จัดแจงเสร็จแล้วก็เดินมานั่งข้าง ๆ ท่านแม่ เมื่อครู่นี้นางบอกพวกเขาว่าให้ไปล้างมือก่อนกินอาหารเช่นที่นางล้างพวกเขาย่อมทำตามทันทีไม่อิดออด เด็กหนุ่มจับตะเกียบมองมารดาไม่ละสายตา เห็นท่านแม่นั่งมองอาหารอยู่นานก็คิดว่านางอาจจะเจ็บแขนกินข้าวลำบาก
“ท่านแม่กินถนัดหรือไม่ขอรับ”
“แม่กินได้ แต่เจ้าช่วยตักอาหารให้แม่ได้หรือไม่” แม้นางจะเอื้อมถึงแต่เห็นใบหน้าบุตรชายแล้วจึงหางานให้อีกฝ่ายได้ช่วยเหลือสักหน่อย คงเพราะเคยชินกับการดูแลน้องชายกระมัง
อาเฉินยิ้มดีใจคีบอาหารใส่ถ้วยมารดาหลายชิ้น จากนั้นก็คีบให้น้องชายก่อนจะคีบให้ตนเองเป็นคนสุดท้าย
“กินให้มากนะขอรับ เจ้าด้วยอาถง”
“อื้อ ๆ” เด็กน้อยอมข้าวเต็มปากจึงพูดได้เพียงเสียงอู้อี้ โกยข้าวเข้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย พลอยให้พี่ชายและมารดาได้ยิ้มแย้มอีกครั้งอย่างนึกเอ็นดู กลายเป็นว่าอาเฉินทำหน้าที่ตักอาหารให้มารดาและน้องชายด้วยตลอดมื้ออาหาร
อาหารเช้ามื้อนี้อบอวลไปด้วยความสุขเสียจริง
หยู่ถงอิ่มจนท้องโตก็อารมณ์ดี ถือถ้วยจานเดินตามพี่ชายไปไม่ลืมหันมากำชับมารดาว่าให้นั่งรอกินยา เยว่ซินพยักหน้าเหมือนพอสั่งบุตรสาวเด็กน้อยจึงเดินถือจานออกไป
“หึ” ให้นางนั่งรอย่อยนางก็ทำ มองดูเด็ก ๆ เก็บถ้วยจานออกไปตรงนี้ก็เหลือเพียงนาง อาหารมื้อนี้อร่อยยิ่งนักเพราะเป็นฝีมือของสะใภ้บ้านอัน เช่นนั้นแล้วเด็ก ๆ จะได้กินอาหารอร่อยเช่นนี้ทุกวันหรือไม่นะ ช่างเถิด ช่างเถิด นางมาที่นี่แล้ว
ระหว่างที่ท่านแม่กำลังเค้นความรู้ออกมาเพื่อทำให้บ้านเรามีกินมีใช้ เด็กสองคนในครัวก็แบ่งแยกหน้าที่กันทำ มู่เฉินล้างถ้วยชามเสร็จก็วางไว้บนแคร่ให้อาถงช่วยเช็ด ส่วนเขาก็มาต้มยาต่อ
“พี่ใหญ่ ข้าจะช่วยกวาดบ้านนะขอรับ” อาถงเช็ดจานไปก็พูดจ้ออย่างอารมณ์ดี มองพี่ใหญ่กำลังเปิดห่อยาเทลงไปในน้ำร้อน ๆ กลิ่นยาขมลอยทั่วห้องครัวจนมือเล็กต้องวางจานลงดึงเสื้อมาปิดจมูก
“กลิ่นไม่น่ากินเลยพี่ใหญ่”
“เป็นยาก็ต้องขมสิ แต่หากเรามีเงินมากกว่านี้คงซื้อน้ำตาลก้อนให้ท่านแม่อมได้” ปากหยักพึมพำออกมาอย่างลืมตัว เงินที่หามาได้ก็ต้องซื้ออาหารให้น้องชายเพราะเด็กต้องกินข้าวเยอะ ๆ จะได้โต ไหนเลยจะมีเงินซื้อน้ำตาลก้อนมาให้ท่านแม่
“ข้าจะกินให้น้อยลงนะขอรับ” หยู่ถงได้ยินที่พี่ชายพูดแม้จะเบาเพียงใดก็ตาม เหมือนพี่ใหญ่เองก็พึ่งนึกได้ว่ามีเขาอยู่จึงรีบส่ายหน้า
“รอเจ้าโตกว่านี้เสียก่อน พี่ใหญ่หาเงินคนเดียวไม่ลำบาก”
