๆ น่าจะสามารถพึ่งพาได้
"เดี๋ยวฉันเอาไปให้เองค่ะ" สะใภ้ใหญ่ลี่ซื่อเอ่ยขึ้น เพราะหนึ่งในนั้นมีลูกชายคนเล็กของเธออยู่ด้วย
"อืม หล่อนก็รีบกินเถอะ ส่วนขวดที่กินหมดแล้วสะใภ้สามก็เก็บล้างแล้วเอาไปเก็บไว้ในห้องเก็บของให้ดีล่ะ และอย่าลืมนับจำนวนให้ครบด้วย" นางหวังซื่อพยักหน้ารับ แล้วไม่ลืมหันไปสั่งงานลูกสะใภ้คนเล็ก
"ค่ะ คุณแม่" สะใภ้สามจี้ซื่อเอ่ยรับคำแม่สามี
หงอ้ายที่อยู่ในห้องไม่ได้รับรู้เรื่องนี้ด้วย แต่เธอเชื่อว่าย่าฟางต้องจัดการทุกอย่างได้อย่างแน่นอน
จากนั้นในทุกวันหลังตื่นจากนอนกลางวันในตอนบ่าย หงอ้ายจะเอานมสดกับขนมปังหรืออะไรที่กินง่ายแต่อิ่มท้องออกมาวางไว้ แล้วย่าฟางจะเข้ามายกออกไปเก็บไว้ที่ห้องของตนเอง และพอตอนเย็นหลังเลิกงานที่ทุกคนในบ้านกลับมาก็จะได้รับนมสด และขนมไปกินรองท้องก่อนอาหารมื้อเย็นที่ถูกเลื่อนให้ช้ากว่าเดิมอีกเล็กน้อย
ซึ่งนอกจากนมสดและขนมแล้ว สิ่งที่หงอ้ายเอาออกมาเพิ่มในมื้ออาหารก็คือพวกเครื่องปรุง น้ำมัน ข้าวสาลี บางทีก็เป็นเส้นก๋วยเตี๋ยว หรือเส้นบะหมี่ กับผักสดต่างๆ และในหนึ่งมื้อของทุกวัน ทุกคนในบ้านจะได้กินไข่ไก่กันคนละหนึ่งฟอง ส่วนเนื้อหมู ย่าฟางบอกไม่ให้เธอเอาออกมาอีก เพราะในช่วงอดอยากแบบนี้ แต่ในบ้านกลับมีกลิ่นอาหารที่ปรุงจากเนื้อสัตว์ลอยออกไป อาจจะทำให้ผู้คนสงสัยได้
และตอนนี้หงอ้ายก็ฟื้นขึ้นมาในร่างนี้ได้ห้าวันแล้ว แต่เธอก็ยังทำได้แค่อยู่ภายในรั้วบ้านเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ ในบ้านเพราะได้รับสารอาหารที่มากขึ้นจึงทำให้ร่างกายเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงกันบ้าง เหล่าพี่ชายทั้งสี่และน้องชายอีกสองคนไม่ได้ดูผอมแห้งอีกแล้ว แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากมายนัก แค่ดูแข็งแรงมากขึ้นสีหน้าก็ดูสดใสขึ้นไม่ดูขาดสารอาหารเหมือนในตอนแรกเจอ
"พี่ฉาว (พี่สาว) หม่ำๆ" เสียงของน้องเล็กที่อายุ 3 ปีและเป็นน้องชายแท้ๆ ของเธอดังขึ้น เมื่อวันนี้เธอนำนมสดกับขนมเค้กออกมาให้น้องชายทั้งสองคนกิน ตอนนี้เด็กน้อยทั้งสองเริ่มมีแก้มกลมๆ ให้เธอได้ฟัดบ้างแล้ว ส่วนเรื่องที่น้องชายของเธอยังพูดไม่ค่อยชัด อาจจะเป็นเพราะไม่ค่อยมีใครพูดชวนคุยจึงทำให้พัฒนาการด้านนี้ช้าไปอยู่บ้าง
"น้องเล็กกินเลย น้องห้าล่ะอร่อยไหม" หงอ้ายลูบแก้มน้องชายทั้งสองคนที่กำลังเคี้ยวขนมจนแก้มป่อง พร้อมกับเอ่ยถามไปด้วย
"อร่อยครับ" เสียงน้องห้าเอ่ยตอบกลับมาซึ่งขนมเค้กก็น่าจะอร่อยจริงๆ เพราะเด็กน้อยทั้งสองตักใส่ปากกันไม่หยุดเลย
"หย่อย (อร่อย) " น้องเล็กก็ไม่ยอมน้อยหน้าเอ่ยออกมาบ้าง พร้อมกับตักเค้กคำหนึ่งยกขึ้นมาจ่อที่ปากของเธอ
"อืม อร่อยจริงๆ ด้วย" หงอ้ายที่เห็นน้องชายทำแบบนี้ก็ใจเหลว ก้มลงเอาปากแตะขนมในช้อนที่เด็กน้อยยื่นมาให้ พร้อมกับเอ่ยชมแล้วก็จับใส่ปากน้องชายไป
"อร่อยก็กินกันดีๆ ไหนย่าดูสิเลอะเทอะไปหมดแล้ว" ย่าฟางที่น่าจะเข้าไปเตรียมของสำหรับมื้อเย็นในครัว เดินมาที่พวกเธอนั่งกันอยู่ก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงหัวเราะ เพราะเห็นหลานชายทั้งสองคนกินขนมจนใบหน้าเลอะเทอะไปหมด
"ย่าเราสร้างบ้านใหม่กันได้ไหมคะ" หงอ้ายนั่งมองดูย่าฟางจัดการกับเด็กน้อยทั้งสอง แล้วก็เอ่ยบอกสิ่งที่เธอคิดมาได้หลายวันแล้วออกไป เป็นเพราะครอบครัวฟางยังอยู่รวมกันทั้งหมด และในบ้านก็มีเพียงแค่ห้าห้องเท่านั้น แต่ละครอบครัวจึงต้องนอนรวมกันในห้องเดียว
ซึ่งถ้าเธอเป็นเด็กหญิงอายุ 10 ปีจริงๆ ก็อาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่เธอเป็นวิญญาณหญิงสาวอายุ 35 ปี ย่อมรู้สึกไม่คุ้นชินกับการนอนรวมกันแบบนี้ ไหนจะพ่อกับแม่เจ้าของร่างที่อาจจะต้องมีช่วงเวลาร่วมกันอีก ถึงแม้ว่าตั้งแต่มาถึงเธอยังไม่เคยเจอก็ตาม แต่มันก็น่าตะขิดตะขวงใจไม่น้อยเลย
"สร้างบ้าน? อ๋อ เรื่องไปขายของหาเงินนะเหรอ คงต้องรอให้ผ่านช่วงเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงนี้ไปก่อนนะ คนอื่นๆ ถึงจะว่างพอมาช่วยดูน้องสองคนนี้ แล้วตอนนั้นย่าถึงจะเข้าอำเภอไปขายของให้หลานได้" นางหวังซื่อได้ยินที่หลานสาวถาม ก็คิดไปถึงเรื่องที่อีกฝ่ายอยากให้นางเอาของในระบบเกมออกไปขายหาเงิน เพียงแต่ช่วงนี้ทุกคนต้องลงแปลงนาไม่มีใครว่างพอจะมาดูแลหลานชายที่ยังเล็กทั้งสองคนนี้แทนได้
"ในระบบเกมของหนูมีอุปกรณ์ก่อสร้างทุกอย่างเลย เราเอามันออกมาแล้วสร้างบ้านได้ไหมคะ" หงอ้ายได้ฟังที่ย่าฟางบอกก็เข้าใจ เพียงแต่เธอมีของสำหรับสร้างบ้านอยู่ในระบบเกมฟาร์มอยู่แล้ว และเธอก็ได้คำนวณดูแล้วว่าเพชรที่เธอมีอยู่สามารถสร้างบ้านก่อด้วยอิฐแบบ 5 ห้องได้มากถึงสิบหลังจึงเอ่ยบอกเรื่องนี้ไป
"หลานมีของพวกนั้นด้วยเหรอ…แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องใช้เงินอยู่ดี อดทนอีกหน่อยนะ หรือว่าหลานจะย้ายไปอยู่กับอาม่านล่ะ ย่าว่าจะรอให้อาหญิงแต่งงานออกไปก่อนห้องนั้นก็จะยกให้หลานอยู่ต่อ" นางหวังซื่อพอได้ยินที่หลานสาวบอกก็เริ่มคิดตาม เพียงแต่อยู่ๆ จะเอาของออกมาสร้างบ้านเลย โดยที่ครอบครัวยังไม่มีเงินก็ไม่น่าจะทำได้ เพราะอย่างไรก็ต้องจ่ายค่าแรงของช่าง จึงเอ่ยบอกให้หลานสาวย้ายไปอยู่กับบุตรสาวแทน
*********