หลายวันผ่านไป
สถานที่ที่เราเลือกจะไปกันคือทะเลในจังหวัดชลบุรีครับ
“พรุ่งนี้ออกกี่โมงนะ”
“เก้าโมง”
“ถ้าแปดโมงกูยังไม่มาโทรตามด้วยนะเผื่อหลับเพลิน” หนึ่งอาทิตย์มานี้ลุยโอทีทุกวันเลยครับรู้สึกได้เลยว่าร่างกายอ่อนเพลีย
“เออ ว่าแต่เพียงฝันไปด้วยไหม”
“ไม่ได้ไปติดกิจกรรมเข้าค่ายของโรงเรียน”
“เออ”
แยกกับเพื่อนผมก็กลับบ้านทันที ระหว่างทางมีสายเรียกเข้าอยู่ตลอดแต่ไม่รับหรอกปล่อยมันไว้แบบนั้นแหละ กระทั่งถึงบ้านก็เห็นว่าลุงโอมอยู่ด้วย
“สวัสดีครับ” ผมยังคงเอ่ยทักทายและยกมือไหว้อย่างเช่นทุกครั้ง
“เอิงเอยล่ะ?”
“ถามผมแล้วผมจะไปถามใคร” ตอบออกไปตามความคิดก่อนจะหันไปทางพ่อที่นั่งอยู่ข้าง ๆ “มีอะไรหรือเปล่าครับ ผมไปหาเพื่อนมา”
“...” ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบก่อนที่ลุงโอมจะหยิบมือถือขึ้นมาแล้วกดโทรหาใครบางคน
“สุดหล่อโทรศัพท์อยู่ไหนคะแม่โทรหาลูกไม่รับเลย” ได้ยินแบบนั้นผมจึงหยิบมือถือตัวเองขึ้นมาดู มีสายที่ไม่ได้รับเยอะมากครับและหนึ่งในนั้นก็คือแม่
“ผมปิดเสียงไว้ ว่าแต่มีอะไรกันเหรอครับ”
“เอิงเอยหายไป”
“จะหายไปไหนเดี๋ยวก็คงมา” ตอบออกไปอย่างไม่ใส่ใจมากนัก “ปกติไปไหนมาไหนก็ไม่ค่อยบอกอยู่แล้ว”
“ดูลูกไม่ห่วงเลย”
“แล้วทำไมผมต้องห่วง?” ไม่รู้หรอกว่าทำไมแม่ถึงพูดแบบนี้และคำตอบของผมก็ไม่ได้ประชดหรือแสดงความเกลียดชังอะไรด้วยผมก็แค่ตอบไปตามความรู้สึกของตัวเอง “คนที่ควรแบกรับความรู้สึกพวกนั้นต้องเป็นแฟนเขาสิไม่ใช่ผม”
“แต่มึงก็เคยรัก”
“เคยรักไม่ได้หมายความว่ายังรักอยู่นี่ครับ” เถียงกลับพ่อแทบจะทันทีและไม่สนด้วยว่าลุงโอมจะรู้สึกยังไง “นี่ไงโทรมาอีกแล้ว” ผมว่าพลางหันจอมือถือให้คนตรงหน้าดูก่อนจะกดรับสายแล้วเปิดลำโพง
(อึก... ปั้นอยู่ไหนเหรอ) ยังไม่ทันพูดอะไรน้ำเสียงสะอื้นก็ดังขึ้นก่อนแล้ว
“อยู่บ้านทำไมเหรอ”
(มาหาหน่อยได้ไหมที่...)
“ไม่ว่างครับ” ปฏิเสธออกไปตรง ๆ ไม่ว่าตอนนี้เธอกำลังเจออะไรอยู่มันก็ไม่ใช่หน้าที่ของผมอีกแล้ว แม้ว่าลึก ๆ ในใจอาจจะรู้สึกอยู่บ้างก็ตาม
(ถ้าอย่างนั้นอย่าเพิ่งวางสายนะ)
ผมไม่ได้ตอบอะไรแล้ววางมือถือตรงหน้าลุงโอมจากนั้นก็เข้าห้องตัวเองอาบน้ำชำระร่างกายทำกิจวัตรประจำวันตามปกติ จะว่าไม่สนใจก็ได้แหละ อีกอย่างพ่อตัวเองโทรหาตั้งไม่รู้กี่สายทำไมไม่รับล่ะ
“ไม่สนใจจริง ๆ เหรอคะ” เป็นเพียงฝันครับที่ตามเข้ามา
“สนใจอะไรเขาก็มีแฟนของเขาพี่เป็นคนอื่นนานแล้ว”
“โห... ใจแข็งชะมัดเลย ห่วงสักนิดก็ยังดี”
“สักนิดที่ว่าถ้ามันยังเหลืออยู่ก็อาจจะทำให้ตัวเองเจ็บไปอีกนานนะ”
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพี่จะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ หรือว่ามีคนในใจแล้วคะ” น้ำเสียงสดใสเอ่ยก่อนจะโน้มใบหน้ามาใกล้ผม “ต้องใช่แน่ ๆ”
“ทะเล้นนะเราอะ”
“นั่นไง! พี่มีจริง ๆ ด้วย”
“ไม่คุยด้วยแล้ว” จบประโยคก็เดินหนีออกมาด้านนอกอีกครั้ง ลุงโอมกลับไปแล้วเหลือแค่พ่อกับแม่ที่กำลังมองมาทางผม
“รู้ตัวหรือเปล่าว่าเสียมารยาทมากแค่ไหน” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยพร้อมกับสายตาดุ ๆ ที่ใช้มองผม
“ผมอาจจะเสียมารยาทแต่ผมพูดความจริง ต่างคนต่างอยู่สิผมมีปัญหาอะไรผมยังไม่เคยไปวุ่นวายกับเขาเลย พ่อไม่ต้องใช้สายตาเย็นชาบังคับผมหรอกเพราะผมไม่รู้สึกอะไร และตอนนั้นเขาก็เป็นคนเลือกที่จะไปเอง”
“เจอคนที่อยากรักแล้วสิถึงกล้าที่จะเด็ดขาดกับความรู้สึกตัวเองแบบนี้”
“เจอหรือยังไม่รู้ รู้แค่ว่าคุยแล้วสบายใจ ยอมรับครับว่าคุยไปเรื่อยแต่ตอนที่คบกันสาบานได้เลยว่าผมไม่เคยนอกลู่นอกทาง โสดก็คือโสด มีแฟนก็คือมีแฟนและผมให้เกียรติเขาเสมอไม่รู้หรอกว่าพ่อกับแม่กำลังทดสอบอะไรแต่เชื่อเถอะว่าผมกับเขาไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว เราจบกันด้วยดีครับ”
“เอิงเอยถูกทำร้ายร่างกาย”
“...”
