กินข้าวเสร็จทั้งสามก็เข้ามาในบ้าน ท้องฟ้ามืดสนิทอยู่ข้างนอกน่ากลัวเกินไป เมื่อครู่นี้หลังจากเยว่ซินอาบน้ำเสร็จก็เดินออกไปด้านนอกเพราะภรรยาเสินเกอนำชุดมาให้นางสามชุดพร้อมสบู่ซักผ้าและผงขัดฟัน
อีกฝ่ายบอกแก่นางว่าล้วนเป็นสมุนไพรที่หาจากป่ามาทำเองไม่ได้ซื้อ ร่ำลากันเสร็จนางก็เข้าบ้านมา รอบบ้านไม่มีไฟเลยเพราะซื้อเทียนต้องใช้เงินเยอะ
แต่นางเองก็อยู่ห้องมืด ๆ ไม่ได้เช่นกัน ลงกลอนประตูบ้านให้สนิทแล้วนางก็ตัดสินใจเข้าไปหยิบผ้าห่มในห้องนอนออกมาเคาะห้องบุตรชาย ไม่นานก็มีคนมาเปิดนั่นคือบุตรชายคนโตของนาง
“แม่ขอนอนด้วยได้หรือไม่”
“ได้แน่นอนขอรับท่านแม่ ประเดี๋ยวข้าจะขยับไปนอนอีกฝั่งเอง” มู่เฉินพยายามปิดกลั้นรอยยิ้มดีใจเอาไว้ หลีกทางให้มารดาเข้ามาในห้องนอนของเขาและอาถง น้องชายพอรู้ว่าท่านแม่มานอนด้วยก็กระโดดโลดเต้นดีใจใหญ่ ช่วยพี่ชายย้ายที่นอนขยับออกมาเล็กน้อยเพราะเขาโตแล้ว
เยว่ซินมองภาพตรงหน้าอย่างโล่งใจ นางกลัวว่าเด็ก ๆ จะไม่ยอมเพราะตนเองเป็นบุรุษ ค่านิยมสมัยนี้ค่อนข้างแยกชายหญิงชัดเจนแม้จะเป็นแม่ลูกกันก็ตาม แต่นางก็นอนคนเดียวไม่ได้บุตรชายให้นอนด้วยนับว่าดียิ่งนัก
เพราะห้องมันมืดเกินไปนางจึงไม่ชิน เห็นเช่นนี้เยว่ซินก็กลัวผอผึ้งสระอีอยู่มาก หากมีเพื่อนอยู่จะไม่กลัว แต่ถ้าอยู่คนเดียวเหมือนสมองมันชอบคิดเรื่องนั้นเองไม่รู้ทำไม
และอีกอย่างนางกลัวสิ่งที่มันปิดไม่มิด ตู้เปิดแง้มไว้ เปิดประตูหน้าต่างไว้ ผ้าม่านปิดไม่สนิทมองออกไปด้านนอกได้ นางกลัวว่าจะมีสิ่งใดจ้องมองนางอยู่
เทียนจุดให้แสงสว่างก็ไม่มี ทำได้เพียงเปิดหน้าต่าง ใช่ เปิดหน้าต่างเห็นออกไปด้านนอกคือเหตุผลที่นางหอบผ้าห่มมานอนกับบุตรชาย ด้านนอกดูวังเวงกว่าในบ้านอีก กลัวมีสิ่งใดโผล่เข้ามาจากหน้าต่าง
ระหว่างนี้สองพี่น้องก็มาแย่งที่นอนจากมือท่านแม่ไปปูให้เรียบร้อยแล้วด้วยความกระตือรือร้นกลัวท่านแม่เปลี่ยนใจ ทั้งยังนำผ้าในตู้มาปูเพิ่มแบ่งที่นอนกันอย่างกระตือรือร้น โดยให้น้องชายคนเล็กนอนคั่นกลาง มู่เฉินนอนติดผนัง มารดานอนอีกฝั่ง
“ขอบคุณพวกเจ้ามาก นอนเถิด พรุ่งนี้เราจะไปหาของกินกัน”
เยว่ซินห่มผ้าให้เด็ก ๆ ทำหน้าที่มารดามอบความอบอุ่นในใจเล็ก ๆ เช่นที่ป๊าม้าเคยทำให้นางหรือแม้แต่นางเคยทำให้น้องสาว สิ่งที่ทำไม่ถึงกับเหนื่อยเสียด้วยซ้ำแต่เด็ก ๆ จะมีความสุขอย่างแน่นอน นั่นคือความอบอุ่นที่พวกเขาต้องการไม่ว่าใครก็ตาม
ห่มผ้าเสร็จก็ลูบผมพวกเขาที่นอนยิ้มแป้นอยู่จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนข้างลูกชายคนเล็กที่นอนพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดแม้พี่ชายจะบอกว่าให้ท่านแม่พักผ่อนก็ตาม สุดท้ายก็คุยกันอยู่นานโดยมีลูกคนโตคอยเตือนว่าดึกแล้วอยู่หลายครั้ง
ราตรีนี้ช่างดียิ่งนัก
กว่าหนึ่งชั่วยามภายในห้องก็เงียบเสียงลงเมื่อเจ้าของเสียงเจื้อยแจ้วหมดฤทธิ์ไปเสียแล้ว อาถงนอนเล่าเรื่องราวมากมายให้มารดาฟัง สองแม่ลูกพูดคุยกันพร้อมเสียงหัวเราะยามที่เด็กน้อยเล่าเหตุการณ์ตลกขบขันตอนเล่นกับสหาย
บางครั้งบางครามารดาก็ชะโงกหน้าขึ้นมาถามบุตรชายคนโต แต่มู่เฉินไม่ค่อยมีเรื่องเล่านัก ส่วนมากจึงนอนฟังทั้งสองพูดคุยกันมากกว่า ตอนนี้คงหลับไปแล้วกระมัง มู่เฉินหันมองน้องชายที่กอดแขนท่านแม่หลับไปด้วยรอยยิ้ม ส่วนเท้ายังยื่นมาแตะขาเขาเช่นเดิม
อาถงต้องได้เอาเท้าแตะพี่ชายจึงจะนอนหลับแม้วันนี้จะมีมารดาให้กอดก็ตาม ท่านแม่ก็เหมือนจะหลับไปแล้ว มีเพียงเขาที่ยังนอนไม่หลับ ยิ่งยามดึกเงียบสงัด ในหัวช่างคิดสิ่งใดเพลิดเพลินดีเสียจริง เพลิดเพลินจนเผลอไผลคิดว่าหากตื่นมาแล้วมารดาหายไปจะทำเช่นไร
“นอนไม่หลับหรือ” เสียงหนึ่งดังขึ้นแทรกความคิดเรื่อยเปื่อยของเขา เป็นเสียงของมารดาที่ยังไม่นอน ความจริงเยว่ซินหลับไปแล้วครู่หนึ่ง ตื่นมาเพราะบุตรชายขยับพลิกตัวไปมา นางเป็นประธานบริษัทก็จริงแต่เคยไปเดินป่าบ่อย ๆ เวลามีเสียงกุกกักรอบตัวจึงมักจะตื่นขึ้นมากลัวจะเป็นสัตว์ใหญ่
มู่เฉินหันมองใบหน้างดงามของมารดาก่อนหลุบตาลง นึกโกรธตนเองที่กังวลกับเรื่องที่ไม่ควรกังวล ท่านแม่อยู่ตรงนี้แล้วจะหายไปได้อย่างไรกัน ทั้งยังทำให้นางตื่นอีกรู้ทั้งรู้ว่าท่านแม่ต้องพักผ่อน
“ข้าเพียงกลัวท่านจะหายไป ขออภัยขอรับที่ทำให้ท่านแม่ตื่น” มู่เฉินตัดสินใจบอกความกังวลใจให้มารดาฟังอย่างไม่ปิดบัง
เยว่ซินยกยิ้มเอื้อมมือไปลูบผมบุตรชายอีกครั้ง อย่าว่าแต่เด็กน้อยเลยที่ตั้งตัวไม่ทัน เมื่อวานนี้นางยังขับรถกลับบ้านและพึ่งคุยโทรศัพท์กับมารดาอยู่เลย ท้องร้องอยากกินหมูจุ่มที่มีเยว่เล่อแย่งกินตลอดตั้งแต่เด็กจนถึงวันสุดท้าย
วันนี้ทุกคนกลับหายวับไปในพริบตาเดียว นางมาอยู่อีกโลกเริ่มชีวิตใหม่กับบุตรชายสองคน เหมือนเกิดใหม่อย่างไรไม่รู้ ทุกอย่างที่ผ่านมาเหมือนเป็นเพียงฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น
“นอนเถิด แม่อยู่นี่แล้ว”
“ขอรับ” เสียงทุ้มตอบกลับมารดาด้วยรอยยิ้ม ความอบอุ่นจากสัมผัสมารดายังคงอยู่ มู่เฉินพลิกตัวจับชายเสื้อน้องชายเอาไว้ด้วยความเคยชิน ก่อนสองแม่ลูกจะค่อย ๆ ถูกความง่วงงุนดึงเข้าสู่ห่วงนิทราในที่สุด หลับใหลพักผ่อนเพื่อตื่นขึ้นในวันใหม่ พรุ่งนี้ชีวิตของเราทั้งสามคนจะเปลี่ยนไปจากเมื่อวานนี้อย่างแน่นอน
ดวงจันทร์หายลับไปจากท้องฟ้าพร้อมกับแสงของวันใหม่ส่องสว่างไปทั่วผืนดิน หลังเหมันต์ฤดูช่างเย็นสบายกว่าปกติ ร่างบางตื่นขึ้นเพราะความเคยชิน บ้านกับบริษัทไกลกันนักจึงต้องตื่นเช้าฝ่ารถติดไปทำงานจนชินเพราะไม่อยากไปอยู่คอนโด กลับไปกินข้าวฝีมือหม่าม้าอร่อยกว่าเป็นไหน ๆ
วันนี้แม้จะมีชีวิตใหม่แล้วแต่ก็ตื่นเวลาเดิมกระมังนางไม่มีนาฬิกาดู นอนมองดูรอบ ๆ อีกครั้งเพื่อย้ำเตือนตนเองว่านี่คือชีวิตใหม่ที่ไม่ใช่เพียงฝันไป
ก่อนหลับก็อยู่ที่นี่ ลืมตาตื่นก็ยังอยู่ที่นี่เช่นกัน
ไม่นานก็ขยับลุกขึ้นนั่ง หันมองบุตรชายทั้งสองคนยังไม่ตื่น เยว่ซินนั่งหัวเราะอยู่นานกับภาพตรงหน้าเพราะอาถงขึ้นไปนอนบนตัวพี่ชายแล้ว
มือบางหยิบผ้าห่มของตนเองห่มเพิ่มให้พวกเขาอีกผืนก่อนลุกเข้าห้องน้ำไป ล้างหน้าขัดฟันเสร็จก็ออกมาที่ครัวไม่ลืมสำรวจร่างกายตัวเองอีกรอบเพื่อความแน่ใจ
ร่างกายไม่เจ็บแล้ว เหมือนคนปกติมิใช่พึ่งตกหน้าผามาเมื่อวานนี้ ยังดีที่มีท่านเทพอยู่ หากมีสิ่งน่าสงสัยหรือมีคนถามนางก็จะยกนามของตาเฒ่านั่นมาอ้างได้ คนที่นี่เชื่อเรื่องทวยเทพผีสางย่อมไม่มีทางเคลือบแคลงใจกับเหตุผลของนางอย่างแน่นอน
ก่อนร่างบางจะเดินไปถึงครัวย่อมต้องผ่านโถง เมื่อวานนี้ไม่ได้มองดูอย่างจริงจังเลย เดินไปเปิดหน้าต่างก็สะดุดเข้ากับผ้าม่านเก่าและขาด เครื่องเรือนก็เริ่มเก่าแล้วเพราะเป็นไม้ ทั้งฝุ่นเองก็ยังมีอยู่ หากกลับจากหาอาหารนางถึงจะมาจัดการบ้านอีกรอบ
สำรวจคร่าว ๆ จนพอใจก็เดินเข้ามาในครัวเพื่อจะได้ทำอาหารเช้า นี่คืออาหารมื้อที่สองที่นางจะทำให้บุตรชายกิน ก่อนอื่นต้องก่อไฟ คราแรกคิดว่าจะเข้าไปปลุกมู่เฉินออกมาก่อไฟให้เพราะนางทำไม่เป็น แต่ลืมไปได้อย่างไรว่าเรามีดวงจิตของเยว่ซินอีกเสี้ยวอยู่
“ลองดูก่อนเถิด” คิดได้เช่นนั้นจึงลองก่อไฟเองดู พบว่านางทำได้จริงๆ ด้วย เช่นนั้นก็คงปักผ้าเป็นกระมัง เรื่องนี้เอาไว้ก่อน ทำอาหารก่อน วันนี้ต้องไปสำรวจที่ดิน แม่น้ำและป่าเพื่อหาอาหารและช่องทางการหาเงิน
หุงข้าวเอาไว้จึงทำอาหารด้วย อาหารย่อมไม่พ้นการใช้ไข่ คงไข่ตุ๋นกระมัง มีแต่ไข่นี่ กับเนื้อตากแห้ง คาดหวังว่าขึ้นเขาวันนี้ขอให้นางเจออาหารอย่างอื่นบ้าง ไข่ไก่นางทำเป็นเพียงต้ม ทอด คั่วไข่และตุ๋นไข่ หยุดคิดเรื่อยเปื่อยเสร็จจึงตีไข่สองฟองใส่ถ้วย ใส่เกลือและน้ำลงไป จากนั้นก็นำไปวางไว้ข้างถ้วยข้าวเสียเลย ง่ายดี
เวลาก็นำไปทำอย่างอื่นต่อ เช่นสำรวจห้องครัวหรืออุปกรณ์เพิ่ม มีมีดหลายอัน และอุปกรณ์ล่าสัตว์ขึ้นสนิมวางพิงผนังรวมกันอยู่มุมครัว มีหอกแต่ละขนาด ทั้งยาวและสั้น คงเป็นของผู้เป็นสามีนามว่าห่าวอู๋กระมัง คิดถึงตรงนี้เยว่ซินก็คิดถึงอุปกรณ์ของตัวนางเอง ในห้องยังไม่สำรวจดู อาจจะมีของจำพวกเข็ม ด้ายอยู่กระมัง อย่างน้อยนางจะได้นำมาปะชุนเสื้อผ้าให้มู่เฉินกับหยู่ถงก็ยังดี
กว่าสองเค่อหลังจากวางถ้วยไข่ตุ๋นลงไปนางจึงเปิดดู สุกแล้วจึงยกออกมาพร้อมกับข้าวที่สุกแล้วเช่นกัน
“ท่านแม่” มู่เฉินเดินเข้ามาในครัวเรียกมารดาเบา ๆ เขาตื่นมาแล้วไม่เจอนางจึงตกใจ เดินหาจนทั่วบ้านก่อนจะมาเจอที่ครัวอีกเช่นเมื่อวาน
“ตื่นแล้วหรือ แม่ทำไข่ตุ๋นและหุงข้าวเสร็จพอดี”
อาเฉินมองไข่ตุ๋นกลิ่นหอมที่มารดาพูดด้วยความสนอกสนใจ เขาคิดว่าตนเองตื่นเช้าแล้วแต่นางกลับตื่นเช้ากว่าเขาเสียอีก
“เช่นนั้นข้าไปปลุกอาถงนะขอรับ”
“ไปเถิด น่าจะสายมากแล้ว” สองแม่ลูกแบ่งหน้าที่กันอีกครั้ง อาเฉินไปปลุกน้องชาย ส่วนนางกำลังนำชุดของนางเองที่อยู่ในหีบ ของบุตรชายทั้งสองคนใส่ตะกร้ามาซักเอาไว้ มีสบู่ก้อนใหญ่จึงไม่กังวลเรื่องกลิ่นอับ
บ้านท่านปู่ท่งใจดีจริง ๆ สบู่หากไปซื้อในเมืองย่อมราคาแพงแน่ ๆ แต่อีกฝ่ายกลับทำมาให้เด็ก ๆ ใช้ไม่คิดเงินสักอีแปะตลอดสองปีที่ผ่านมา เป็นสบู่สมุนไพรทำเอง มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสมุนไพร แต่ถ้าเป็นสบู่ขายตามร้านจะเป็นดอกไม้เสียส่วนใหญ่ แต่อย่างไรสบู่ซักผ้าสมุนไพรก็มีราคาอยู่ดี ร่างบางจดจำบุญคุณเอาไว้ในใจ หากวันใดมั่งมีได้เป็นเศรษฐีจะตอบแทนทุกคนอย่างงาม
คิดไปก็นั่งซักผ้าไป ใช้เวลาไม่นานก็ล้างน้ำบิดตากเพราะไม่มีฟองเยอะเช่นโลกก่อน กลับเข้ามาก็เห็นอาถงนั่งรออยู่บนแคร่แล้วพร้อมกับพี่ชายที่กำลังยกอาหารมาวางรอนาง
ยามเช้าก่อนออกจากบ้านจึงเป็นเช่นนี้ สามแม่ลูกนั่งกินอาหารเช้าด้วยกัน พูดคุยกันว่าจะทำสิ่งใดก่อน บรรยากาศอบอวลไปด้วยความสุขและเสียงหัวเราะบางช่วง
กินข้าวเสร็จมู่เฉินก็พามารดาเดินดูที่นาของเรา คราแรกจะเข้าป่าแต่เขากับอาถงยังไม่อยากให้ท่านแม่ไป แผลบนตัวนางยังไม่หายดีเลยจะเข้าป่าได้เช่นไร
ตอนนี้จึงพาท่านแม่มาดูสมบัติของตระกูลที่มีอยู่ ที่นาติดเขาเป็นที่นารกร้าง ทั้งสามมีผ้าผืนหนึ่งคลุมศีรษะเอาไว้เป็นฝีมือของมารดา อาถงตัวน้อยนั้นท่านแม่ผูกปลายผ้าใต้คางให้ด้วยจะได้ไม่หลุด
ส่วนมู่เฉินนั้นโตแล้วผ้าผืนเล็กจึงผูกไม่ได้ แต่มือก็จับมันไว้ตลอดกลัวผ้าท่านแม่จะตกลงพื้นเปื้อนเอา
เยว่ซินเดินตามบุตรชายมองดูสมบัติอันน้อยนิดเงียบ ๆ หนึ่งหมู่เท่ากับหกร้อยกว่าตารางเมตรเท่านั้นเองไม่ถึงหนึ่งไร่โลกก่อนเสียด้วยซ้ำ มือก็จับจูงอาถงเดินตามมาเงียบๆ ต้นหญ้าสูงเพียงนี้ ดูเหมือนดินจะไม่ดีด้วยกระมังจากที่นางมองดูผิวเผิน
“ท่านลุงท่านป้าเคยมาช่วยข้าถางหญ้าและทำนาปีหนึ่งขอรับ แต่เหมือนข้าวไม่เกิดเลยข้าจึงเลือกไปช่วยชาวบ้านเพื่อแลกข้าวจะดีกว่า ท่านลุงก็เอาเวลานี้ไปล่าสัตว์ข้าก็พลอยได้มากินบ้างขอรับ” มู่เฉินอธิบายและเล่าเรื่องราวให้มารดาฟังขณะเดินผ่านที่นาของตนเอง เยว่ซินพยักหน้า ไม่ต่างจากที่คิดเอาไว้เท่าไหร่นัก
“ดีแล้ว ดินไม่ดีอาจจะเหนื่อยเสียเปล่าไม่ได้สิ่งใดกลับคืน” เสียงหวานเอ่ยบอกอย่างเข้าใจ มู่เฉินจึงมีสีหน้าดีขึ้นกลัวท่านแม่จะเสียดายที่เขาปล่อยมันไว้เช่นนี้ตั้งหนึ่งปี
เดินผ่านที่นามาก็ถึงแม่น้ำ เป็นแม่น้ำสายหนึ่งไหลมาจากอีกหมู่บ้าน อยู่ท้ายที่นา เยว่ซินคิดว่าหากเราสามารถทำทางน้ำจากภูเขามาตัดกลางระหว่างหลังบ้านกับที่นาได้คงจะดีไม่น้อย เพราะไม่ใช่เพียงอาเฉินที่เดินไกล ทุกคนก็เดินไกลเช่นกัน ทั้งเรื่องเชื้อโรคด้วย
สามแม่ลูกยืนมองแม่น้ำอยู่เช่นนั้น อาถงตัวน้อยจับมือมารดาและพี่ใหญ่เงียบ ๆ เพราะเขาไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด ตรงหน้าเป็นแม่น้ำไม่มีสิ่งใดเลย ปลาสักตัวก็ไม่เห็น เยว่ซินมองดูแล้วน้ำลึก นางมองไม่เห็นตัวปลาเลยเช่นบุตรชาย
“ท่านแม่จะจับปลาจริง ๆ หรือขอรับ” ในที่สุดหยู่ถงก็เอ่ยถามมารดา น้ำเยอะเพียงนี้ท่านแม่จะไม่เกิดอันตรายอีกหรือ เยว่ซินก้มหน้ามองบุตรชายก่อนจะส่ายหน้าไปมา
“น้ำลึกเกินไป เราต้องมีที่ตกปลาเสียก่อน แม่ไม่ได้จะลงไปในน้ำให้เป็นอันตราย อาถงอาเฉินจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ดีหรือไม่”
“ย่อมดีขอรับ” มู่เฉินรีบตอบมารดาก่อนกลัวอาถงจะเอ่ยตอบสิ่งที่ไม่ควรตอบออกไปเพราะความไม่รู้ ยิ่งทำให้มารดามองพวกเราทั้งสองคนด้วยสายตารักใคร่เอ็นดูมากขึ้น
“เช่นนั้นพวกเรากลับก่อนเถิด”
“ขอรับ” สุดท้ายสามแม่ลูกจึงเดินกลับมาเรือนเสียก่อนโดยไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือมาเลย อาเฉินย่อมดีใจที่ท่านแม่ไม่สนใจแม่น้ำอีก นางเคยบอกว่ารถม้าตกแม่น้ำ เขาจึงกลัวนางจะตกน้ำอีกครั้ง
“แม่รู้แล้วว่าเราควรทำสิ่งใดก่อนเป็นอย่างแรก” เดินกลับมาถึงเรือนเยว่ซินก็นึกออกแล้วว่าวันนี้พวกเราสามคนควรทำสิ่งใดก่อนดี
“สิ่งใดหรือขอรับ” ทั้งสองคนเอ่ยถามด้วยความกระตือรือร้น ท่านแม่กลับมาเพียงวันเดียวก็รู้แล้วว่าพวกเราจะทำสิ่งใดดีจึงจะมีอาหารกิน พวกเขายย่อมเตรียมพร้อม ทว่านางกลับชี้ไปที่ต้นหญ้าเต็มลานบ้าน
“แม่ว่าเราควรถางหญ้าก่อนลูกรัก แม่กลัวงู”
มู่เฉินและหยู่ถง “.....”