“อื้อ ๆ” อาถงไม่เถียงต่อเพราะรู้ว่าเฉินเกอเป็นเด็กดื้อ ท่านลุงเสินเคยบอก เขาเป็นน้องชายคนเล็กจึงไม่เถียงต่อ หากมู่เฉินได้ยินความคิดนี้คงเขกหน้าผากเด็กนี่ไปหนึ่งทีแน่นอน
ยาได้ที่แล้วก็ยกมาเทใส่ถ้วย ใช้ตะเกียบคนก่อนเพื่อให้คลายร้อน เขาเองก็ถือไม่ได้หากร้อนเกินไป ส่วนอาถงเช็ดถ้วยชามเสร็จก็วิ่งออกไปหาท่านแม่แล้ว ได้ยินเสียงแว่วมาว่ายาขมมาก ท่านแม่ยาขมมาก
“เจ้าเด็กนี่” ปากบ่นแต่ใบหน้ากลับมีรอยยิ้ม เขาเพียงขบขันเด็กนี่ก็เท่านั้น มือวางตะเกียบลงเมื่อยาหายร้อนไปพอสมควรแล้ว ก่อนจะถือออกจากห้องครัวไปหาท่านแม่ที่นั่งฟังอาถงพูดเรื่อยเปื่อยให้ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
กินข้าวเสร็จเยว่ซินก็ต้องกินยา นั่งฟังบุตรชายคนเล็กอย่างหยู่ถงเล่าเรื่องใดนางก็ไม่อาจทราบ คราแรกเล่าเรื่องยาขม ต่อมาเล่าเรื่องพี่ชายหลี่เฉียงหลานท่านปู่กินยาขม
จากนั้นก็เล่าไปถึงตามพี่ใหญ่ไปเก็บสมุนไพรมาขายให้ท่านตาทำยาขม พอเจ้าใหญ่ถือยาออกมาเด็กน้อยจึงหยุดพูดไปด้วยใบหน้างอง้ำที่ถูกขัดจังหวะ
เยว่ซินมองยาที่วางอยู่ตรงหน้ารอให้หายร้อนมากกว่านี้ ย่อมเป็นฝีมือของอาเฉินเช่นเดิม เด็กสิบหนาวทำเสียทุกอย่าง แต่ตอนนี้นางทำสิ่งใดไม่ได้มาก
คงต้องรอให้แผลหายดีจึงจะยึดอำนาจบุตรชายกลับมาเป็นหัวหน้าครอบครัวได้ มู่เฉินคือเด็กก็สมควรได้เล่นกับสหายบ้าง คิดไปก็หยิบถ้วยยามากรอกรวดเดียวเข้าปากเหมือนกินเหล้าแก้วหนึ่ง
“ท่านควรนอนพักผ่อนนะขอรับ” เด็กหนุ่มรับถ้วยยาขมมาถือไว้หลังจากมารดาดื่มมันจนหมดแล้ว ท่านแม่ดื่มยารวดเดียวจนหมดโดยมีอาถงนั่งทำหน้าเหยเกไปด้วยเพราะนางบอกว่ายาขมไม่อร่อย ให้กำลังใจทั้งจะร้องไห้สงสารมารดา
เยว่ซินกินน้ำอึกใหญ่พยายามบังคับสีหน้าให้ดีเพราะลูกมองอยู่ แต่ยามันขมจริง ๆ ปกติไม่เคยกินยาที่ขมมากเพียงนี้ มันไม่เหมือนเหล้า แต่เหมือนยาแก้ปวดเอาไปแช่น้ำ ปกติกินยาเม็ดแทบไม่รู้สึกถึงรสชาติก็กลืนลงคอไปแล้ว ขมจนอยากอาเจียน ขมจนขนลุกไปทั้งตัวแล้วกระมัง
“อาถงนอนเป็นเพื่อนแม่ได้หรือไม่” เยว่ซินหันมาถามบุตรชายคนเล็กที่นั่งอยู่ เด็กสี่หนาวโลกของนางต้องนอนกลางวัน จึงชวนอาถงนอนเสียเลย
แต่อยู่ดี ๆ เด็กน้อยก็ร้องไห้จ้า มู่เฉินล้างถ้วยยาพึ่งเสร็๗วิ่งกลับมา สองแม่ลูกทำตัวไม่ถูก อาถงยังร้องไห้อยู่อย่างนั้น เขาร้องไห้เพราะกลัว มือเล็ก ๆ จับแขนเสื้อมารดาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
“ฮืออ ข้าไม่อยากนอนขอรับ ข้าอยากนั่งมองท่านแม่ กลัวท่านแม่หายไปอีก”
ได้ยินความในใจบุตรชายเยว่ซินก็รู้สึกหดหู่และเห็นใจ และเข้าใจทั้งสองคน การได้เจอมารดาที่หายไปสองปีไม่ร้องไห้ก็แปลกไปแล้ว นางเป็นคนใจเย็น หากทั้งสองจะร้องไห้เพราะได้เจอมารดาอีกครั้ง ร้องไห้ไปอีกสักสามสี่วันนางก็ไม่รู้สึกหงุดหงิดอย่างแน่นอน เด็กน้อยขาดแม่มาสองปีย่อมมีความโหยหากักเก็บอยู่เต็มอก
“แม่จะอยู่กับเจ้าสองคนไปจนแก่เลย ดีหรือไม่ ให้อาถงกับอาเฉินหาเงินเลี้ยงแม่” มือบางปาดเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าให้บุตรชาย แต่ยิ่งเช็ดเจ้าตัวยิ่งร้องไห้ออกมามากกว่าเดิม อาเฉินขยับเข้ามาใกล้แต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดปล่อยให้ท่านแม่จัดการ
“ดีขอรับ” เด็กน้อยพยักหน้ารับทันที หากเขาโตเขาย่อมทำงานได้ ทำงานได้ก็สามารถเลี้ยงท่านแม่ตอนที่นางแก่เฒ่าได้อย่างแน่นอนไม่ต้องให้นางไปทำงานไกล ๆ อีก
“มาให้แม่กอดมา” เยว่ซินยิ้มกางแขนให้บุตรชายคนเล็กขยับเข้ามากอด หยู่ถงซบใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตากับไหล่มารดาร้องไห้ออกมาอีกครั้ง มือบางลูบแผ่นหลังเล็ก ๆ เพื่อปลอบโยนจนได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจอู้อี้ในลำคอ
ก่อนใบหน้างดงามจะหันมองไปที่มู่เฉินผู้พี่ที่ยืนมองอยู่แขนอีกข้างกางออกด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มประดับอยู่ ไหล่อีกข้างของนางย่อมว่างให้บุตรชายคนโต
“เจ้าใหญ่ ไม่อยากกอดแม่หรือ”
มู่เฉินมองมารดาด้วยดวงตาแดงก่ำ ก่อนจะโผเข้ากอดท่านแม่ด้วยความโหยหา อ้อมกอดมารดาอบอุ่นไม่เคยเปลี่ยนเลย แทบจะลืมเลือนไปแล้วว่าเป็นเช่นไร
เขาไม่สนแล้วว่าตนเองจะโตจนไม่ควรสัมผัสมารดาเพราะนางเป็นสตรี ตอนนี้มู่เฉินกอดมารดาแน่นทั้งน้ำตา ใบหน้าซบลงกับไหล่บอบบางของนาง
“ฮึก ข้าคิดถึงท่าน”
“ต่อจากนี้แม่จะไม่จากพวกเจ้าไปไหนแล้ว อยู่ด้วยกันสามคนแบบนี้ดีหรือไม่” เยว่ซินน้ำตาไหลตามทั้งสองคนเช่นกัน ไม่รู้เพราะจิตอีกเสี้ยวของเยว่ซินคนก่อนหรือเพราะความรู้สึกสงสารจากหัวใจของตัวนางเอง พวกเขาน่าสงสารจริง ๆ
“ขอรับ” ทั้งสองเอ่ยตอบเสียงอู้อี้ ผู้เป็นมารดาลูบหลังบุตรชายไปเรื่อย ๆ กอดกันอยู่เช่นนั้นจนกว่าทั้งสองจะพึงพอใจ สองปีที่ผ่านมาคงโหยหามารดาไม่น้อย กอดอีกสักเค่อนางก็ไม่ว่าอันใด
มู่เฉินซบลงกับไหล่ท่านแม่อีกครั้งก่อนหางตาจะเหลือบไปเห็นบาดแผลที่ถูกผ้าปิดเอาไว้ ลืมเลือนไปเสียได้ว่าท่านแม่บาดเจ็บ รีบผละออกโดยเร็วอย่างรู้สึกผิด
“ท่านไม่กอดท่านแม่ต่อหรือพี่ใหญ่” เสียงเล็กกล่าวถามพี่ชายด้วยความสงสัย มู่เฉินจึงชี้ไปที่บาดแผลของท่านแม่ให้น้องชายดู แม้แต่แขนที่อาถงจับอยู่ก็มีแผล
“ท่านแม่มีแผล”
“จริงด้วย” เด็กน้อยพึ่งนึกได้ รีบลงจากตักมารดาด้วยความตกใจ เยว่ซินไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ปล่อยสองพี่น้องพูดคุยกันเถิด แม้ว่าร่างกายนางจะไม่ค่อยรู้สึกเจ็บมากแล้วก็ตาม
แต่ถ้าบอกว่าไม่เจ็บแล้วนางกลัวสองคนนี้จะยกความดีความชอบให้ตาเฒ่านั่นอีก รอยเท้ายังเหลืออยู่บนหลังนางกระมัง เจ็บแล้วนางจำจนวันตาย
“เช่นนั้นวันพรุ่งนี้ค่อยมากอดแม่อีกครั้งดีหรือไม่ แม่อาจจะหายดีมากกว่านี้”
“ขอรับ” ทั้งสองพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ดีใจที่ท่านแม่จะให้กอดอีกครั้ง เยว่ซินจึงหยิบผ้าที่พี่สาวจางลี่ให้มาเช็ดหน้าเช็ดตาให้พวกเขา อาเฉินนั้นคราแรกเขินอายทำปากขมุบขมิบบอกนางว่าตนเองโตแล้วอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ยอมให้นางเช็ดหน้าให้อยู่ดี สองคนนี้ช่างน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก
“ท่านนอนเถิดขอรับ ข้าจะปิดประตูโถงแล้วทำความสะอาดในบ้าน” ตอนนี้คงถึงยามอู่ (11:00-12:59) แล้วกระมัง ต้องรีบทำความสะอาดบ้านแล้ว ท่านแม่เองก็ต้องนอนพักผ่อนจะได้หายโดยเร็ว
เยว่ซินหยุดเช็ดหน้าเช็ดตาให้ลูกชายขยับออกมาเตรียมนอน เจ้าใหญ่จึงหยิบผ้าไปด้วยจะเอาไปซัก ผ้าของท่านแม่เปื้อนน้ำตาน้ำมูกเขากับอาถงหมดแล้ว
“ทำพออยู่ก็พอเข้าใจหรือไม่ หากแม่หายป่วยแม่จะทำเอง”
“ขอรับ ท่านนอนเถิด อาถงดูแลท่านแม่ด้วยเล่า” เด็กหนุ่มพยักหน้า ไม่ลืมหันไปสั่งงานน้องชายให้ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ดี
“ขอรับ ข้าจะนอนเฝ้าท่านแม่เอง” เด็กน้อยตอบรับพร้อมนอนลงข้างมารดา ดึงผ้าห่มเก่า ๆ มาห่มจนเหลือแต่ศีรษะโผล่ออกมา
“หึหึ” เกิดเสียงหัวเราะดังขึ้นไม่เว้นแม้แต่คนพูด อาถงตัวน้อยพร้อมนอนเฝ้ามารดาให้พี่ชายทำความสะอาดบ้านแล้ว เยว่ซินย้ำกับเจ้าใหญ่อีกรอบว่าอย่าทำมากเกินไป ก่อนจะล้มตัวลงนอนข้าง ๆ บุตรชาย ไม่นานยาขมที่กินไปก็ออกฤทธิ์ หลับใหลไปในที่สุดโดยมีเด็กหนุ่มยืนมองอยู่
มู่เฉินยืนยิ้มกับภาพเบื้องหน้าอยู่นาน มารดาและน้องชายนอนอยู่ด้วยกัน สุดท้ายก็หลั่งน้ำตาออกมาอีกครั้งจนได้ ผู้ใดว่าเขาเข้มแข็ง ผู้ใดว่าเขาเก่งกาจ มู่เฉินผู้นี้กักเก็บน้ำตาเก่งต่างหากเล่า
ร้องไห้จนพอใจก็ปาดน้ำตาหยิบไม้กวาดเข้ามาด้านในบ้านด้วยความร่าเริงมากกว่าทุกวัน หากกระโดดโลดเต้นได้เขาคงทำไปแล้ว แต่ช่วงบ่ายนี้คงหมดไปกับการทำความสะอาดบ้านต้อนรับมารดากลับมากระมัง