“คนที่เขานึกถึงเป็นคนแรกยังคงเป็นลูกนะกำปั้น”
“แต่เขาไม่ใช่คนแรกที่ผมนึกถึงอีกแล้ว” จบประโยคก็หยิบมือถือแล้วกลับเข้าห้องตัวเองทันที
ผมต้องรู้สึกยังไง? ต้องดีใจ เสียใจ หรือรู้สึกผิดอะไรไหมที่ก่อนหน้านี้พูดออกไปแบบนั้น ... ไม่มีทางหรอกที่จะพาตัวเองกลับไปอยู่กับความรู้สึกเดิม ๆ อีก
(เอ... ไม่มีคนอยู่เหรอเนี่ย) น้ำเสียงใสดังขึ้นทำให้เลิกสนใจเรื่องอื่นแล้วหันมาสนใจคนในหน้าจออีกครั้ง (เป็นอะไรหรือเปล่าคะคิ้วพี่จะชนกันอยู่แล้ว)
“เป็นคนหล่อ”
(โวะ! หล่อไม่ไหวเลย)
“ฮ่า ๆ ทำอะไรอยู่”
(เล่นเกมส์ค่ะ แล้วพี่ล่ะคะ)
“เพิ่งถึงบ้านครับ”
(แยกกันตอนไหนคะมืดแล้วพี่มิวยังไม่มาเลย)
“ตั้งแต่เย็นแล้วนะ ไม่ใช่ว่าแวะไปหาแฟนเหรอ”
(แฟน? หืม...ต้องใช่แน่ ๆ เรื่องนี้ต้องสืบรู้สึกว่าช่วงหลังมานี้จะหายตัวบ่อย)
“ขี้สังเกตนะเราน่ะ”
(แน่นอน! แต่ไม่ตามหรอกค่ะถ้าเขาอยากบอกเดี๋ยวเขาก็บอกเอง)
“คำว่าไม่ตามในมุมมองของผู้หญิงคืออะไรเหรอ”
(สำหรับหนูการตามมันเหนื่อยค่ะ มันเหมือนว่าเรายึดติดกับเขามากเกินไป แล้วอีกอย่างนะถ้าเราสำคัญมากพอเขาคนนั้นต้องรู้ค่ะว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ คือมันไม่ใช่เรื่องที่ต้องนั่งบอกนั่งอธิบายอะ เว้นแต่ว่าความรู้สึกเรามันไม่เท่ากันแต่แรก)
“เขาคนนั้นนี่ใครเหรอ”
(ไม่รู้หนูยังไม่มี)
“แล้วเมื่อไหร่หนูจะมี”
(ไม่รู้ค่ะ ยังอยากอยู่แบบนี้)
“เหมือนพี่เลย”
(ไม่เหมือนหรอก พี่คุยไปเรื่อย)
“ถ้าเมื่อก่อนก็ใช่แต่ตอนนี้ไม่มี จะมีก็เราคนเดียวนั่นแหละ”
ถ้าจะถามหาจุดเริ่มต้นผมเองก็ตอบไม่ได้ครับ เสียงเพลงกลายเป็นคนที่ผมคุยด้วยแล้วสบายใจไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้แค่ว่าเราคุยกันทุกคืนและบางครั้งก็เป็นผมที่เป็นฝ่ายทักไป
(พี่มิวจะว่าไหมคะถ้ารู้ว่าหนูคุยกับพี่)
“ก็อย่าให้รู้สิ”
(คิกคิก จริงด้วย แต่ความจริงก็แค่คุยพี่มิวคงไม่ว่าอะไรหรอกมั้ง)
“ถ้าไม่ใช่พี่มันก็คงไม่ว่าอะไร”
(ยังไงนะคะหนูไม่เห็นเข้าใจเลย)
“ไม่เข้าใจน่ะดีแล้ว”
(นอกจากจะเป็นเพื่อนรักกันแล้วพวกพี่ก็ยังนิสัยเหมือนกันอีกต่างหาก เวลาที่พี่มิวไม่อยากตอบคำถามเขาจะพูดตัดบทแบบนี้เลย) ประโยคยาว ๆ ถูกร่ายออกมาจนฟังแทบไม่ทันครับ เพราะเธอเป็นแบบนี้ไงไอ้มิวมันถึงห่วงเป็นพิเศษ อย่าว่าแต่เสียงเพลงเลยครับขนาดเพียงฝันที่ฉลาดและทันคนผมยังห่วงเลย ถ้าถามว่ากลัวอะไรมากที่สุดก็คงต้องตอบว่ากลัวน้องจะเจอผู้ชายอย่างผมนี่แหละ