บทที่ 5 กลับบ้านของเรา

1984 คำ
ประตูไม้เก่า ๆ ถูกเปิดออกกว้างให้รถเข็นเข้ามาได้ สะใภ้ใหญ่เดินไปเปิดประตูช่วยอาเฉินหลังจากเข็นรถพาคนเจ็บมาถึงบ้านแล้ว เยว่ซินนั่งอยู่บนรถเข็นกับบุตรชายมีโอกาสมองสำรวจบ้านเรือนกับตาตนเองจริง ๆ เสียที บ้านขนาดพอดีแต่ตอนนี้เหมือนจะเก่าและมีฝุ่นเกาะผนังแล้ว พื้นที่รอบบ้านกว้างขวางแต่ตอนนี้เต็มไปด้วยหญ้าสูงกว่ารถเข็นที่นางนั่งอยู่อีกกระมัง บ้านไม่มีกำแพงด้านหลัง มองไกลออกไปเป็นภูเขาลูกใหญ่หลายลูก ตรงออกไปจากบ้านเป็นที่นาว่างเปล่า รวมกับอากาศดี ๆ แล้วหากมีเงินทองไม่ขัดสนคงใช้ชีวิตแบบนี้ไปวัน ๆ ได้อย่างสุขใจนัก แต่ติดที่ตอนนี้พวกเราไม่มี นางถูกพยุงลงจากรถเข็นไปนั่งในบ้าน ด้านนอกเหมือนจะเป็นโถงโล่งที่ต่อไม้ออกมากระมังนางมองไม่ชัดนัก คนเจ็บถูกพาเข้ามานอนบนพื้นปูห้องโถงโล่ง ๆ ที่พึ่งมองไปเมื่อครู่นี้เพราะน่าจะอากาศเย็นกว่าในห้องนอน มู่เฉินเขินอายที่บ้านรกฝุ่นเยอะแต่ประเดี๋ยวค่อยทำความสะอาด ที่โถงนั้นทำความสะอาดพื้นอยู่ตลอดเพราะเขากับน้องชายชอบออกมาอยู่ด้านนอก ตอนนี้รีบนำผ้ามาปูรองให้ท่านแม่เสียก่อนโดยมีอาถงถือหมอนใบหนึ่งวิ่งตามหลังมา คนเจ็บจึงได้เวลานอนลงไปอีกครั้งเสียที อ้ายเสินเดินกลับไปหยิบกระบุงตามหลังมา ยังดีที่วันนี้เขาและน้องชายไม่ได้ไปล่าสัตว์ นัดหมายกับท่านลุงบ้านอื่นว่าจะออกไปล่าสัตว์ต่างหมู่บ้านแต่เพราะเกิดลางไม่ดีจึงยกเลิกและพาภรรยาขึ้นเขาหาของป่าท้ายหมู่บ้านแทน หากพวกเขาไปสตรีก็คงไม่ขึ้นเขาเช่นกันเพราะสามีไปที่อื่นแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นไม่รู้จะมีใครช่วยนางได้ทันเหมือนวันนี้หรือไม่ ตาคมมองหลานชายที่กำลังรุมล้อมมารดาอยู่ด้วยความรู้สึกดีในอก แม้แต่เอาเองก็อยากร้องไห้ เขานับเป็นพี่ชายอีกคนของห่าวอู๋สามีของนางเพราะบ้านผิงมีบุตรชายคนเดียว ภายหลังอยู่กับบิดาที่เป็นสหายท่านพ่อ พวกเราจึงสนิทกันไปล่าสัตว์บนเขาเป็นประจำ กระทั่งแต่งภรรยามาจางลี่ก็ยังสนิทสนมกับเยว่ซินจนเหมือนมารดาผู้หนึ่ง มู่เฉินออกมาวิ่งเล่นจึงเรียกพวกเราท่านลุงท่านป้าเสียงใส น้องชายและน้องสะใภ้เองก็เรียกลุงป้าเช่นกันแม้จะอายุน้อยกว่าบิดาเจ้าตัว เขาว่ากันว่าคนกำลังจะแก่ชอบรำลึกความหลัง อ้ายเสินส่ายหัวขบขันตนเอง ถือกระบุงของกินวางไว้ในครัวให้อาเฉินมาจัดการพร้อมกับอาหารที่ภรรยาและน้องสะใภ้แบ่งมาให้ ตอนนี้พวกเราเองก็ต้องกลับแล้วเพราะยังไม่ได้กินมื้อเช้าเช่นกัน เยว่ซินนอนลงไปตามที่เด็ก ๆ ต้องการ นอนฟังพี่สาวจางลี่ย้ำเตือนนางเรื่องการดูแลบาดแผลและการกินยาให้ตรงเวลาโดยมีอาเฉินนั่งฟังด้วยอย่างตั้งใจเช่นกันจะได้ดูแลท่านแม่ได้ถูก แม้จะเป็นบาดแผลถลอกตามแขนขาก็ต้องทายา “ขอบคุณเสินเกอและเจียเจี่ยนะเจ้าคะ” “ข้ายินดี ๆ ประเดี๋ยวเย็นนี้จะนำชุดมาให้เจ้า เผื่อจะใส่ชุดเดิมไม่ได้แล้ว กินข้าวพักผ่อนเล่า” จางลี่เอ่ยบอกนาง เพราะยังไม่มีเวลาไปค้นดูชุดจึงไม่ได้นำมาด้วย มองอาซินแล้วเหมือนจะสูงขึ้นเล็กน้อยคงใส่ชุดนางได้ “ขอบคุณพี่สาวเจ้าค่ะ” “ดูแลมารดาดี ๆ เล่า ลุงกับป้ากลับก่อน” ผู้เป็นสามีเอ่ยเสริมภรรยาด้วยรอยยิ้ม อาถงยังยิ้มอวดฟันไม่ยอมหุบตั้งแต่นั่งบนรถเข็น น่ารักน่าชังยิ่งนักเด็กสองคนนี้ พูดคุยกันเสร็จทั้งสองก็กลับ ให้สามแม่ลูกได้อยู่ด้วยกันเสียที มู่เฉินเดินไปส่งท่านลุงท่านป้าและปิดประตู ก่อนวิ่งกลับมาหามารดาที่ลานหลังบ้านก็เห็นอาถงหอบผ้าห่มมาอีกผืนแล้ว มีน้องชายดูแลนับว่าดี เขาต้องจัดเก็บข้าวของและเทอาหารที่ท่านป้าห่อให้ใส่ถ้วยกลัวท่านแม่จะเจ็บปวดไม่มีผู้ใดดูแล ตอนนี้สายแล้วแม้แต่เขาเองก็ท้องร้องเสียหลายครั้ง “ท่านแม่หากเจ็บปวดตะโกนเรียกข้านะขอรับ ข้าจะไปเทอาหารใส่ถ้วยและต้มยา” “ได้ๆ แม่จะเรียกเจ้า” เยว่ซินนั่งพิงผนังบ้านยิ้มให้บุตรชายคนโต ก่อนทั้งสองจะหันมองอาถงที่นั่งชี้นิ้วเข้าหาตนเองอยู่เช่นนั้น อาถงพยายามให้ท่านแม่และพี่ใหญ่เห็นว่าเขาสามารถทำหน้าที่นี้ได้ ปกติพี่ใหญ่ให้เขาเฝ้าของในบ้านบ่อยครั้งเขาย่อมชำนาญการเฝ้าของและเฝ้าคนยิ่งนัก “ข้าขอรับ ข้าดูแลท่านแม่เอง” “ได้ ดูแลท่านแม่ดี ๆ” เด็กหนุ่มหัวเราะเบา ๆ ในลำคอสั่งงานน้องชายตามที่เจ้าตัวต้องการ อาถงช่างเป็นเด็กดีเสียจริง “ขอรับพี่ใหญ่” เมื่อพูดคุยกันเข้าใจก็แยกย้ายทำหน้าที่ที่ได้รับ อาถงนั่งเฝ้ามารดา อาเฉินเข้าครัว จัดเก็บอาหารและต้มยาเอาไว้ จากนั้นจึงจะเทอาหารออกมากินร่วมกับทุกคน เด็กชายวัยสิบหนาวเดินเข้ามาในครัวด้วยความสุข หยิบของในกระบุงเก็บไว้ในตู้ไม้เก่า ๆ มีไข่สิบฟอง ข้าวขาวครึ่งกระบุง เนื้อตากแห้งสามกำนำใส่ถ้วย ผักดองในถ้วยเล็ก ๆ ทั้งหมดนี้กินสามคนได้หลายวันอย่างแน่นอน หรือหากไม่พอเขาไปหาฟืนขายให้ท่านลุงก็อาจจะได้ไข่มาอีกหลายฟอง เก็บกระบุงไว้ที่เดิมก็มานั่งก่อไฟ ใช้เวลาไม่นานหม้อใบเล็กใส่น้ำก็ถูกนำไปตั้งเตา อีกนานกระมัง เวลานี้เขาจึงนำอาหารมาเทใส่ถ้วย กินข้าวเสร็จน้ำคงเดือดพอต้มยาให้มารดากิน ส่วนผู้เป็นมารดานั้นได้แต่นอนนิ่ง ๆ อย่างที่เด็ก ๆ บอกไม่ดื้อดึงทำให้คนอื่นเป็นห่วงได้ นั่งพิงผนังเหม่อมองออกไปด้านนอกรอกินมื้อเช้าที่บุตรชายคนโตกำลังเตรียมอยู่ มองผ่านต้นหญ้าสูงไกลออกไปยังที่นาสิบหมู่ที่พวกเรามี นี่คือสมบัติที่ครอบครัวเรามี ตอนนี้นางมีชีวิตใหม่กับเด็ก ๆ แล้ว เงินทองมากมายที่หามาได้ สมบัติมากมายที่มีอยู่นั้นทิ้งไว้ให้คนที่เหลืออยู่อีกโลกเถิด เยว่ซินเคยคิดว่าอยากเกษียณตนเองซื้อบ้านและมีบุตรชายสักสองคน ตอนนี้เหมือนท่านเทพจะมอบให้แล้วกระมัง หากบอกว่าทำความดีแล้วจะได้กลับไป ลองมองรอบกายนางตอนนี้สิ ที่นั่งอยู่เป็นบ้านหลังเก่า เบื้องหน้าคือที่ดินว่างเปล่า ข้างกายมีเด็กน้อยหนึ่งคน และในครัวอีกหนึ่งคน หากนางดูแลพวกเขาจนความดีเพียงพอจะกลับไปแล้วอย่างไร หมาแมวเลี้ยงมาไม่ถึงปีเกิดตกตายนางยังร้องไห้เป็นอาทิตย์ นี่เป็นถึงเด็กสองคน เลี้ยงแล้วย่อมผูกพันจะแยกจากกันได้ง่ายเพียงนั้นหรือ คราแรกไม่คิดว่าจะได้มาเลี้ยงเด็ก ทำความดีของนางนั้นคิดเพียงว่าอาจจะเป็นการช่วยเหลือผู้อื่น เดินทางรอนแรมเป็นนักบุญมิใช่เช่นนี้ หากเป็นอย่างนั้นนางย่อมไม่ผูกพันกับผู้ใดและรอคอยวันได้กลับคืนครอบครัวเดิม ตอนแรกจึงตกปากรับคำท่านผู้เฒ่าไปเช่นนั้น ตอนนี้สิ่งที่ต้องสนใจจึงเป็นเรื่องปากท้องของพวกเราทั้งสามคน มีลูกแล้วแต่เงินไม่ตามมาด้วย อย่าคิดไปถึงเรื่องมิติเลย ส่งนางมาดี ๆ ยังทำไม่เป็นเยว่ซินก็ไม่คิดว่าตาเฒ่านั่นจะทำเช่นคนอื่นเขาได้ คงต้องใช้สมองหาเงินมาดูแลพวกเขาเองกระมัง ว่าแต่จะทำสิ่งใดดี นางจบบริหารธุรกิจมา จะให้มานั่งปักผ้าหรือขึ้นเขาไปหาสมุนไพรคงยากนักหากไม่ซื้อตำรามาอ่านเพิ่ม เยว่ซินอีกคนก็ไม่รู้จักอีกเช่นกันเพราะเป็นคุณหนูจากเมืองหลวง แต่ปักผ้าคงทำเป็นกระมัง หากอยากเปิดกิจการก็ต้องมีเงินก่อน แต่ก่อนมีเงินต้องมีอาหารเสียก่อนอยู่ดี เอาเถิด อย่างน้อยอาหารที่ชาวบ้านให้มาก็พออยู่ได้หลายวัน นางคงหายพอดีกระมัง “อาถง หิวหรือยังลูก” คิดทุกอย่างเรียบร้อยจึงหันมองบุตรชายที่นอนเฝ้าอยู่ข้าง ๆ ตอนนี้คงสายมากแล้วแม้แต่นางยังร็สึกหิว ดวงตะวันแทบจะอยู่กลางหัวแล้ว “หิวแล้วขอรับ” อาถงที่นั่งมองมารดาอยู่เอ่ยตอบตามความจริง เด็กสี่หนาวเต็มไปด้วยความใสซื่อบริสุทธิ์ รู้สึกเช่นไรก็เอ่ยออกมาเช่นนั้น สองแม่ลูกพูดคุยกันอีกหลายคำ ท่านแม่ถามวิ่งใดอาถงก็ตอบเสียงฉะฉานไม่มีการโกหก เยว่ซินถามเรื่องอาหารการกินเด็กน้อยก็ตอบพร้อมรอยยิ้มส่งมาให้ มีเพียงนางที่รู้สึกหดหู่กับเรื่องราวจากปากเด็กตัวเล็ก ๆ กินไข่ต้มทุกวันเลย วันไหนท่านลุงล่าสัตว์ได้จึงจะมีเนื้อกิน บางครั้งท่านป้าบ้านอื่นก็นำอาหารมาให้ ยังดีจริง ๆ ที่มีชาวบ้านดี ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงต้องอดตายเพราะหาอาหารเองไม่เป็น “มาแล้วขอรับ” เสียงมู่เฉินดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นหอมของอาหารลอยมาเข้าจมูกอาถง เด็กน้อยหิวไส้จะกิ่วรีบลุกขึ้นไปช่วยพี่ชายด้วยความกระตือรือร้น ในหัวมีแต่คำว่าอาหาร อาหาร อาหาร “ข้าถือช่วย” มู่เฉินปล่อยให้น้องชายช่วยเหลือ เดินกลับไปหยิบโต๊ะตั้งพื้นมาวางตรงหน้ามารดาพร้อมยกถ้วยอาหารขึ้นวางบนโต๊ะ อาหารมีสองอย่าง ท่านป้าทำไข่ผัดผักป่า และไก่ต้มมาให้ เขาแบ่งมากินก่อนสามชิ้นเหลือสองชิ้น อาถงวางถ้วยข้าวบนโต๊ะให้ท่านแม่เฝ้าเอาไว้จากนั้นก็เดินตามหลังพี่ชายกลับไปหยิบตะเกียบต่อ ร่างบางนั่งมองทั้งสองคนช่วยกันคนละไม้คนละมือแล้วภูมิใจในตัวพวกเขายิ่งนัก มู่เฉินนั้นได้รับการอบรมสั่งสอนจากบิดามารดาอย่างแน่นอน แต่อาถงนั้นย่อมได้รับการสั่งสอนจากพี่ชายและชาวบ้านคนอื่น ๆ คนละเล็กละน้อย แต่ย่อมเป็นมู่เฉินเสียเก้าส่วน เด็กสิบหนาวสั่งสอนน้องชายได้ดีเพียงนี้ก็คงต้องชื่นชมทั้งเจ้าตัวและบิดามารดาผู้สั่งสอนกระมัง พี่ใหญ่ของบ้านเดินไปตักน้ำเดินมาหาท่านแม่ก่อนจะนั่งลงให้นางล้างมือ เยว่ซินทำตามอย่างว่าง่าย มือมีรอยแผลดึงผ้าห่มอับ ๆ ออกจากตัวขยับไปล้างมือจะได้กินข้าว “ขอบคุณนะอาเฉิน” “ขอรับ” เด็กหนุ่มยิ้มกว้างเดินไปเทน้ำทิ้งแล้วค่อยกลับมาพยุงมารดาขยับมาที่โต๊ะแม้ว่านางจะบอกอยู่หลายรอบว่าไม่เจ็บมากแล้วก็ตาม มาแล้วววว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม