สามคนลงจากรถประจำทางเดินจากซอยเข้าสู่ตัวบ้าน เวธัสหยุดยืนหน้ารั้วมองเข้าในตัวบ้านด้วยความสงสัย เมื่อเห็นรถไม่คุ้นเคยกำลังจอดอยู่ มีชายสองสามคนยืนคุ้มกันด้านหน้า เด็กหนุ่มรู้สึกงุนงงใครกันมามากมาย
“พี่เวย์ นั่นใครเหรอ”มิรินเอ่ยถาม
“พี่ไม่รู้เหมือนกันเพื่อนพ่อหรือเปล่า”
พลอยภัทราชะเง้อมอง รู้สึกในอกมันสั่นไหวชอบกล
“พลอยกลับก่อนนะ”เธอบอกแล้วเดินแยกออกมา วันนี้คงเข้าบ้านนั้นไม่ได้
พี่น้องเปิดรั้วเข้าสู่ตัวบ้านเห็นชายฉกรรจ์หันมามองครู่หนึ่ง เวธัสไม่สนใจจับมือน้องไว้มั่นแล้วเดินเข้าด้านใน เห็นพ่อและแม่กำลังนั่งรวมกับแขกในห้อง จารุนีลุกยืนทันทีที่เห็นลูก
“กลับมาแล้วเหรอลูก”
สองคนยกมือไหว้บิดามารดามองเลยไปยังชายรูปร่างสันทัด ผิวเนื้อดำแดง ในชุดสูทสีน้ำเงินเข้ม กำลังหันมาแล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“นั่นลูกชายเหรอรุตม์”
“ใช่ครับ”
“โตไวนี่ เมื่อก่อนยังเห็นตัวเล็กนิดเดียว”
“ก็พี่เทพไม่ได้มาเยี่ยมผมหลายปีแล้ว”วิรุตม์บอกแล้วยิ้มกว้าง
จารุนีจูงบุตรชายและบุตรสาวเข้าไปด้านหลังครัว ก่อนตักอาหารใส่ถ้วยให้พร้อมข้าว
“ใครเหรอครับแม่”เวธัสถามแววตาสงสัย
“เพื่อนพ่อน่ะลูก”
“เวย์จำไม่เห็นได้เลย”
“ตอนนั้นลูกยังเล็กอยู่จำไม่ได้หรอก”คนเป็นแม่ตอบ แล้วยกกับข้าวอีกจานมาเสริฟ์ “กินข้าวซะ แม่จะไปคุยธุระต่อ”
“ครับแม่” “ค่ะแม่”
จารุนีออกมาสมทบกับสามีด้านนอก เห็นการพูดคุยค่อนข้างเคร่งเครียดทีเดียว เป็นครั้งแรกที่เห็นพ่อทำหน้าเหมือนมีความทุกข์บางอย่าง
“ตกลงทำให้พี่ได้ไหมรุตม์ แค่ไม่ต้องยุ่งก็พอ”เทพยุทธถาม
“มันคงไม่ดีหรอกครับพี่เทพ ผมไม่อยากทำแบบนั้น”
“ทำเถอะถือว่าพี่ขอ แค่ครั้งเดียวเท่านั้น”
วิรุตม์หลุบตามองพื้นขบกรามแน่น เขาควรทำยังไงดีการตัดสินใจครั้งนี้มันส่งผลถึงหน้าที่การงาน และจรรยาบรรณในวิชาชีพตนเอง
“ผมขอคิดดูก่อนได้ไหมพี่”
“ได้ พี่จะให้คิดดูก่อนอย่าช้าก็แล้วกันนะ”เทพยุทธลุกยืน
เจ้าบ้านรีบตามออกมาเพื่อส่ง ไม่นานรถแล่นผ่านรั้ว วิรุตน์โอบไหล่ภรรยาสีหน้าเคร่งเครียด
“ตกลงกันไม่ได้เหรอคะ”จารุนีถามแววตากังวล
“พี่ไม่อยากทำ มันผิด”
“เอาที่สบายใจดีกว่าค่ะ อย่าทำอะไรที่มันขัดใจตัวเองเลย”
“ขอบใจนะที่คุณเห็นด้วยกับผมทุกอย่าง”เขามองภรรยาแล้วยิ้มอ่อนโยน
สองสามีภรรยาเดินกลับเข้าบ้านเห็นลูกต่างแยกย้ายกันทำการบ้านของตนเอง ครอบครัวของเขาไม่ต้องการเงินทองมากมายเพียงแค่มีความสุขตามฐานะมันก็พอแล้ว เขาคงไม่อาจตอบรับผลประโยชน์มหาศาล ที่ต้องแลกมาด้วยการทรยศต่อชาติเด็ดขาด
เช้าวันทำงานวิรุตม์ถึงหน้าสถานีตำรวจ ร่างสูงโปร่งนั่งประจำโต๊ะทำงานตนเอง ช่วงเกือบห้าโมงเย็นมีวิทยุแจ้งเกี่ยวกับอุบัติเหตุรถชนทำให้มีคนเสียชีวิต วิรุตม์รีบรุดมายังที่เกิดเหตุเห็นสภาพรถบรรทุกมีข้าวของกระจัดกระจาย ส่วนมากเป็นพวกกระเป๋าแบรนด์เนม รวมถึงเหล้ายี่ห้อต่างๆ
เขารีบเคลียร์พื้นที่เพื่อไม่ให้ประชาชนแตะต้องของมีค่าแล้วเสียรูปคดี ก่อนที่เพื่อนร่วมงานจะมาช่วยกันจัดการจนถนนเปิดได้อีกครั้ง เขากลับมายังสถานีตำรวจเช็คสินค้าแต่ปรากฏว่ามันหนีภาษีและดุเหมือนรถบรรทุกจะมาจากที่ที่คุ้นเคยดี วิรุตม์นิ่งเงียบความเครียดถาโถมเข้าหา ไม่อยากคิดเลยว่าตนเองจำเป็นต้องตัดสินใจรวดเร็วแบบนี้
เสียงฝีเท้าดังแว่ว วิรุตม์ชะเง้อมองเห็นชายหน้าตาคุ้นเคยเดินเข้ามา จ่าเอกวิรุตม์ชะงักเม้มริมฝีปากในอกอึดอัดขึ้นมา เขาเองก็จนใจต้องทำตามหน้าที่
“รุตม์ พี่อยากคุยด้วยสักหน่อย”
เขาเชิญเทพยุทธนั่ง ส่วนตนเองอยู่ฝั่งตรงข้าม
“พี่เทพมีอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ”
“ก็เรื่องคดีวันนี้ รถขนของน่ะ”
“ทำไมครับ”จ่าเอกย้อนถาม
“พี่อยากให้รุตม์ช่วยสักหน่อย คนอื่นที่นี่เขาก็โอเคหมดแล้ว ปล่อยๆ ไปเถอะ ถือว่าพี่ขอก็แล้วกัน”
วิรุตม์ตีหน้าเครียดไม่รู้ว่าตนเองควรทำอย่างไร ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้วจะไม่ร่วมมือในการทำผิดกฎหมายเด็ดขาด
“ผมไม่อยากทำแบบนั้นเลยครับพี่เทพ ผมขอโทษ”
เทพยุทธขบกรามแน่น มีเพียงคนเดียวที่ยังทำหน้าที่ตนเองอย่างยุติธรรม ทั้งที่ไม่ได้อะไรนอกจากเงินเดือนไม่กี่บาท เขาเองมีเงินมากมายมอบให้กลับปฏิเสธ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเจ้าของเครื่องรีบหยิบออกมากดรับสาย
“ครับเจ้านาย”
“แกทำอะไร ทำไมมันถึงมีปัญหา อย่าให้เรื่องมาถึงฉันเด็ดขาด จัดการให้เรียบร้อยด้วย!”ปลายสายตวาดลั่น
“ผมเข้าใจแล้วครับ ผมจะจัดการให้เรียบร้อย”
เทพยุทธวางสายแล้วหันมาให้ความสนใจต่อเพื่อนตำรวจต่อ หากวิรุตม์ไม่ร่วมมือคงหมดหนทางแล้ว เพราะที่นี่ทุกคนยอมอยู่ใต้อำนาจเงินทั้งหมด ผู้กำกับเอกชาติสาวเท้าออกมานอกห้องทำงานมองดูลูกน้องตนเอง
“คุณเทพยุทธเข้าไปคุยข้างในห้องผมดีกว่าครับ” ผู้กำกับบอก แล้วหันพยักหน้าให้จ่าเอกวิรุตม์เข้ามาด้วย เขายอมทำตามคำสั่งเจ้านายเพื่อจัดการปัญหานี้เสีย
ห้องทำงานขนาดเล็กสองคนนั่งตรงข้ามเจ้าของห้อง เอกชาติจ้องมองลูกน้องตนเองแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“จ่าผมว่าคุณยอมเถอะนะ ผมไม่อยากให้โรงพักเรามีปัญหาด้วย”ผู้กำกับบอกเสียงเครียด
“ผมทำไม่ได้ครับ ผมรับเงินภาษีประชาชน ผมจำต้องทำตามหน้าที่ตนเองไม่ให้ขาดตกบกพร่อง”เขายืนยันหนักแน่น
“ทำไมคุณพูดยากนัก อยู่เฉยๆ ได้เงินใช้ทำไมไม่ชอบผมไม่เข้าใจ!”
“เงินผิดกฎหมายพวกนั้นผมไม่เอา!”
เทพยุทธขบกรามแน่น ความอดทนขาดผึงหากวิรุตม์ยังตั้งตนเป็นศัตรูเช่นนี้ ภายภาคหน้าคงเป็นเรื่องใหญ่ การลักลอบขนสินค้าหนีภาษีจะยิ่งลำบาก หากนายใหญู่รู้ว่าเขาไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้เรื่องมันจะยิ่งยุ่งมากขึ้นอีก
“อย่าดื้อได้ไหม ผมขอล่ะ”ผู้กำกับพยายามขอร้อง เพราะรู้หากมีคนต่อต้านจะเป็นเช่นไร
“ผมทำไม่ได้จริงๆ ครับ ผมละอายแก่ใจ”
“ผมว่าพอเถอะ ในเมื่อแกไม่รับอย่าหาว่าพี่ใจร้ายก็แล้วกันรุตม์!”เทพยุทธลุกยืนแล้วหันกายสาวเท้าออกจากห้องไป
เอกชาติส่ายหน้า ไม่อยากจะคิดเลย คงกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ เขาเองคงช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกัน เพราะลำพังตนเองก็แทบเอาตัวไม่รอด
“ผมขอตัวก่อนนะครับ จะไปทำงานต่อ”จ่าเอกบอกผู้บังคับบัญชาแล้วออกมาด้านนอก เห็นสายตาเพื่อนร่วมงานหลายคู่มองมา เขากัดฟันอดทนกับมัน เพราะเชื่อในความดีและซื่อสัตย์ของตนเอง