ตอนที่ 8 ผู้เล่นกับการไปส่งอาหาร

2249 คำ
เป็นเพราะคำพูดของย่าฟางจึงทำให้คนอื่นๆ ไม่มีใครกล้าสงสัยหรือมีคำถามอีก คงเพราะรู้ดีว่าย่าฟางเป็นคนที่ซื่อสัตย์และยึดมั่นในคุณธรรมมากแค่ไหน เรื่องที่คิดจะฉกฉวย เอารัดเอาเปรียบ หรือหวังจะกอบโกยหาผลประโยชน์จากคนอื่นย่อมไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ดูอย่างการปฏิบัติตัวกับเหล่าลูกสะใภ้ก็ช่วยยืนยันได้แล้วว่าย่าฟางไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวอย่างแน่นอน "แล้วเขาจะให้ไปเริ่มขายของเมื่อไรล่ะ" ปู่ฟางที่เข้าใจสถานการณ์แล้วเอ่ยถามขึ้น และเริ่มมั่นใจว่าคนที่เอาของมาขายต้องมีเส้นสายกว้างขวางอย่างแน่นอน เพราะทั้งจักรยาน และจักรเย็บผ้าไม่ใช่ของที่แค่มีเงินก็จะหาซื้อได้ ไหนจะคูปองที่ต้องใช้ แล้วยังมีเรื่องของระยะเวลาในการจองอีกก็น่าจะต้องเป็นเดือน แต่นี่ภรรยาของเขากลับได้มาถึงสองคันแถมเงินยังไม่ต้องจ่ายก่อนอีก "ฉันบอกไปว่าหลังจากเสี่ยวม่านแต่งงานแล้วถึงจะไปได้ ก็พอดีกับที่การเก็บเกี่ยวเสร็จแล้ว พวกสะใภ้จะได้อยู่ดูแลบ้านกับเจ้าห้าและเจ้าเล็กระหว่างที่ฉันเข้าอำเภอ ส่วนหงอ้ายฉันคิดว่าจะพาไปด้วย" นางหวังซื่อเอ่ยตอบสามี แล้วหันไปพูดกับสะใภ้ทั้งสามคนเรื่องอยู่ดูแลบ้านกับหลานชาย "พาหงอ้ายไปด้วย จะไม่รบกวนคุณแม่หรือคะ" อินซื่อได้ยินว่าแม่สามีจะพาบุตรสาวไปด้วย ก็กังวลกลัวว่าบุตรสาวจะเป็นภาระของผู้เป็นย่า "ไม่หรอก ถึงหงอ้ายอยู่บ้านก็ไม่ได้ทำอะไร ฉันพาไปด้วยจะได้ช่วยกันดูแลของและช่วยคิดเงินเล็กๆ น้อยๆ ได้ อีกอย่างพาเด็กไปด้วย พวกทหารแดงจะได้ไม่สงสัย" นางหวังซื่อเอ่ยตอบกลับไป ความจริงนางก็คิดว่าการจะเข้าไปขายของในอำเภอควรพาใครไปด้วยสักคน เผื่อเกิดอะไรขึ้น ซึ่งดีที่หลานสาวอาสาตัวเองเสียก่อน ถึงแม้อีกฝ่ายจะยังเด็กเกินไปสักหน่อย "ถ้าแม่จะเข้าอำเภอก็ต้องหัดขี่จักรยานให้ได้ก่อนนะครับ" ฟางไจ่เอ่ยบอกแม่ตนเองด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้ในบ้านเขามีจักรยานแล้ว ถึงแม้จะเอาไว้ให้แม่ของเขาใช้ขี่ไปขายของก็ตาม แต่ถ้าวันไหนแม่ไม่ได้ไปขายของ พวกเขาก็อาจจะขอเอาออกไปขี่บ้างก็น่าจะได้ "ฉันลองขี่บ้างแล้ว ก็ไม่ยากหรอก เอาไว้วันไหนค่อยออกไปลองขี่ที่ถนนนอกหมู่บ้านดู" นางหวังซื่อเอ่ยตอบบุตรชายคนโต ที่นางมองก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายคงคิดอยากจะเอาจักรยานออกไปอวดคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน และแล้วเรื่องสินเดิมของอาหญิงก็ถูกจัดการเรียบร้อย ซึ่งตัวของอาหญิงม่านก็ทำเพียงนั่งฟังที่แม่และพี่ชายพูดคุยกัน พร้อมกับส่งยิ้มเล็กน้อยเมื่อถูกพูดถึง ซึ่งตั้งแต่เธอมาอยู่ที่นี่ก็ได้ยินอาสาวพูดแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น จนคิดว่านิสัยไม่ค่อยพูดของหงอ้ายคนเก่าอาจจะติดมาจากอาหญิงผู้นี้หรือเปล่า เพราะคนอื่นๆ ในบ้านก็พูดคุยกันเป็นปกติดี ผ่านไปไม่นานก็ใกล้ถึงเวลาเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงในช่วงปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน โชคดีที่ดูแล้วผลผลิตคงไม่เลวร้ายมากอย่างที่ทุกคนกังวล ช่วงเวลาหลังจากเก็บเกี่ยวไปแล้วก็จะเป็นช่วงพัก เพื่อเตรียมตัวปลูกข้าวฤดูหนาว ซึ่งงานแต่งของอาหญิงฟางม่านก็จะถูกจัดขึ้นในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนนี้นั้นเอง หลายวันก่อนหงอ้ายได้เอาผ้าฝ้ายออกมาหลายพับเพื่อให้คนในบ้านได้ตัดชุดใหม่ไว้ใส่ร่วมงานแต่ง และดีที่ระบบเกมให้สั่งผลิตแบบเลือกสีของผ้าฝ้ายได้ โดยใช้พืชผักหรือผลไม้มาใช้ในการผสมสี โดยเธอใช้สีแดงจากสตรอเบอรี่ให้อาหญิงม่านไว้ตัดชุดแต่งงาน และสีอื่นๆ สำหรับคนในบ้าน อย่างสีเขียวจากผักกาด สีส้มจากแครอท สีเหลืองจากดอกทานตะวัน สีม่วงจากกะหล่ำปลีม่วง สีชมพูจากราสเบอร์รี่ สีน้ำเงินจากต้นคราม สีน้ำตาลจากกาแฟ และสีเขียวเข้มจากมะกอก และเธอยังเอาจักรเย็บผ้าตัวใหม่ออกมาอีกหนึ่งตัว เมื่อได้รับผ้าใหม่ไปแล้ว เหล่าผู้หญิงในบ้านจึงแบ่งเวลามาช่วยกันตัดเย็บเสื้อผ้าใหม่ให้กับคนในครอบครัวด้วยรอยยิ้ม ไหนจะเรื่องสินเดิมของบุตรสาวคนเล็กของบ้าน ก็ทำให้คนในบ้านเดินยืดอกกันได้มากขึ้น ถึงแม้จะต้องทำงานชดใช้ในภายหลัง แต่เพื่อให้บุตรสาว น้องสาวได้มีหน้ามีตากับบ้านสามีทุกคนก็ยินดี และวันเก็บเกี่ยวก็มาถึงทุกคนในบ้านต่างพากันลงแปลงนาตั้งแต่เช้าตรู่ ก่อนหน้านี้หงอ้ายเริ่มขอให้ย่าฟางเปลี่ยนเวลากินอาหารของทุกคนให้เป็น 3 มื้อ จากเดิมที่จะมีแค่เธอกับน้องชายอีกสองคนเท่านั้น ซึ่งเธอได้เอาของกินในระบบเกมออกมาหลายอย่าง ทุกเช้าทุกคนต้องได้ดื่มนมสด พอเที่ยงก็มีอาหารกลางวัน น้ำผลไม้ หรือบางครั้งก็เป็นผลไม้ที่เธอเอาออกมาจากระบบเกม กับอาหารที่ย่าฟางทำเอาไปส่งที่แปลงนา ซึ่งก็เรียกสายตาอิจฉาริษยาจากคนอื่นๆ ตลอดทางเดินไปยังแปลงนา แต่ย่าฟางก็ไม่สนใจ เพราะเรื่องบำรุงร่างกายของคนในบ้านสำคัญกว่า "แหมนางฟาง เดี๋ยวนี้ถึงกับมีอาหารตอนเที่ยงกินด้วยเหรอ" หญิงในวัยเดียวกับย่าฟางเอ่ยขึ้นเมื่อเธอกับย่าฟางเดินมาถึงแปลงนาที่ครอบครัวฟางกำลังช่วยกันเก็บเกี่ยวอยู่ "บ้านฉันจะมีอาหารเที่ยงกินหรือไม่มี มันเกี่ยวอะไรกับหล่อนอย่างนั้นเหรอนางจาง" ย่าฟางปรายตามองอีกฝ่ายเล็กน้อยแล้วเอ่ยตอบกลับไปอย่างไม่เห็นสำคัญ จากนั้นก็ปูเสื่อใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างแปลงนา และวางของเตรียมไว้เพื่อรอเวลาพัก อาหารกลางวันที่ทำมามีแป้งย่างกินกับถั่วลิสงผัดเผ็ด และยำแตงกวา ของทั้งหมดเธอเอาออกมาให้ย่าฟางเป็นคนทำ และเธอได้เลือกเอาซุปกะหล่ำปลีออกมาจากระบบเกมเพิ่มอีกหนึ่งอย่าง มีแอปเปิลเป็นผลไม้กินล้างปาก "ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรหรอก แต่หล่อนไม่รู้สึกเกรงใจคนอื่นที่เขาไม่ได้กินบ้างหรือยังไง" หญิงที่ถูกเรียกว่านางจางเมื่อเห็นย่าฟางไม่สนใจตนเองก็เท้าสะเอวขึ้นแล้วพูดใส่เสียงดัง "ทำไมต้องเกรงใจ พวกฉันไม่ได้ไปขอข้าวบ้านใครมากินเสียหน่อย" ย่าฟางเอ่ยตอบกลับไปด้วยท่าทางไม่สนใจเช่นเดิม และยังนั่งลงบนเสื่อพร้อมกับมองเมินไปอีกทาง จนกระทั่งถึงเวลาพักทุกคนในบ้านก็มานั่งล้อมวงกันกินอาหารเที่ยงใต้ต้นไม้ที่ย่าฟางนั่งรออยู่ ท่ามกลางสายตาอิจฉาจากคนอื่นๆ แต่ก็ใช่ว่าจะมีแค่บ้านฟางบ้านเดียวที่กินอาหารกลางวัน เพราะก็มีอีกหลายบ้านที่กินอาหารกลางวันเหมือนกัน แต่ก็มีบางครอบครัวที่มีเพียงหัวมัน หัวเผือกเท่านั้น ซึ่งนางจางที่เอ่ยกระแหนะกระแหนใส่ย่าฟางก็อยู่ในส่วนหลังนี้ "แหม...คนอื่นเขาลำบากประหยัดกินประหยัดใช้ แต่บ้านฟางกลับได้กินอิ่มจนปากงี้มันแผล็บเชียว" นางจางเอ่ยขึ้นอีกครั้ง หลังจากทุกคนกินอิ่มแล้ว ย่าฟางกับหงอ้ายก็เตรียมเก็บจานชามกลับบ้าน เพราะปล่อยให้เด็กชายสองคนอยู่ที่บ้านตามลำพังกันมานานแล้ว "ของพวกนี้ใช้เงินที่ลูกชายคนเล็กของฉันส่งมาให้จากค่ายทหารซื้อมา ถ้าหล่อนอยากกินอิ่มจนปากมันแผล็บบ้าง ทำไมตอนนั้นไม่ส่งลูกชายที่ไร้ประโยชน์ของหล่อนไปเป็นทหารล่ะ อย่างน้อยทุกเดือนจะได้จับเงินหยวนกับเขาบ้าง" นางหวังซื่อได้ยินคำกระแหนะกระแหนของนางจางก็อดที่จะเอ่ยปากตอบโต้กลับไปไม่ได้ ซึ่งเรื่องที่นางหวังซื่อยอมส่งลูกชายไปเป็นทหารเป็นเรื่องที่นางคิดว่าตนเองทำถูกต้องแล้ว เพราะถึงแม้จะแลกมากับชีวิตครอบครัวของลูกชายคนเล็กที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน และการเป็นทหารก็เสี่ยงอันตรายมาก แต่ตอนนี้ในบ้านก็ไม่ได้มีชีวิตที่ยากลำบากอีกต่อไป และยังไม่มีใครในหมู่บ้านที่กล้ามาหาเรื่องครอบครัวฟางของเธอ เพราะว่ามีลูกชายเป็นทหารอีกด้วย ส่วนนางจางที่คอยกระแหนะกระแหนตนเองอยู่ในตอนนี้ เป็นเพราะในอดีตบ้านของนางจางมีฐานะดี และไม่อยากให้ลูกชายของตนเองไปเป็นทหาร จึงเลือกจ่ายเงินเป็นค่าปรับไป แต่พอตอนนี้ฐานะทางบ้านของอีกฝ่ายย่ำแย่ลง ลูกชายที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีก็ทำอะไรไม่เป็นโล้เป็นพาย ครอบครัวจางก็ยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก จึงได้แต่มาคอยอิจฉาริษยาผู้อื่นอยู่อย่างนี้ "ฮึ!!" นางจางส่งเสียงออกมาด้วยความไม่พอใจ แล้วก็สะบัดหน้าเดินหนีไปทำงานของตนเอง "ตอนเขามาเกณฑ์คนไปเป็นทหารตัวเองไม่อยากให้ลูกชายไปถึงกับยอมจ่ายเงินชดใช้ แล้วเที่ยวพูดเยาะเย้ยใส่คนอื่นไปทั่ว ที่อย่างงี้ล่ะกลับมาอิจฉา ถุ่ย!!" ฟางไจ่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงไม่ปิดบังความดูถูกที่มีต่อนางจาง เพราะตอนนั้นครอบครัวของเขาค่อนข้างลำบากน้องชายคนเล็กจึงยอมเสียสละตนเองไปเป็นทหาร ลูกชายของนางจางยังมาพูดจาเยาะเย้ยบ้านเขาอยู่นาน จนตอนนี้ผ่านไปเกือบ 5 ปีแล้ว น้องชายของเขาก็มีความก้าวหน้าในการงานดี ครอบครัวจึงพอหายใจหายคอได้ แต่กลับกลายเป็นครอบครัวจางที่แย่ลง หงอ้ายหิ้วตะกร้าเดินกลับบ้านตามหลังย่าฟาง และก็มีคนเอ่ยทักทายย่าฟางอยู่เกือบตลอดทาง ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกัน และแต่ละคนก็พูดว่าอิจฉาที่ย่าฟางไม่ต้องลงแปลงนาเหมือนตนเอง "ย่าคะ เราเลี้ยงหมูกันดีไหมคะ" หงอ้ายเมื่อกลับมาถึงบ้านและเก็บล้างจานชามเรียบร้อยแล้ว ก็เอ่ยกับย่าตอนที่กำลังนั่งพักเหนื่อยกัน ส่วนน้องทั้งสองคนตอนนี้หลับไปแล้ว "ถ้าเลี้ยงหมูก็ต้องมีคนคอยดูแลและหาอาหารให้พวกมัน ย่ากับหลานทำกันไม่ไหวหรอก" นางหวังซื่อได้ยินที่หลานสาวพูดก็นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ความจริงนางเองก็อยากจะเลี้ยงหมูอยู่เหมือนกันเพราะมันเอาไปคิดเป็นแต้มคะแนนได้ เพียงแต่ทุกวันนี้งานดูแลบ้านกับหลานอีก 3 คน ก็ตึงมือของนางแล้ว "เดี๋ยวหนูเอาอาหารหมูออกมาให้เองค่ะ อีกอย่างป้าสะใภ้ แม่ และก็อาสะใภ้ น่าจะสลับกันมาทำตรงนี้ได้ แล้วก็ให้ทั้งสามคนลดเวลาทำงานลงดีไหมคะ" หงอ้ายเอ่ยบอกความคิดของตนเองให้ย่าฟัง ตอนนี้สะใภ้ทั้งสามลงงานกันคนละ 10 คะแนนเท่ากับผู้ชาย เพียงแต่งานที่ทำอาจจะไม่ได้หนักเท่า ซึ่งในตอนนี้แต่ละคนยังอายุไม่มากจึงยังดูแข็งแรงกันดี แต่ถ้าแก่ตัวลงไปมากกว่านี้อาจจะทำให้ร่างกายทรุดโทรมลงได้ และเรื่องอาหารหมูที่เธอบอกว่าจะเอาออกมาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เพราะเธอได้เอาอาหารไก่จากระบบเกมฟาร์มออกมาใช้เลี้ยงไก่ที่อยู่ด้านนอกด้วย ซึ่งระยะเวลาแค่สิบกว่าวันที่ไก่ด้านนอกได้กินอาหารจากระบบเกมก็ดูอ้วนท้วน และยังขยันออกไข่ทุกวันอีกด้วย ทำให้ย่าฟางถึงกับยิ้มแย้มเวลาที่เข้าไปเก็บไข่ "ถ้าอย่างนั้นไว้ตอนเย็นย่าจะลองพูดกับคนอื่นๆ ดูนะ เพียงแต่คงเริ่มได้ตอนหลังปีใหม่ไปแล้ว" นางหวังซื่อคิดตามที่หลานสาวพูดก็รู้สึกเห็นด้วยอยู่เหมือนกัน เพราะนางรู้ดีว่าการทำงานเก็บคะแนนวันละ 10 ชั่วโมงมันเหนื่อยมากขนาดไหน ดีที่เหล่าลูกชายให้นางเลิกลงแปลงนาตั้งแต่หลานชายคนที่ 5 หย่านม นางจึงรับหน้าที่ดูแลบ้านกับหลานชายมาตลอด หงอ้ายเมื่อคุยเรื่องที่คิดกับย่าฟางจบแล้ว ก็กลับเข้าห้องไปนอนกลางวันกับน้องชายทั้ง 2 คน ที่ตอนนี้เธอมีหน้าที่ช่วยย่าฟางดูแล ซึ่งตอนนี้น้องชายทั้งสองคนก็นอนกางแขนกางขาเปิดพุงกลมๆ เป็นที่น่าเอ็นดูและน่ามันเขี้ยวไปพร้อมกัน *******
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม