EP.04
หลังถูกลากออกมาจากโต๊ะพนัน คุณทิพย์อาภาก็บ่นอุบอิบอย่างแค้นเคือง การที่เธอถูกคุณจันทร์เป็งว่าเชิงหยามเหยียดนั้น ก็ประหนึ่งว่าตระกูลของเธอรวมทั้งเธอกำลังพ่ายแพ้ เรื่องเงินทอง ทรัพย์สินนั้นสำหรับทิพย์อาภาแล้วเธอจะไม่น้อยหน้า แม้ว่าทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ของสามีจะหมดไปแล้วก็ตาม
และสมบัติของบิดาซึ่งเป็นผู้มีอันจะกิน เป็นถึงเจ้าหลวงแห่งเวียงเชียงมั่นผู้พลิกประวัติศาสตร์อีกคนหนึ่งของล้านนา เพราะอาณาจักรเชียงมั่นนั้นกว้างขวางมากแค่ไหน นักเรียนประวัติศาสตร์จะต้องรู้และเรียนทุกครั้ง
แต่นี่...เธอกำลังจะถูกลบลืม เธอกำลังถูกตระกูลขี้ข้าอย่างแสงปางของคุณจันทร์เป็งดูถูก
แบบนี้ยอมไม่ได้เด็ดขาด
“พ่อเลี้ยง เอ้อ...จริงๆ ด้วย พ่อเลี้ยงนเรนทร์”
นิ่งคิดอยู่เนิ่นนานถึงกลวิธีจะไม่ทำให้ตนเองเสียหน้า คุณหญิงทิพย์อาภาก็คิดออกว่าควรจะไปพึ่งพาใคร
พ่อเลี้ยงนเรนทร์ เจ้าหนี้รายเก่าของเธอนั่นเอง
เพียงไม่นานหลังจากนั้น คุณทิพย์อาภาก็ได้เข้าพบกับพ่อเลี้ยงหนุ่มซึ่งพักอยู่ในห้องส่วนตัวเหนือสถานที่สราญรมย์แห่งนั้น
“พ่อเลี้ยงจะต้องช่วยเหลือฉันนะคะ” คุณหญิงเริ่มปฏิบัติการออดอ้อนทันที “ฉันไร้ที่พึ่งจริงๆ เห็นพ่อเลี้ยงนี่แหละจะช่วยฉันได้”
ภาพของหญิงวัยห้าสิบห้าปีนั่งด้วยรอยยิ้มจริตมารยาของสตรีปรากฏในครองจักษุของพ่อเลี้ยงนเรนทร์ ผู้มีใบหน้าคมเข้มหล่อเหลา หากดวงตาเรียวยาวดั่งตาของพญาเหยี่ยวนั้นกลับดูน่ากลัวสำหรับคนทั่วไป
เขาคลี่ยิ้ม มองคุณหญิงอย่างนึกขำ
“ถ้าผมจะบอกคุณหญิงว่า ครั้งนี้ไม่ได้ล่ะครับ”
“พ่อเลี้ยง...โธ่ เห็นแก่ฉันเถอะค่ะ”
“แต่คุณหญิงยังมีหนี้กับผมอีกบานเลยนะครับ หนี้เก่าก็ยังใช้ไม่หมด คุณหญิงจะสร้างหนี้ใหม่ให้กับผมอีกหรือครับ”
“แค่นิดเดียวเองนะคะพ่อเลี้ยง พ่อเลี้ยงเห็นใจฉันเถอะนะ”
“เหตุผลอะไรครับ ที่ผมควรจะช่วยเหลือคุณหญิงต่อจากนี้” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเย็น ดวงตาคู่คมมองคุณทิพย์อาภาไม่วาง
“พ่อเลี้ยง พูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไรกัน”
นางทิพย์อาภาเริ่มขึ้นเสียงดัง จากคำที่พ่อเลี้ยงนเรนทร์เอื้อนเอ่ยออกมานั้น ส่วนหนึ่งเหมือนกำลังด่านาง
“ก็หมายความว่า หนี้สินกว่าสามสิบล้านบาทที่คุณหญิงมีต่อผมอยู่นั้น มันมากเกินกว่าที่ผมจะยอมให้คุณหญิงสร้างความยุ่งยากให้แก่ผมเพิ่มอีกอย่างไรล่ะครับ ผมจะยอมให้คุณหญิงหยิบยืมอีกก็ต่อเมื่อคุณหญิงหาเงินมาใช้ให้แก่ผมจนหมดเท่านั้น”
“ห๊ะ สามสิบล้านบาท พ่อเลี้ยงนเรนทร์ มันไม่มากไปหรืออย่างไร ก็ไหนว่ามันแค่สิบล้านอย่างไรล่ะ แล้วนี่ฉันก็เพิ่งจะใช้ไปกว่าห้าล้าน มันก็สมควรจะลดลงเหลือแค่สิบล้านบาทสิ”
“คุณหญิง...อย่าลืมสิครับว่าเงินน่ะ มันไม่ใช่ตัวเลขอย่างเดียวนะครับ ผมทำธุรกิจ ก็สมควรจะมองเห็นถึงผลประโยชน์ที่ควรจะได้ จริงอยู่เงินต้นน่ะมันแค่สิบล้านบาทแต่ดอกเบี้ยมันเพิ่มขึ้นทบกันแล้วก็ประมาณสามสิบล้านครับ”
“ไม่จริง ไม่ใช่...พ่อเลี้ยงโกงฉัน”
“ผมไม่ได้โกงนะ สัญญาที่คุณหญิงเซ็นต์ มันยังบอกรายละเอียดได้ละเอียดกว่าที่ผมบอกอีกนะครับ”
“ฉันจะแจ้งตำรวจ แล้วฟ้องศาล ว่าพ่อเลี้ยงโกงฉัน”
“ผมยินดีครับคุณหญิง เพราะผมมีหลักฐานทุกอย่าง”
ความเงียบดำเนินเดินทางมาอีกครั้ง เมื่อคุณหญิงทิพย์อาภาเจอทางตันอย่างที่ตนไม่อาจหันหลังกลับได้ ฝ่ายพ่อเลี้ยงนเรนทร์นั่งนิ่งคลี่ยิ้มบางมองหญิงกลางคนตรงหน้า
ทุกอย่างที่เป็นไป มันก่อเกิดขึ้นจากความโลภในหัวใจของคุณทิพย์อาภาแท้ๆ เทียว
ลับหลังคุณหญิงทิพย์อาภาที่เดินคอตกออกจากห้องนั้นไป พ่อเลี้ยงนเรนทร์ซึ่งยังคงนั่งนิ่งมองตรงไปยังประตูด้วยประกายตาว่างเปล่านิ่งนาน จวบจนกระทั่งเวลาผันผ่านไปราวนาที พ่อเลี้ยงหนุ่มจึงกดสัญญาณตรงมุมโต๊ะเรียกลูกน้องให้เข้ามาในห้องแห่งนั้น
เพียงเสี้ยวเวลาที่พ่อเลี้ยงยกมือออกจากปุ่มกด ลูกน้องคนหนึ่งก็เปิดประตูเข้ามาในห้องนั้นทันที
“พัน ฉันมีเรื่องจะให้นายทำ”
พันค้อมศีรษะลงหนึ่งครั้งเป็นสัญญาณว่าตนเตรียมพร้อมรับคำสั่งจากพ่อเลี้ยงแล้ว
ฝ่ายพ่อเลี้ยงนเรนทร์นั่งยิ้มอย่างเลือดเย็น ก่อนจะเอ่ยปากสั่งการนายพันให้ไปทำงานอย่างที่พ่อเลี้ยงต้องการในทันที
หลังพันออกจากห้องนั้นไปแล้ว พ่อเลี้ยงนเรนทร์จึงหันไปหาลูกน้องอีกคนที่ยืนนิ่งอยู่ข้างหลัง
“ฉันทำถูกใช่ไหม ขุนพล”
เขาถามเสียงนิ่งเย็น คนระดับเขานั้นทุกอย่างจะต้องเฉียบขาด...และจะไม่มีวันผิดพลาด
“ผมเคารพในการตัดสินใจของพ่อเลี้ยงครับ”
ขุนพล ชายหนุ่มผู้มีใบหน้านิ่งขรึม ความหล่อคมเข้มไม่ต่างจากพ่อเลี้ยงนเรนทร์ สิ่งที่ต่างกันเห็นจะเป็นเพียงอายุเท่านั้น
พ่อเลี้ยงนเรนทร์ พ่อเลี้ยงหนุ่มกลางคนวัยสามสิบเจ็ดปี เขาก้าวเข้ามามีบทบาทเป็นพ่อเลี้ยงด้วยวัยอันน้อยนิด แต่เพราะความเด็ดขาดและเฉียบคมของเขาจึงทำให้ปกครองลูกน้องและกิจการทั้งด้านสว่างและด้านมืดได้อย่างไม่มีข้อผิดพลาด
ส่วนนายขุน หรือขุนพลนั้นเป็นชายหนุ่มรุ่นน้องวัยประมาณสามสิบสาม เขาเป็นคนเงียบขรึม แววตาว่างเปล่า ไม่มีใครอ่านใจของเขาได้ ทั้งมาดนิ่งและท่าทางของชายหนุ่มที่เป็นมือปืนคนสนิทหนึ่งเดียว เป็นที่ไว้วางใจ ที่สุดของพ่อเลี้ยงนเรนทร์
ทั้งสองหนุ่ม เป็นชายหนุ่มผู้นิ่งขรึม มาดเข้มที่แม้จะเหมือนกัน หากความแตกต่างกลับมีเพียงเสี้ยวของกิริยาท่าทีเท่านั้น
คนทั่วไปต่างเข้าใจว่านายขุนพลเป็นน้องชายของพ่อเลี้ยงนเรนทร์
หากความเป็นจริงนั้นไม่ใช่
“ทำไมนายถึงคิดแบบนั้นล่ะ ฉันกำลังจะทำผิดอีกแล้วนะ”
“แต่มันเป็นเหตุผลของพ่อเลี้ยงไม่ใช่หรือครับ”
“แล้วถ้ามันเป็นเหตุผลของนายล่ะขุนพล นายจะคิดแบบไหน”
พ่อเลี้ยงถามกลับ เขาคลี่ยิ้ม มองนายขุนพลซึ่งยืนยิ่งอยู่ตรงหน้า
“ถ้าเป็นเหตุผลของผม ผมก็จะเตือนตัวเองว่า การฆ่าคนนั้นเป็นความผิด เพราะใครๆ ก็มีชีวิต รักชีวิตของตนเอง ขึ้นชื่อว่าการฆ่า มันก็คือบาปทั้งนั้น ยิ่งการพรากชีวิตของคนอื่นมันก็ยิ่งเป็นความผิดบาปที่แม้แต่กฎแห่งกรรมก็จะไม่ให้อภัย”