ตอนที่ 7 ผู้เล่นกับการเตรียมสินเดิม

2586 คำ
มื้อเช้าในวันนี้เป็นมื้อแรกที่หงอ้ายได้มานั่งกินพร้อมกับทุกคนในครอบครัว เพราะที่ผ่านมาไม่เคยตื่นออกมาทันเลย และทุกคนก็ไม่มีใครคิดจะปลุกเธอเช่นกัน อาหารเช้าวันนี้เป็นโจ๊กข้าวสาลีกับฟักทองที่ข้นมาก กินคู่กับผัดแตงกวากับพริกหวาน ซึ่งของทั้งหมดเธอเอาออกมาจากระบบเกมฟาร์ม และยังมีไข่ตุ๋นสำหรับเธอกับน้องชายทั้งสองคน ส่วนคนอื่นๆ ก็เป็นไข่ลวกที่ใส่ลงไปในโจ๊ก ทุกคนพากันกินอาหารเช้าอย่างมีความสุข ในระหว่างนี้หงอ้ายก็ได้มีเวลาสำรวจทุกๆ คนในบ้าน เพราะทุกครั้งที่เจอก็เป็นตอนกินอาหารเย็น ซึ่งท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว ถึงจะมีแสงเทียนมันก็ไม่ได้สว่างมากนัก ส่วนไฟฟ้าในหมู่บ้านยังไม่มีเข้ามา และเพราะร่างนี้ขาดสารอาหารจึงทำให้เป็นโรคตาบอดตอนกลางคืน เพิ่งจะมาดีขึ้นเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง แต่ก็ยังมองเห็นใบหน้าของคนอื่นๆ ได้ไม่ชัดเจนมากเท่ากับในตอนที่มีแสงอาทิตย์แบบนี้ ในตอนแรกที่หงอ้ายเห็นใบหน้าของพี่ชายทั้งสี่ก็คิดว่าแต่ละคนค่อนข้างจะมีหน้าตาที่ดี แต่พอได้มาเห็นใบหน้าของเหล่าสะใภ้ก็ได้แต่คิดว่าบ้านตระกูลฟางใช้การคัดเลือกหน้าตา มาเลือกลูกสะใภ้หรือเปล่า เพราะสะใภ้ทั้งสามคนดูสวยกันหมดเลย ดวงตากลมโต จมูกถึงไม่โด่งแต่ก็มีสันชัดเจน รูปหน้าถ้าไม่เป็นเมล็ดแตงก็เป็นรูปไข่เรียกว่าเป็นรูปหน้าที่ดีกันทั้งหมด ยิ่งแต่ละคนต่างทำงานหนักเลยทำให้มีรูปร่างที่ดีกันทุกคน ยิ่งพอมองไปทางปู่ฟางกับย่าฟางก็เรียกว่าลูกชายลูกสาวบ้านนี้ได้ส่วนที่ดีของทั้งสองคนมาเลย ยิ่งอาหญิงม่านเรียกได้ว่ามีใบหน้าที่สวยคมมาก ถ้าไม่ใช่เพราะการขาดสารอาหารจนผิวเหลืองผมแห้งแตก คงสวยไม่แพ้หญิงสาวในเมืองที่เธอเคยเจอ "หงอ้ายเป็นอะไรไปลูก ทำไมเหม่อลอยแบบนี้ รู้สึกปวดหัวหรือว่าเวียนหัวหรือเปล่า" ฟางไป่เอ่ยถามบุตรสาวที่นั่งเหม่อลอยหันมองหน้าคนนู้นทีคนนี้ทีอยู่นาน จนตอนนี้คนในบ้านกินข้าวกันจนหมดแล้ว แต่อีกฝ่ายยังมีข้าวอยู่เต็มถ้วยอยู่เลย "เปล่าค่ะ หนูไม่ได้เป็นอะไร เพียงแต่เพิ่งสังเกตว่าคนในบ้านเรามีแต่คนหน้าตาดี สวยหล่อกันหมดทุกคนเลย" หงอ้ายเอ่ยตอบกลับพ่อของตนเองไปตามที่คิด "ช่างพูดจริงๆ หลานสาวลุง" ฟางไจ่ได้ยินที่หลานสาวพูดก็ได้แต่ยกยิ้มด้วยความถูกใจ หลังหลานสาวฟื้นขึ้นมานี้ดีจริงๆ ทำให้บ้านมีชีวิตชีวามากขึ้น "ปู่เคยได้ชื่อว่าเป็นหนุ่มหล่อที่สุดในหมู่บ้าน ส่วนย่าก็เคยเป็นสาวงามที่สุดในอำเภอ ก็ไม่แปลกที่ลูกๆ หลานๆ จะหน้าตาดี" ปู่ฟางไห่ได้ยินที่หลานสาวพูดก็ยืดอกตอบออกไปด้วยความภูมิใจ เขาไม่ได้มีความคิดว่าผู้ชายไม่ควรพูดคุยกับผู้หญิงแบบที่ผู้ชายคนอื่นเป็นกัน สำหรับเขาคิดว่ามีอะไรก็ต้องพูดคุยกันถึงจะเข้าใจ มัวแต่เก็บงำเอาไว้ใครจะไปรู้เรื่องด้วย เพราะฉะนั้นเรื่องพูดคุยกับภรรยา บุตรสาว หลานสาวเขาก็ทำอยู่เป็นประจำ คนในบ้านไม่สนิทสนมพูดคุยกันแล้วจะให้ไปพูดคุยกับคนนอกบ้านหรืออย่างไร "แต่ว่าป้าสะใภ้ อาสะใภ้ และแม่ก็หน้าตาดีนะคะ ดูพวกพี่ชายสิอีกหน่อยโตไปแต่ละคนต้องเป็นหนุ่มหล่อแน่ๆ เลย" หงอ้ายได้ยินที่ปู่ฟางพูดก็ยิ้มกว้าง ในความทรงจำปู่คนนี้ไม่ได้มีท่าทางเมินเฉยต่อบุตรสาวหรือหลานสาว ออกจะชอบมาพูดคุยสอบถามอยู่บ่อยๆ ทำให้เหล่าผู้ชายในบ้านก็ติดนิสัยนี้ไปด้วย ซึ่งเธอเองก็ชอบแบบนี้มากกว่ามันดูใกล้ชิดสนิทสนมกันดี ส่วนผู้หญิงทั้งสามที่ถูกพูดถึงตอนนี้กำลังช่วยกันล้างจานอยู่ที่ด้านหลังห้องครัว "ฮ่าๆ ตั้งแต่หายป่วยหงอ้ายของพ่อรู้จักพูดขึ้นเยอะเลยนะ อ้าว…เสียงกริ่งดังแล้ว พ่อไปลงแปลงนาก่อน อยู่บ้านก็อย่าดื้อกับย่านะ" ฟางไป่ได้ยินที่บุตรสาวพูดก็ได้แต่หัวเราะออกมาด้วยความสุขใจ บุตรสาวที่เคยนิ่งเงียบของเขาไม่มีอีกแล้ว มีแต่เด็กสาวช่างพูดและสดใส ใครบ้างจะไม่ดีใจ หงอ้ายยืนส่งทุกคนไปลงแปลงนา แล้วก็กลับมาช่วยย่าฟางพาน้องๆ มานั่งเล่นที่ลานดินหน้าบ้าน "หงอ้ายมานี่เถอะ ปล่อยน้องๆ นั่งเล่นไป ไม่ต้องไปนั่งบนดินแบบนั้น" หวังซื่อหลังจัดการเก็บข้าวของในครัวเรียบร้อยแล้วก็ออกมาดูหลานๆ เห็นหลานสาวไปนั่งบนพื้นดินเล่นกับน้องๆ ก็เรียกให้มานั่งด้วยกันที่ลานระเบียง หลานสาวปีนี้อายุ 10 ปีแล้วจะให้ไปนั่งเล่นแบบนั้นอยู่ได้ยังไง "เรื่องสินเดิมของอาม่าน ย่าอยากได้อะไรบ้างคะ" หงอ้ายเดินมานั่งลงข้างย่าฟาง แต่สายตาก็ยังมองน้องๆ ที่กำลังเล่นกันอยู่ที่ลานดิน "หลานบอกว่ามีจักรยานอย่างนั้นเหรอ" นางหวังซื่อเอ่ยถามหลานสาว "ค่ะ มีจักรยาน รถมอเตอร์ไซค์ รถกระบะก็มีค่ะ" หงอ้ายพยักหน้าตอบรับผู้เป็นย่าและยังบอกถึงพาหนะอื่นๆ ที่มีไปด้วย "ถึงกับมีรถกระบะเชียว แต่คงไม่ได้เอาออกมาหรอก ในบ้านเราไม่มีใครขับเป็น