แต่พอเดินมาถึงหน้าประตูเรือนใหญ่ก็ได้ยินเสียงพูดคุยภายในห้องดังออกมาถึงด้านนอก
“ท่านอ๋องกล่าวเช่นนี้ได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ” เสียงบิดาตะโกนดังลั่นด้วยความไม่พอใจ
“ข้าต้องขออภัยท่านเสนาบดีด้วย แต่อย่างไรก็ยังยืนยันคำเดิมว่าจะขอยกเลิกสัญญาหมั้นหมายกับคุณหนูฟาง” แม่ทัพหนุ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ตั้งมั่น
“ทั้งหมดล้วนเป็นพระราชโองการจากฮ่องเต้องค์ก่อน ท่านจะยกเลิกสัญญาหมั้นหมายได้อย่างไรกัน ถิงเอ๋อร์เป็นสตรีที่เพียบพร้อมทุกอย่าง กระหม่อมอยากรู้เหตุผลที่แท้จริงว่าเพราะเหตุใดกันแน่พ่ะย่ะค่ะ” ฟางจิ๋นสือมีแววตาโกรธจัดอย่างเห็นได้ชัด ที่ชินอ๋องมาขอยกเลิกสัญญาหมั้นหมายของบุตรีถึงที่จวนเสนาบดี ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ไว้หน้าตระกูลฟางอย่างสิ้นเชิง
‘ชินอ๋องมาถึงเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อใดกัน ตามกำหนดการเดิมต้องกลับถึงเมืองหลวงในวันพรุ่งนี้ยามซื่อมิใช่หรือ’ ถิงเอ๋อร์ตกใจในการปรากฏตัวของท่านแม่ทัพ จึงได้แต่ยืนนิ่งค้างอยู่ที่หน้าประตูเรือน มารดาที่หันมาเห็นบุตรียืนนิ่งอยู่หน้าประตูเรือนใหญ่จึงร้องเรียกด้วยความตกใจ
“ถิงเอ๋อร์! ลูกมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ รีบมาทำความเคารพท่านแม่ทัพเร็วเข้า” หญิงสาวที่ยืนเหม่อลอยจมกับความคิดของตนเอง พอได้ยินเสียงของมารดาดังผ่านเข้าหูมา สติของนางจึงกลับเข้าร่าง เลยแก้เก้อด้วยการยิ้มให้มารดาและบิดาแทน
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ถิงเอ๋อร์มาแล้วเจ้าค่ะ” ฟางลี่ถิงย่อกายทำความเคารพบิดาและมารดา โดยที่ไม่ได้เหลือบตาไปมองแม่ทัพหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้างเลยแม้แต่น้อย
‘ในเมื่อท่านอยากยกเลิกการหมั้นหมายระหว่างเรา ข้าฟางลี่ถิงคนนี้ก็จะไม่รั้งไว้’ หญิงสาวเก็บสีหน้าและอาการไม่พอใจเอาไว้ภายใต้ใบหน้างดงามที่ยิ้มแย้ม
หลี่เฟยหลงเหลือบตาไปมองดรุณีน้อยที่เดินผ่านหน้าเขาไปอย่างไม่สนใจไยดี โดยไม่เอ่ยทักทายอย่างที่เคยทำเหมือนเมื่อหลายปี ก่อนที่บุรุษจะไปทำศึกทางใต้ของเมืองจิ๋นเชิน สตรีที่เคยตามติดมาตลอดชีวิต ในวันนี้เมื่อได้เจอหน้ากันครั้งแรกในรอบหลายปี หญิงสาวไม่แม้แต่จะมองหน้าและยังทำเฉยชา มันทำให้บุรุษผู้เย็นชารู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
ยามที่ฟางลี่ถิงเดินผ่านหน้าของหลี่เฟยหลงไป กลิ่นกายของสตรีที่เย้ายวนก็ไปแตะที่ปลายจมูกของชายหนุ่ม เขาเผลอสูดดมกลิ่นหอมนั้นเข้าไปหลายอึดใจ ‘กลิ่นนี้มาจากที่ใดกัน ตอนแรกที่ข้าเข้ามาในเรือนนี้ก็ไม่เห็นว่าจะมีกลิ่นใดไม่’ ร่างสูงครุ่นคิดและหันหน้าไปมองร่างบางด้วยความสงสัย
“ถิงเอ๋อร์ รีบทำความเคารพท่านแม่ทัพเร็วเข้า เจ้าอย่าเสียมารยาท” มารดาพูดขึ้นพร้อมทั้งส่งสายตาบังคับบุตรีอยู่ในที ฟางลี่ถิงไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าแม่ทัพหนุ่มที่ชาวบ้านพากันลือหนักหนาว่ามีรูปงามดั่งเทพบนสวรรค์ชั้นฟ้าจะมีหน้าตาเป็นเช่นไร นางจึงปั้นหน้าและยิ้มหวานหันไปทางที่หลี่เฟยหลงยืนอยู่ทันที
“ถวายพระพรชินอ๋องเพคะ หากถิงเอ๋อร์กำลังเสียมารยาท ขอพระองค์โปรดทรงอภัย” สตรีย่อกายทำความเคารพอย่างนอบน้อม ดูงดงามอ่อนหวานตามแบบฉบับสตรีชนชั้นสูง แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองสบตาบุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้านาง
แท้จริงแล้วบุรุษผู้นี้มีศักดิ์เป็นพระอนุชาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน แต่ชายหนุ่มเป็นผู้ที่ไม่ยึดติดในยศศักดิ์เหล่านั้นมากนักจึงไม่โปรดให้คนนอกพูดกับเขาในฐานะขององค์ชาย และการที่นางใช้คำราชาศัพท์เช่นนี้ถือว่า ‘ท้าทายเขาอยู่มิน้อย’
“ไม่เป็นอันใดคุณหนูฟาง ข้ามิได้ถือสา” หลี่เฟยหลงที่มองสตรีตรงหน้าอยู่ก่อนแล้ว พอได้เห็นนางอย่างเต็มตา ในใจของชายหนุ่มก็เกิดอาการหวั่นไหว เขายืนนิ่งค้างไปชั่วขณะ สายตาคมสั่นไหวเหมือนเปลวเทียนต้องสายลม แต่เพียงไม่นานก็กลับมาเงียบสงบดังเดิมเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น และเช่นเดียวกับที่สตรีเงยหน้าขึ้นมองบุรุษในครั้งแรก ภาพที่ปรากฏต่อสายตาของนางก็คือชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ดูแข็งแรง มีผิวขาว รูปโฉมสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลาดั่งคำเล่าลือโดยแท้
ส่วนเรื่องที่แม่ทัพหนุ่มได้มาหารือเพื่ออยากจะขอยกเลิกการหมั้นหมายระหว่างเขาและถิงเอ๋อร์นั้น ก็เป็นอันต้องหยุดเอาไว้เสียก่อน เพราะทุกคนต่างร่วมใจกันเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเป็นเรื่องอื่นแทน
เมื่อถิงเอ๋อร์บังเอิญเข้ามาได้ยินเรื่องสำคัญนี้เข้า มารดาจึงชวนท่านแม่ทัพทานมื้อกลางวันด้วยกัน และหลังจากทานเสร็จ หลี่เฟยหลงก็ขอตัวกลับจวน ส่วนทุกคนก็แยกย้ายกลับห้องของตนเองในเวลาต่อมา หลังจากที่ได้เจอกับท่านแม่ทัพ หญิงสาวก็คิดแผนการบางอย่างออก ซึ่งมันก็สามารถทำให้ทั้งคู่ได้ผลประโยชน์ร่วมกัน
“ข้าต้องทำให้บุรุษหน้าตายผู้นั้นยอมตกลงทำตาม ทุกอย่างถึงจะจบลงด้วยดี” ถิงเอ๋อร์พูดพึมพำ พร้อมกับยิ้มให้กับความเฉลียวฉลาดของตนเองที่สามารถคิดแผนทำภารกิจให้สำเร็จออกได้อย่างรวดเร็ว
ก่อนที่จะวางแผนให้ละเอียดมากกว่านี้ก็ถูกเสียงจากภายนอกดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน “นายท่านให้คุณหนูไปพบที่ห้องหนังสือตอนนี้เจ้าค่ะ” จิ๋นอิ่งเดินมาอย่างเร่งรีบและรายงานให้ผู้เป็นนายฟังอยู่ที่หน้าประตูเรือน