ถูกถามไถ่ถึงเพียงนี้แล้ว หากไม่เอ่ยแนะนำตัวขึ้น คาดว่าจะเป็นการเสียมารยาทต่อเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงอย่างมาก คิดได้ดังนั้นแล้วหลานหลีเกอจึงก้าวขาไปข้างหน้าครึ่งก้าว ก่อนจะยอบกายลงทำความเคารพชายหนุ่มอีกครั้งพร้อมเอ่ยแนะนำตัว
“หม่อมฉันหลานหลีเกอคารวะท่านอ๋องเพคะ”
“กระหม่อมหลานเจี่ยเอ๋อร์คารวะท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อผู้เป็นพี่สาวเอ่ยทำความเคารพแล้ว หลานเจี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ จึงทำตาม หนิงอ๋องรับการทำความเคารพจากสองพี่น้องด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มอยู่เป็นนิตย์ตามปรกติของเขา ก่อนจะหันไปพูดคุยกับบิดาและพี่ชายนางอีกสองสามประโยค จากนั้นก็หมุนกายเดินออกไป โดยมีบิดาและพี่ชายของนางเดินตามไปส่งถึงหน้าประตูใหญ่
“ท่านพ่อท่านแม่เดินทางมาถึงแต่ลูกกลับไม่ได้ออกไปต้อนรับ นับว่าอกตัญญูแล้ว” หลานจิ้นหลี่เอ่ยขึ้นเมื่อเดินกลับเข้ามาในห้องรับรอง
“จิ้นเอ๋อร์อย่าคิดมากเลย เวลานี้เจ้าเป็นขุนนางมีตำแหน่ง สิ่งใดสำคัญก่อนหลังเจ้าย่อมแยกแยะจัดการเองได้ แค่ไม่ได้ออกไปรับพ่อกับแม่แค่นี้ไม่นับว่าเป็นการอกตัญญูอันใด อย่าคิดมากกับเรื่องไม่เป็นเลย”
“ขอบคุณท่านพ่อขอรับ”
จากนั้นหลานจิ้นหลี่จึงหันหน้าไปพูดคุยกับผู้เป็นมารดาบ้าง เถาลี่อิงที่ไม่ได้เจอบุตรชายคนโตมาสองปีมีเรื่องให้ต้องซักถามบุตรชายมากมาย สองแม่ลูกพูดคุยกันไปโดยมีผู้เป็นบิดาและหลานเจี่ยเอ๋อร์เอ่ยแทรกขึ้นเป็นระยะๆ ในขณะที่หลานหลีเกอกลับนั่งเงียบ ไม่เอื้อนเอ่ยคำพูดใดแม้แต่ครึ่งคำ
“หลีเอ๋อร์ หลีเอ๋อร์” หลานจิ้นหลี่เอ่ยเรียกน้องสาวตน “หลีเอ๋อร์!”
“จะ!...เจ้าคะ?” หลานหลีเกอสะดุ้ง
“เป็นอะไรไป ไม่สบายหรือ?”
หลานจิ้นหลี่เอ่ยถามน้องสาวอย่างห่วงใย ชายหนุ่มเพ่งมองใบหน้างดงามตามวัยของผู้เป็นน้องสาวแล้วก็พบร่องรอยของความเหนื่อยล้าให้เห็นอยู่จริงๆ
“พ่อบ้านชิว ช่วยตามหมอสักคนมาตรวจดูร่างกายของหลีเอ๋อร์หน่อยเถิด”
“พี่ใหญ่อย่าได้ลำบาก น้องหาได้เป็นอันใดมากมาย” หลานหลีเกอเอ่ยปากห้าม ทว่ามีหรือที่คนเป็นพี่ชายจะฟัง
หลานจิ้นหลี่พยักหน้าให้พ่อบ้านชิวทีหนึ่ง ฝ่ายนั้นก็ค้อมกายแล้วหันหลังเดินหายไปทันที
“เจ้าเป็นสตรีเจ็บนิดป่วยหน่อยก็ห้ามเอ่ยปากว่าไม่เป็นไรเด็ดขาด แม้รู้สึกไม่สบายเพียงแค่เล็กน้อยก็ต้องให้หมอมาตรวจ อย่าได้วางใจง่ายๆ ร่างกายของสตรีนั้นสำคัญยิ่ง เข้าใจหรือไม่?”
หลานจิ้นหลี่อบรมน้องสาวเป็นการใหญ่ ด้วยเวลานี้ชายหนุ่มเห็นว่าสีหน้าของน้องสาวนั้นยังซีดเซียวอยู่ไม่น้อย
“พี่ชายเจ้าพูดถูก ร่างกายของสตรีสำคัญไม่แพ้หัวเข่าทองคำของเหล่าบุรุษเลยเชียว”
เถาลี่อิงเอ่ยขึ้น ด้วยเพราะหากสตรีนั้นมีร่างกายอ่อนแอจนไม่สามารถมีบุตรได้ แล้วอนาคตข้างหน้าจะกลายเป็นเช่นไร?
แม่ไก่ที่ไม่สามารถออกไข่ได้นั้นนับว่าเปล่าประโยชน์ แต่เนื้อหนังยังสามารถต้มแกงเป็นอาหารได้
แต่สตรีที่ไม่สามารถมีบุตรได้ ไม่นับว่าไร้ประโยชน์เสียยิ่งกว่าแม่ไก่หรอกหรือ?
“พี่ใหญ่อบรมได้ถูกต้อง หลีเกอเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
ในเมื่อเถียงไปก็ไร้แววจะชนะ มิสู้นางยอมถอยให้พี่ชายและมารดาก้าวหนึ่งเพื่อให้เรื่องราวจบสิ้นไปมิดีกว่าหรือ อีกอย่างทั้งสองคนก็สั่งสอนเพราะความรักและเป็นห่วงนางทั้งนั้น
“ไม่เจอหน้าเจ้าสองปี แม่ดอกหลีน้อยของพี่เติบโตขึ้นมาทีเดียว งดงามกว่าที่พี่คิดเอาไว้มาก”
หลานจิ้นหลี่เอ่ยชมน้องสาวยิ้มๆ หลานหลีเกอคนตรงหน้านี้ทำให้เขาเกือบจำไม่ได้แล้วว่าเมื่อครั้งเป็นเด็กนางนั้นอ้วนกลมเพียงใด ราวกับหีบใส่ของใบหนึ่งก็มิปาน แต่เวลานี้หลานหลีเกอกลับงามล้ำ แตกต่างจากในวัยเยาว์มากทีเดียว
“ต่อไปพี่คงเชิดหน้าได้แล้ว มีน้องสาวงดงามถึงเพียงนี้” คนเป็นพี่เอ่ยแล้วหัวเราะ
“เหตุใดพี่ใหญ่ชื่นชมแต่พี่รองเล่าขอรับ?” หลานเจี่ยเอ๋อร์เอ่ยขึ้นอย่างแง่งอน
“ก็พี่รองของเจ้างาม พี่ก็ต้องว่างาม หรือจะให้พี่ชมว่าเจ้างดงามเหมือนนางกันเล่า?”
“พี่ใหญ่!” หลานเจี่ยเอ๋อร์ทำแก้มพอง
หลานจิ้นหลี่หัวเราะ ก่อนจะกวักมือเรียกน้องชายให้เดินเข้ามาหา “เติบโตจนจะกลายเป็นหนุ่มอยู่แล้ว เหตุใดจึงขี้น้อยใจถึงเพียงนี้”
“คุณชายน้อยไม่ได้ขี้น้อยใจหรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่ต้องการเรียกร้องความสนใจบ้างก็เท่านั้น ไม่อยากให้คุณชายใหญ่ชื่นชมคุณหนูรองจนเกินไป” แม่นมเถาที่ยืนอยู่ข้างกายผู้เป็นฮูหยินเอ่ยยิ้มๆ
“หมายความว่าอย่างไร?” หลานจิ้นหลี่งุนงง
เถาลี่อิงหัวเราะน้อยๆ “ก็เจี่ยเอ๋อร์ของเราหวงพี่สาวของเขาอย่างไรเล่า” ผู้เป็นมารดาคลายข้อสงสัย
ก่อนหน้านี้ที่สำนักศึกษา มีศิษย์พี่ศิษย์น้องมาเอ่ยชื่นชมในความงามของหลานหลีเกอให้หลานเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินอยู่บ่อยครั้ง บางคนก็ถึงกับแสดงท่าทางเคลิ้มฝัน บางคนก็ถึงขั้นแทนตนเองว่าพี่เขยกับเด็กหนุ่มเสียด้วยซ้ำ หลานเจี่ยเอ๋อร์ที่หวงพี่สาวหนักหนาไหนเลยจะชอบใจ เขากล่าววาจาหนักเบาอยู่ข้างหูผู้เป็นบิดาอยู่หลายวัน
หลานเหวินผู้เป็นบิดาที่หวงบุตรสาวเพียงคนเดียวยิ่ง แต่กลับไม่ค่อยแสดงอาการหวงนั้นออกมาสักครั้ง เมื่อบุตรชายคนเล็กทำตัวเป็นนายพรานขุดโพรง มีหรือกระรอกเฒ่าเช่นเขาจะไม่กระโดดเข้าไป
หลังจากนั้นหลานหลีเกอจึงถูกผู้เป็นบิดาเอ่ยปากห้ามในที่สุด ว่าหากไม่มีความจำเป็นใดๆ ก็ไม่ต้องไปที่สำนักศึกษา ประจวบเหมาะกับเวลานั้นนางอายุย่างสิบสามหนาว เข้าใกล้วัยปักปิ่นเต็มที จึงเป็นเวลาเหมาะที่จะต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน
ได้ยินคำอธิบายจากแม่นมเถาแล้วหลานจิ้นหลี่ก็หัวเราะลั่น นับว่าน้องชายของเขานั้นมีใจตรงกันอย่างน่าประหลาด
“พี่รองของเจ้างดงามถึงเพียงนี้ สมควรแล้วที่จะถูกหวงราวกับบุปผาหายาก”
ทุกคนในครอบครัวพูดคุยเล่นกันต่ออีกเพียงชั่วครู่ พ่อบ้านชิวก็เดินเข้ามา ด้านหลังของเขามีหมอชราท่านหนึ่งเดินตามมาด้วย
หมอชราท่านนั้นมาถึงก็ตรวจดูอาการของหลานหลีเกอ ครู่หนึ่งก็เอ่ยปากบอกว่าหญิงสาวเพียงแค่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง จึงทำให้เลือดลมแปรปรวนไปเท่านั้น พักสักวันสองวันก็หาย ก่อนกลับเขายังมอบใบสั่งยาให้เทียบหนึ่ง เป็นยาบำรุง เสร็จสิ้นทุกอย่างแล้วหลานเจี่ยเอ๋อร์จึงร้องขึ้นมาว่าหิว ทุกคนจึงได้ย้ายจากห้องรับรองใหญ่ไปยังห้องรับรองเล็กที่อยู่ด้านข้าง เพื่อทานมื้อเย็นกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
ในขณะที่ครอบครัวสกุลหลานกำลังทานมื้อเย็นร่วมกันอย่างมีความสุข ตามประสาคนในครอบครัวที่ไม่ได้ทานข้าวด้วยกันอย่างพร้อมหน้ามานาน ด้านคนที่เพิ่งกลับมาจากจวนสกุลหลานเมื่อราวครึ่งชั่วยามก่อน กลับกำลังนั่งตีสีหน้าเคร่งเครียด จอกชาในมือถูกหมุนไปหมุนมา เนิ่นนานเสียจนชาร้อนๆ เริ่มอุ่น กระทั่งเย็นชืดไปในที่สุด
“ท่านอ๋อง”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังของอ๋องหนุ่ม โจวเฟิงซีไม่ได้หันกลับไปมอง อ๋องหนุ่มทำเพียงปรายตาไปมองเล็กน้อย ใบหน้าส่วนอื่นยังนิ่งสนิท
“ทุกอย่างอยู่ในนี้ขอรับ”
ชายหนุ่มคนดังกล่าวยื่นซองจดหมายซองหนึ่งมาให้และไม่รอให้อ๋องหนุ่มเปิดอ่าน คนผู้นั้นก็ทำความเคารพผู้เป็นนายและหายตัวไปในทันที
โจวเฟิงซีเปิดจดหมายฉบับนั้นออกมาอ่าน ดวงตาเหยี่ยวของเขากวาดอ่านทุกตัวอักษรที่เขียนอยู่บนกระดาษรวดเดียวจบ จากนั้นก็เผาจดหมายทิ้งไป
ทั้งๆ ที่รู้แล้วว่าประวัติของสตรีผู้นั้นสุดแสนจะธรรมดา ทว่าความคับข้องใจกลับไม่เลือนหายไปจากอ๋องหนุ่ม
โจวเฟิงซียังคงมีสีหน้าครุ่นคิด ด้วยเพราะความรู้สึกลึกๆ บางอย่างกำลังย้ำเตือนเขาว่า แววตาของสตรีผู้นั้นช่างให้ความรู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก คุ้นเคยชนิดที่ว่า ชาติก่อนเขากับนางอาจจะเคยพบเจอกันมาก่อนด้วยซ้ำไป...
แต่จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร ในเมื่อชาติที่แล้วเขาไม่เคยได้พบเจอหรือรู้จักนางมาก่อน ไม่เหมือนกับในชาตินี้ที่เขาเข้าหาหลานจิ้นหลี่พี่ชายของนางและในเมื่อไม่เคยเกี่ยวข้อง...เหตุใดจึงได้มีความรู้สึกคุ้นเคยเช่นนั้นเล่า?
ชาเย็นชืดในมือถูกยกขึ้นจิบ โจวเฟิงซีคิดว่าเขาต้องหาคำตอบให้ความสงสัยนั้นให้ได้ ...
ชาติที่แล้วเพราะกระจ่างแจ้งในเรื่องราวต่างๆ ล่าช้า ความสูญเสียใหญ่หลวงจึงได้เกิดขึ้นกับเขา และเมื่อได้มีโอกาสย้อนกลับมาแก้ไขเรื่องราวเหล่านั้นอีกครั้ง พร้อมกับความทรงจำทั้งหมด เขาย่อมต้องใช้โอกาสที่ได้รับมาให้ดีและคุ้มค่าที่สุด
ก่อนสิ้นลมหายใจในชาติที่แล้ว โจวเฟิงซีมีความคิดว่าคงจะดีไม่น้อย...ถ้าเขาแก้ปัญหาทุกอย่างได้เร็วกว่านี้
ชาติก่อนถ้าเขาชิงจัดการเจาอ๋องก่อน ฝ่ายนั้นย่อมไม่มีโอกาสได้ลงมือกำจัดรัชทายาทเพื่อชิงตำแหน่ง ความวุ่นวายและการสูญเสียต่างๆ ก็จะไม่เกิดขึ้น
เช่นเดียวกัน หากชาติก่อนเขาชิงสู่ขอสตรีผู้นั้นก่อนเจาอ๋องผู้เป็นเชษฐา คนทรยศนั่นก็จะไม่มีลู่ทางได้สะสมกองกำลังของตน จนเป็นเหตุให้คิดกำจัดรัชทายาทผู้เป็นเชษฐาองค์โตและสตรีผู้นั้นกับตระกูลของนางก็จะไม่ต้องพบเจอกับโศกนาฏกรรมเช่นนั้น
ร่างสูงของโจวเฟิงซีลุกขึ้นก่อนจะเดินไปยืนอยู่ริมหน้าต่าง ด้านนอกตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำ ท้องฟ้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีดำ แสงสว่างเริ่มเลือนรางหายไป ดวงจันทร์เพียงเสี้ยวเริ่มปรากฏขึ้นมาให้เห็นรางๆ
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรที่ทำให้เขาได้ย้อนเวลากลับมาในช่วงเวลานี้อีกครั้ง ทว่าโจวเฟิงซีก็รู้สึกขอบคุณมัน เพราะมันทำให้ได้มีโอกาสแก้ตัวกับสตรีผู้นั้นอีกภพชาติหนึ่ง ซึ่งชายหนุ่มก็สัญญากับตัวเองแล้วว่า ชาตินี้เขาจะไม่มีทางปล่อยให้นางในดวงใจผู้นั้นต้องพบเจอกับเรื่องเลวร้ายใดๆ อีก
“ฮัวจื่อเวย...ชาตินี้ข้าจะปกป้องเจ้าให้ดีที่สุด”