แล้วจักรเย็บผ้าล่ะหลานมีไหม" นางหวังซื่อได้ยินว่ามีรถกระบะก็ตาเป็นประกาย นางเคยเห็นตอนเข้าไปในอำเภอ แต่พอคิดถึงครอบครัวตัวเองก็ต้องตัดใจ กลับมาสนใจเรื่องที่ต้องการต่อ "ขอดูก่อนนะคะ" หงอ้ายตั้งแต่เมื่อวานก็ยังไม่ได้เข้าระบบเกมฟาร์มเลย เพราะต้องนอนข้างมารดา และวันนี้ก็ตื่นออกมาจากห้องตั้งแต่เช้า 'เปิดเกม' หงอ้ายเปลี่ยนเป็นนั่งหันหลังให้ประตูหน้าบ้าน แล้วเรียกระบบเกมออกมา จากนั้นก็ทำการเก็บเกี่ยวผลผลิตและสั่งผลิตของทิ้งไว้ เมื่อจัดการงานในฟาร์มเรียบร้อยก็มาที่ทอมซึ่งยังคงยืนรออยู่ที่ตะกร้าประจำตัว เธอจึงกดเข้าไป แล้วเลือกพิมพ์ค้นหาที่หน้าแรก แทนเลื่อนหาเอาเอง เพราะตอนนี้เธอให้ย่ารอนานมากแล้ว ซึ่งโชคดีที่ทอมมีจักรเย็บผ้าอยู่ในหมวดของใช้ในบ้านพอดี เธอจึงเรียกมันออกมาที่ด้านนอก ซึ่งเวลาเรียกใช้งานทอมในครั้งต่อไปก็เปลี่ยนเป็น 24 ชั่วโมงแทน "อุ๊ย…ทำไมหลานไม่บอกย่าก่อน เอาออกมาแบบนี้เกิดมีใครมาเห็นเข้าจะทำยังไง" นางหวังซื่อเห็นหลานสาวรับปาก แล้วอีกฝ่ายก็หันหลังจากนั้นก็ขยับมือไปมาอยู่ครู่หนึ่งก็มีจักรเย็บผ้าอยู่ในกล่องไม้ปรากฏขึ้นมาตรงพื้นข้างตัวหลานสาว นางจึงร้องออกมาด้วยความตกใจเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว "ขอโทษค่ะ พอดีหนูไม่เคยเห็นจักรเย็บผ้าแบบนี้ก็เลยเรียกออกมาให้ย่าดูว่าใช่แบบที่ต้องการหรือเปล่า" หงอ้ายเอ่ยขอโทษผู้เป็นย่าที่ทำให้ตกใจ แต่เป็นเพราะเธอเองก็ไม่รู้ว่าจักรเย็บผ้าในยุคนี้หน้าตาเป็นอย่างไร เพราะในความทรงจำไม่มีอยู่ และที่ตัวเธอเคยเห็นก็ไม่ใช่แบบนี้ เพราะจักรเย็บผ้าที่ออกมาจากระบบเกมฟาร์มมีแค่หัวจักรสีดำที่วางอยู่ในกล่องไม้ ไม่ได้อยู่บนโต๊ะเหยียบอย่างที่เธอเคยเห็น "ช่างเถอะไหนๆ ก็เอาออกมาแล้ว" นางหวังซื่อเห็นว่าหลานสาวเอาออกมาแล้วก็คงทำอะไรไม่ได้อีก แต่ก็มองด้วยสายตาชื่นชม เพราะจักรที่หลานสาวเอาออกมาน่าจะเป็นจักรเย็บผ้ารุ่นใหม่เพราะมีขนาดไม่ใหญ่ ไม่เหมือนกับของที่มีอยู่ในบ้านที่ทั้งใหญ่ทั้งเทอะทะ แล้วก็เป็นของเก่ามาเกือบยี่สิบปีแล้ว "ถ้าอย่างนั้นเอาจักรยานออกมาด้วยเลยดีไหมคะ จะได้บอกคนอื่นๆ ว่าย่าไปซื้อมาจากคนนั้นๆ" หงอ้ายเห็นว่าย่าไม่ว่าอะไรอีก ก็เลยถามถึงเรื่องจักรยาน เพราะจะได้ใช้เหตุผลว่าย่าซื้อมาจากคนคนนั้นที่ย่าอ้างว่าเอาของมาขายให้ "แต่จะบอกคนอื่นว่าเอาเงินที่ไหนไปซื้อมาล่ะ ของพวกนี้ไม่ใช่ราคาถูกๆ เลยนะ" นางหวังซื่อก็คิดเหมือนกับหลานสาว แต่ติดปัญหาตรงที่ของพวกนี้มีราคาแพงมาก เงินที่มีอยู่ในบ้านอย่างไรก็มีไม่พอ ไม่อย่างนั้นหลายวันมานี้นางจะต้องกลุ้มใจเรื่องสินเดิมของบุตรสาวไปทำไม "เอาแบบนี้ดีไหมคะย่า ก็บอกไปว่าเขาให้ของเรามาก่อน โดยมีเงื่อนไขว่าต่อไปเราต้องช่วยเอาของออกไปขายให้กับเขา แล้วเขาจะหักเงินจากตรงนั้นไปเป็นค่าของที่เราเอามา" หงอ้ายก็คิดถึงข้ออ้างที่จะใช้ ซึ่งเป็นข้ออ้างที่เธอคิดเอาไว้ใช้ในตอนที่จะเอาของออกไปขาย "ฟังดูสมเหตุสมผลอยู่เหมือนกันนะ แต่จะมีใครเชื่อไหมล่ะ ว่าจะมีคนยอมให้ของราคาแพงแบบนี้กับคนที่เพิ่งรู้จักกันเอามาใช้ก่อน" นางหวังซื่อได้ฟังข้ออ้างของหลานสาวก็คิดว่าฟังดูใช้ได้ เพียงแต่จะมีใครกันที่กล้าให้ของมากับคนที่เพิ่งรู้จักแบบนี้ "ถ้าจักรยานคันเดียวไม่เชื่อ งั้นเป็นจักรยานสองคันละคะ ให้อาม่านเอาไปเป็นสินเดิมคันหนึ่ง แล้วก็ให้บ้านเราเอาไว้ใช้ไปขายของอีกคันหนึ่ง" หงอ้ายพูดจบก็ไม่รอช้าเอาจักรยานที่ได้เลือกไว้ออกมาสองคัน ซึ่งจักรยานที่เอาออกมาก็มีหน้าตาเหมือนกับจักรยานในยุคนี้ที่เธอเคยเห็นในความทรงจำจากบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านแต่ดูใหม่กว่ามาก "หลานนี่นะไหนว่าจะเชื่อฟังย่ายังไงล่ะ แล้วเอาของออกมาแบบนี้จะให้ย่าทำยังไงได้ล่ะ" นางหวังซื่อยังไม่ทันได้เอ่ยปฏิเสธที่หลานสาวพูด อีกฝ่ายก็เรียกรถจักรยานคันใหม่เอี่ยมออกมาแล้ว "หนูขอโทษค่ะ แต่ย่าลองคิดดูว่าวิธีที่หนูบอกถึงแม้จะน่าสงสัยไปบ้าง แต่ก็พอทุกคนเห็นเราเอาของออกไปขายได้เงินก็จะเชื่อกันเอง" หงอ้ายที่ถูกย่าฟางบ่นก็ทำเป็นหงอยอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็รีบหาเหตุผลมากลบเกลื่อนความผิดของตนเองในทันที ซึ่งความจริงของที่เอาออกมาแล้วสามารถเก็บกลับเข้าไปในคลังของระบบเกมได้เหมือนเดิม หรือของที่อยู่ข้างนอกจะเอาเก็บเข้าไปไว้ในคลังก็ทำได้เช่นกัน เพียงแต่เธอจะยังไม่บอกกับย่าฟางในตอนนี้ "เฮ้อ ก็คงต้องใช้วิธีนี้แหละ แล้วหลานจะให้เอาอะไรออกไปขายบ้างล่ะ" นางหวังซื่อรู้ว่าหลานสาวแค่หาข้ออ้างไปอย่างนั้นเอง เพราะเห็นท่าทางพึงพอใจของอีกฝ่าย นางก็ทำได้แค่ต้องไปพูดคุยกับคนอื่นๆ ในบ้านให้เข้าใจ และไม่ลืมเอ่ยถามถึงสิ่งของที่หลานสาวจะให้เอาออกไปขาย จะได้เลือกดูก่อนว่าควรเอาออกไปขายดีหรือไม่ "เราเข้าไปดูที่ตลาดกันก่อนดีไหมคะ ว่ามีคนมาหาซื้ออะไรกันบ้าง ถ้าหนูมีเราก็ค่อยเอาออกมาขาย" หงอ้ายเองก็ไม่รู้ว่าควรจะเอาอะไรออกมาขายบ้าง เพราะที่เคยเห็นในนิยายส่วนใหญ่ก็ขายเนื้อหมู ไข่ไก่ หรือของที่คนมาถามหากันในตลาด เธอจึงคิดว่าเข้าไปดูว่าคนที่นี่เขามาหาซื้ออะไรกัน ถ้าเธอมีก็เอาออกมาขายน่าจะง่ายกว่า "เอาตามนั้นก็ได้ แต่ว่าหลานจะไปด้วยอย่างนั้นเหรอ" นางหวังซื่อได้ฟังที่หลานสาวพูดก็คิดว่าดีเหมือนกัน เพราะนางเองก็ไม่รู้ว่าคนในอำเภอเขาอยากได้ของอะไร นางเคยไปหาซื้อของตอนที่พวกลูกสะใภ้คลอดแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น "หนูก็ต้องไปด้วยสิคะ เพราะจะได้ดูว่าของที่คนเขาอยากได้หนูมีอยู่ในระบบเกมไหม" หงอ้ายก็รีบบอกย่ากลับไป เธอจะไม่มีทางพลาดการได้เข้าไปขายของในอำเภอเด็ดขาด เพราะเธออยากจะออกไปดูบ้านเมืองในยุคนี้เต็มที่แล้ว พร้อมกับมองหาหนทางขยับขยายในอนาคตไปด้วย "นั่นสินะ เอาล่ะเรื่องของพวกนี้เดี๋ยวย่าจัดการเอง แต่เรื่องไปขายของยังไงก็คงต้องรอให้พ้นหน้าเก็บเกี่ยวกับงานแต่งของอาหญิงไปก่อนนะ" นางหวังซื่อเองก็คิดว่าที่หลานสาวบอกก็น่าจะดีกว่าเอาของออกมาโดยที่ไม่รู้ว่าผู้คนต้องการหาซื้ออะไรกันบ้าง "ค่ะย่า" หงอ้ายรับคำย่าด้วยความดีใจ อย่างน้อยแผนการค้าขายของเธอก็มีหนทางที่จะเริ่มต้นแล้ว และแน่นอนพอคนทั้งบ้านกลับมาเห็นจักรยานสองคันที่จอดอยู่ข้างบ้านก็พากันตกตะลึง ยังมีจักรเย็บผ้ารุ่นใหม่ที่วางอยู่หน้าห้องของอาม่านอีก จึงเรียกเสียงตกตะลึงพร้อมกับความสงสัยของทุกคน "เบาเสียงลงหน่อย! จำที่ฉันบอกไม่ได้กันแล้วหรือยังไง" นางหวังซื่อได้ยินเสียงร้องถามของคนในครอบครัวก็เอ่ยเสียงดุขึ้นให้ทุกคนเงียบลง จากนั้นก็บอกถึงที่มาของของเหล่านี้ โดยใช้เหตุผลตามที่หลานสาวบอกมานั่นเอง "แต่ว่าทำไมเขาถึงไว้ใจแม่มากขนาดนี้ล่ะ" ฟางไจ่เอ่ยถามขึ้นเสียงเบา "ทำไม ฉันมันไม่น่าไว้ใจตรงไหนฮะ ตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้ คนอย่างฉันหวังจินเหมยเงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน" นางหวังซื่อได้ยินที่บุตรชายคนโตพูดก็รู้สึกโมโหจนอดที่จะตอบโต้กลับไปไม่ได้ คนอย่างนางในชีวิตไม่เคยเอาเปรียบใคร และไม่เคยคดโกงใครมาก่อน เดินไปทางไหนก็มองหน้าคนอื่นได้อย่างเต็มตา *********
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม