ตอนที่ 6 ผู้เล่นกับเรื่องนอกบ้าน

2359 คำ
"ถ้าอย่างนั้นหนูรอก่อนก็ได้ค่ะ เพียงแค่เห็นว่าของพวกนี้มีอยู่ในระบบเลยคิดว่าเราจะสร้างบ้านได้เสียอีก แล้วย่าหาคู่ให้อาม่านได้แล้วหรือคะ" หงอ้ายพอได้ฟังเหตุผลก็พยักหน้ายอมรับ เพียงแต่เธอก็ไม่อยากจะไปรบกวนอาหญิงเช่นกัน เพราะอีกฝ่ายก็คงเหมือนเธอที่อยู่คนเดียวจนชินแล้ว "ก็ยังดูๆ อยู่น่ะ" นางหวังซื่อได้ยินคำถามของหลานสาวก็ไม่ได้ปิดบัง เพียงแต่นางยังไม่เห็นว่าจะมีใครที่เหมาะสมกับบุตรสาวของตนเองเลย เพราะถึงอย่างไรบุตรสาวของนางก็ได้เรียนจนจบถึงชั้นมัธยมต้นมา "แต่พี่ชายเจียงชอบอาม่านไม่ใช่หรือคะ" หงอ้ายนึกถึงเหตุการณ์ที่เจ้าของร่างเคยเห็นขึ้นมาได้ ยุวปัญญาชนเจียงคนนั้นดูเหมือนจะชอบอาหญิงของเธออยู่ เพียงแต่เพื่อนของอาม่านพี่เว่ยเว่ยที่เป็นลูกสาวของหัวหน้าหมู่บ้านก็ชอบยุวชนเจียงด้วยเช่นกัน และดูเหมือนอาม่านจะตัดปัญหาด้วยการไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับฝ่ายชาย "อย่าเที่ยวพูดไป เอาล่ะกลับห้องไปพักได้แล้ว ข้างนอกแดดแรง" นางหวังซื่อได้ยินที่หลานสาวพูดก็รีบเอ่ยห้ามทันที เรื่องนี้นางเองก็พอรู้มาบ้าง แต่ใครใช้ให้ลูกสาวของหัวหน้าหมู่บ้านก็ชื่นชอบฝ่ายชายด้วยเช่นกัน เรื่องนี้นางก็ได้คุยกับบุตรสาวแล้ว และบุตรสาวก็ไม่คิดอยากแย่งผู้ชายคนเดียวกันกับเพื่อน นางจึงต้องมองหาชายหนุ่มคนอื่นให้บุตรสาวแทน แต่ทางฝ่ายของฟางม่านดูจะไม่สามารถตัดปัญหาที่เกิดขึ้นได้ แต่กว่าที่หงอ้ายจะรู้เรื่องก็เป็นตอนที่อาหญิงกลับมาถึงบ้านในตอนเย็นพร้อมกับคนอื่นๆ แล้ว "คนของเราก็อุตส่าห์ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยแล้ว ก็ยังจะตามมาตอแยอยู่อีก ยังมียัยเว่ยเว่ยนั้นคิดว่าเป็นลูกสาวหัวหน้าหมู่บ้านก็เลยไม่ต้องเกรงใจใครหรือยังไง ดูซิลงไม้ลงมือหนักขนาดนี้" เสียงของสะใภ้สามจี้ซื่อดังขึ้นด้วยความไม่พอใจ พร้อมกับเอาไข่ต้มอุ่นๆ ประคบไปที่แก้มน้องสาวของสามี "นั่นสิทั้งๆ ที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน แต่พอเป็นเรื่องผู้ชายก็ลงไม้ลงมือเสียรุนแรง แบบนี้ตัดขาดกันไปเลยนะน้องม่าน" อินซื่อแม่ของหงอ้ายก็พูดออกมาบ้าง "ค่ะ พี่สะใภ้รอง" อาฟางม่านเอ่ยตอบกลับมาเสียงเบา "เอาล่ะ พวกหล่อนพอได้แล้ว เจ้าใหญ่กับสะใภ้ใหญ่ไปกับฉัน เรื่องนี้ยังไงก็ยอมให้จบแค่นี้ไม่ได้ จะมาข่มเหงรังแกกันแบบนี้ฉันยอมไม่ได้หรอกนะ" นางหวังซื่อพอได้ฟังเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็ตัดสินใจเรียกลูกชายและลูกสะใภ้ให้ไปที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านด้วยกัน ซึ่งเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะยุวชนเจียงเขามาพูดคุยกับบุตรสาวของนาง แต่หลินเว่ยเว่ยบุตรสาวของหัวหน้าหมู่บ้านมาเห็นก็อาละวาดด้วยความไม่พอใจ แล้วยังมาลงไม้ลงมือกับบุตรสาวของนางอีกด้วย "น้องสาวเข้าใจที่ย่าพูดเหรอ ถึงได้พยักหน้าแบบนั้น" ฟางตงอวี้ เห็นน้องสาวนั่งพยักหน้าเห็นด้วยกับที่ผู้ใหญ่พูดคุยกันก็เลยอดถามออกไปไม่ได้ "เข้าใจค่ะพี่รอง ความจริงเรื่องนี้สาเหตุน่าจะเป็นเพราะพี่ชายเจียงเป็นคนเมืองหลวง คนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็เลยอยากจะได้มาเป็นเขย แต่ทุกคนไม่คิดกันบ้างหรือว่า ถ้าพี่ชายเจียงสามารถกลับไปที่บ้านของเขาในเมืองหลวงได้เมื่อไหร่ จะยังอยากได้ภรรยาที่เป็นคนชนบทกลับไปด้วยหรือเปล่า" หงอ้ายเอ่ยตอบรับพี่ชาย และไม่ลืมพูดเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตออกไปด้วย เพราะเธอรู้ว่าย่าฟางเองก็อยากได้ยุวชนเจียงคนนี้มาเป็นลูกเขยเหมือนกัน ถึงยังได้รีรอเรื่องคู่ครองของอาม่านอยู่ นางหวังซื่อที่กำลังจะเดินออกไปจากบ้านกับบุตรชายและลูกสะใภ้ แต่พอได้ยินที่หลานสาวพูดก็ถึงกับชะงักไปครู่หนึ่งแล้วก็คิดตาม ตอนแรกนางก็อยากได้ยุวชนจากเมืองหลวงคนนี้มาเป็นลูกเขยเช่นกัน แต่พอบุตรสาวบอกว่าไม่อยากยุ่งด้วย นางก็ตามใจแต่ก็ยังมีความคิดอยู่บ้าง เพราะเห็นฝ่ายชายสนใจบุตรสาวของตนเอง ซึ่งพอได้ฟังที่หลานสาวพูดแล้วความคิดนี้ก็หายไปในทันที แต่ก็ยังรีบเดินไปที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านเรื่องลูกเขยคนนี้นางไม่เอาแล้วก็ได้ แต่ว่าเรื่องที่บุตรสาวถูกทำร้ายร่างกายนางไม่มีทางยินยอมเป็นอันขาด และกว่าที่ย่าฟางกับลุงใหญ่ป้าสะใภ้ใหญ่จะกลับมาก็เลยเวลาอาหารเย็นไปแล้ว แต่ทุกคนก็ยังคงนั่งรออยู่ เมื่อย่าฟางมาถึงก็ให้ลงมือกินอาหารกันก่อนค่อยมาพูดคุยกัน "ทางหัวหน้าหมู่บ้านกับเมียก็ขอโทษมา และบอกว่าต่อไปจะไม่ให้ลูกสาวมายุ่งกับเสี่ยวม่านอีก และดูเหมือนยุวชนเจียงก็เลือกที่จะแต่งงานกับทางนั้นแล้ว" ป้าสะใภ้ใหญ่เล่าให้ทุกคนได้ฟัง ถึงแม้จะทำได้เพียงแค่ให้อีกฝ่ายขอโทษ แต่ก็นับว่าเป็นที่น่าพอใจแล้ว อย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นถึงหัวหน้าหมู่บ้านจะไปมีเรื่องขัดแย้งด้วยก็คงไม่ใช่เรื่องที่ดี "ฮึ!! ตอนแรกที่มาตามตอแยเสี่ยวม่านก็คงคิดว่าที่บ้านมีพี่ชายที่เป็นทหาร แต่พอเห็นว่าไม่มีประโยชน์เท่าลูกสาวของหัวหน้าหมู่บ้านก็เลยเปลี่ยนใจนะสิ" เสียงของสะใภ้สามดังขึ้นหลังจากที่ฟังสะใภ้ใหญ่พูดจบ "เอาล่ะ เรื่องนี้ก็ไม่ต้องพูดกันอีก เรื่องคู่แต่งงานของเสี่ยวม่านแม่ไปพูดคุยกับเพื่อนที่อยู่อีกหมู่บ้านมาแล้ว อีกฝ่ายมีหลานชายทำงานอยู่ในอำเภอ ถ้าเสี่ยวม่านแต่งงานไปแล้วก็จะได้ย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง ต่อไปก็จะได้ไม่ต้องเจอกันอีก" นางหวังซื่อก็เห็นด้วยกับที่สะใภ้สามพูด เพราะวันนี้ได้เห็นท่าทางของยุวชนเจียงที่เข้าข้างทางนั้นมากกว่า แต่นางก็ไม่สนใจอีกฝ่ายแล้วเช่นกัน เพราะตกลงใจเรื่องคู่ครองที่เหมาะสมให้กับบุตรสาวได้แล้ว "แม่ไปคุยมาเมื่อไหร่ครับ" ลุงใหญ่ฟางไจ่เอ่ยถามขึ้น "เคยไปคุยไว้สักพักแล้ว เพียงแต่ทางนั้นลูกชายไม่ได้กลับมาบ้านถึงได้เพิ่งมาให้คำตอบเมื่อสองสามวันก่อนนี้เอง" นางหวังซื่อตอบกลับไป ความจริงเรื่องนี้นางยังลังเลอยู่เพราะอยากให้บุตรสาวแต่งงานกับคนในเมืองมากกว่า แต่หลังจากได้ฟังที่หลานสาวพูดนางก็ตัดสินใจว่าให้แต่งไปกับหลานชายของเพื่อนที่อยู่อีกหมู่บ้านน่าจะดีกว่า และหลังแต่งงานทั้งคู่ก็ยังได้ย้ายไปอยู่ในอำเภอกันตามลำพังสามีภรรยาไม่ต้องมีครอบครัวคนอื่นอีก หงอ้ายนั่งฟังที่ย่าฟางพูดก็นึกถึงเมื่อวันก่อนที่มีคนจากต่างหมู่บ้านมาหาย่า ทั้งสองพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มอยู่นานสองนานถึงได้กลับไป คงเป็นวันนั้นนั่นเอง และเมื่อจัดการเรื่องของอาฟางม่านเรียบร้อยแล้ว ทุกคนในบ้านก็ดูเหมือนจะสบายใจกันมากขึ้น แต่พอได้กำหนดวันแต่งงานมา พวกผู้ใหญ่ในบ้านก็กลับมามีสีหน้าเคร่งเครียดกันอีกครั้ง "แม่ที่บ้านมีเรื่องอะไรหรือคะ ทำไมหนูเห็นพวกผู้ใหญ่มีสีหน้าเครียดๆ กัน" หงอ้ายเอ่ยถามมารดาในตอนที่กำลังจะเตรียมตัวนอน โดยเธอนอนชิดผนังฝั่งหนึ่งบนเตียงเตาที่มีขนาดใหญ่พอให้ทั้งครอบครัวนอนรวมกันได้ มีมารดานอนอยู่ด้านข้างตามด้วยน้องเล็ก พี่ชายรอง และพ่อที่นอนติดผนังอีกฝั่งหนึ่ง "ก็เรื่องงานแต่งของอาหญิงลูกนั่นแหละ บ้านฝ่ายชายอยากจะให้แต่งหลังเก็บเกี่ยวเสร็จ แต่มันก็เหลือเวลาอีกแค่เดือนกว่าๆ เท่านั้น ทางเรายังไม่ได้หาสินเดิมเตรียมให้กับอาของลูกเลย" อินซื่อมองท่าทางอยากรู้อยากเห็นของบุตรสาวแล้วก็อดใจอ่อนตอบออกไปไม่ได้ "อ๋อ เรื่องนี้นี่เอง แล้วสินเดิมมันต้องมีอะไรบ้างหรือคะแม่" หงอ้ายพอได้ฟังเหตุผลที่ทำให้เหล่าผู้ใหญ่ในบ้านมีสีหน้าเคร่งเครียดกันก็พอเข้าใจ ยิ่งอาของเธอต้องแต่งแล้วย้ายเข้าไปอยู่ในอำเภอ ถ้าสินเดิมดูไม่ดีอาจจะถูกคนทางบ้านฝ่ายชายดูถูกเอาได้ ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นเพื่อนกับย่าฟางก็ตาม "ก็แล้วแต่ทางบ้านเจ้าสาวจะจัดหา จะเป็นเงิน ข้าวสาร น้ำตาลทรายแดง น้ำมัน หรืออะไรที่คู่แต่งงานเอาไปใช้ได้ แต่ถ้าอยากให้มีหน้ามีตาหน่อยก็ต้องมีจักรเย็บผ้า จักรยาน แล้วก็นาฬิกา หรือบางครั้งก็เป็นวิทยุ หม้อเหล็ก กระทะเหล็ก กระติกน้ำร้อน ตู้เสื้อผ้า เตียง โต๊ะก็ได้" อินซื่อก็ยอมเอ่ยตอบกลับไป เพราะถึงยังไงปีนี้ลูกสาวเธอก็อายุ 10 ปีแล้ว อีกไม่กี่ปีก็ต้องแต่งออกไปเหมือนกันบอกให้รู้ไว้ก่อนก็ไม่เป็นอะไร ถึงแม้บางอย่างจะค่อนข้างหายาก แต่ก็ยังมีให้เห็น "เดี๋ยวหนูขอไปหาย่าก่อนนะคะ" หงอ้ายพอได้ฟังสิ่งของที่ต้องใช้ดวงตาก็สว่างวาบขึ้นมา สิ่งของที่แม่ของเธอบอกมาเธอมีพวกมันอยู่หลายอย่างเลย หรือถ้าไม่มีก็ลองใช้ให้ทอมไปซื้อมาให้ก็ได้ และพอคิดได้ก็ไม่รีรอรีบออกจากห้องไปหาย่าฟางในทันที "ลูกคนนี้นี่ หลังจากหายป่วยก็แทบจะเปลี่ยนเป็นคนละคนเลย" อินซื่อที่เห็นท่าทางไม่ระมัดระวังตัวของบุตรสาวก็ได้แต่บ่นตามหลังไป "ย่าคะ ย่านอนหรือยัง" หงอ้ายมาหยุดอยู่หน้าห้องนอนของปู่กับย่าก็ร้องเรียกออกไป และเธอยังมองเห็นปู่ ลุงใหญ่ และพ่อของเธอนั่งสูบยากันอยู่ที่สวนผักหลังบ้าน "ว่ายังไงหงอ้ายมีอะไรเหรอ" นางหวังซื่อที่กำลังเตรียมตัวจะนอนได้ยินเสียงของหลานสาวมาร้องเรียกก็รีบลุกออกมาหา "ย่า หนูมีจักรยานค่ะ" หงอ้ายเหลียวมองดูซ้ายขวาไม่เห็นใคร จึงรีบกระซิบบอกกับย่าด้วยเสียงเบา "นี่หลานหมายถึงอะไร ย่างงไปหมดแล้ว" นางหวังซื่อได้ยินที่หลานสาวพูดก็งงงันไปอยู่ครู่หนึ่งถึงได้ถามออกไป "สินเดิมอาม่านยังไงละคะ หนูคิดว่าน่าจะมีของอยู่หลายอย่างเลย" หงอ้ายเห็นย่ายังไม่เข้าใจจึงกระซิบบอกออกไปอีกครั้ง "เออ! นั่นสินะ ย่าก็ลืมไปเลย ขอบใจหลานมากนะ ไว้พรุ่งนี้เราค่อยคุยกันอีกที ตอนนี้หลานกลับไปนอนเถอะ" นางหวังซื่อพอได้ฟังที่หลานสาวบอกก็เหมือนคิดอะไรบางอย่างได้ และเห็นว่าสามีกับบุตรชายเดินกลับเข้ามาในบ้านกันแล้วจึงบอกให้หลานสาวกลับห้องไปนอน ไว้พรุ่งนี้ค่อยพูดคุยกัน รุ่งเช้าหงอ้ายตื่นขึ้นมาในห้องก็ไม่มีใครอยู่แล้ว แม้แต่น้องเล็กก็คงถูกอุ้มไปไว้ที่ห้องของย่าฟางแล้วเช่นกัน พอมองดูพระอาทิตย์ก็เห็นว่าฟ้าน่าจะเพิ่งสว่างได้ไม่นาน ก็เก็บที่นอนและเดินออกมาจากห้อง ก็เจอทุกคนนั่งอยู่ที่โต๊ะกินอาหาร จึงรีบวิ่งไปล้างหน้าแปรงฟันแล้วก็มานั่งลงที่นั่งของตนเอง "ลูกรีบตื่นขึ้นมาทำไม หมอบอกว่าคนที่หัวกระทบกระเทือนต้องพักอย่างน้อยเป็นเดือนเลยนะ" อินซื่อที่เห็นบุตรสาวตื่นออกมาจากห้องเช้ากว่าทุกวันก็เอ่ยบอกด้วยความเป็นห่วง "หนูไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ นอนมาตั้งหลายวันแล้ว" หงอ้ายเอ่ยตอบมารดา พร้อมกับอุ้มน้องชายที่นั่งอยู่บนพื้นให้ขึ้นมานั่งบนตัก "ตามใจ แต่ถ้ารู้สึกเวียนหัวหรือไม่สบายให้รีบบอกคุณย่านะ" อินซื่อรู้ว่าตั้งแต่บุตรสาวหายป่วยก็รู้จักพูดจาขึ้นมาก แต่ก็ยังคงดูตัวเล็กผอมบางอยู่เหมือนเดิม ยิ่งพอเห็นอีกฝ่ายอุ้มน้องชายขึ้นมานั่งบนตักก็ถึงกับหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะกลัวว่าจะพากันล้มไปทั้งพี่ทั้งน้อง "พี่ฉาว (พี่สาว) หม่ำๆ" ในขณะที่ทุกคนกำลังกลัวว่าสองพี่น้องจะพากันล้มเพราะคนพี่ก็ตัวนิดเดียว ส่วนคนน้องก็ตัวกลมขึ้นมาก คนน้องก็ส่งเสียงออกมา ทำให้ทุกคนที่ได้ยินต่างพากันส่งเสียงหัวเราะด้วยความขบขันไปกับเจ้าตัวเล็กของบ้าน "พูดแต่หม่ำๆ ดูซิกินจนตัวกลมหมดแล้ว" อินซื่อได้ยินที่บุตรชายคนเล็กพูดก็อดจะแกล้งกลับไม่ได้ ตอนนี้เด็กๆ ทุกคนในบ้านไม่ได้ดูผอมแห้งอีกต่อไปแล้ว โดยเฉพาะบุตรชายคนเล็กที่ได้ดื่มนมทุกวันจนตอนนี้ตัวกลมน่าเอ็นดูขึ้นมาก "กินข้าวได้แล้ว" นางหวังซื่อยกอาหารจานสุดท้ายออกมา ก็เอ่ยบอกทุกคนให้ลงมือกินอาหารได้ เพราะใกล้จะถึงเวลาลงไปที่แปลงนาแล้ว **********
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม