EP.09 ความหวังพังทลาย

1289 คำ
EP.09 แสงจันทร์กระจ่างฟ้า สาดทอแสงพื้นที่เมืองเก่าให้แลดูสวยสดงดงามเป็นยิ่งนัก โดยเฉพาะหมู่เจดีย์ที่วางตัวเรียงรายกันไปภายในเงามืด ดูเข้มขลัง ดั่งถูกสรรค์สร้างจากมนต์มายาอย่างไรอย่างนั้น ท่ามกลางอ้อมกอดของหมู่เงามืดของรัตติกาล ยังมีการดิ้นรนเอาชีวิตรอดของสองชีวิตที่วิ่งหนีชายฉกรรจ์ถึงสามคนที่วิ่งไล่ตามมาด้านหลัง “เร็วๆ สิยายน้ำตาล เร็ว ชักช้าเดี๋ยวถูกไอ้พวกนั้นลากเข้ารกเข้าพงหรอก” ภคมนหันมาเตือนเพื่อนสาวที่วิ่งชักช้าเหยาะแหยะ “ก็ฉันกลัวนี่ ก้าวขาไม่ออกแล้ว” “กลัวก็ต้องวิ่ง ไม่วิ่งเราก็จะถูกจับข่มขืน เธอไม่กลัวหรือยังไง” “ก็ฉันไม่รู้จะทำยังไงนี่ พวกมันก็วิ่งใกล้เข้ามาแล้ว” “ไม่ต้องกลัว เชื่อฉัน วิ่งไปอีกนิดก็จะเป็นบ้านคน เราไปขอความช่วยเหลือจากคนพวกนั้นกัน เร็วอีกนิดเดียวเท่านั้น” สองสาวให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ก่อนจะตั้งหน้าวิ่งต่อไป หากศวิตากลับสะดุดขาตัวเองล้มลงกับพื้น “โอ้ย...” “ลุกเร็วยายน้ำตาล พวกมันวิ่งมากันแล้ว” “ฉันลุกไม่ไหว ฉันเจ็บขา” ศวิตาลูบที่ข้อเท้าซึ่งเวลานี้เริ่มบวมแดงอย่างน่ากลัว เรี่ยวแรงที่จะหยัดกายลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งไปข้างหน้ากลับไม่มี “ไม่ไหวก็ต้องลุก เร็ว” เพื่อนสาวเร่งอีก หากกลับช้าไปกว่าไอ้พวกนั้นที่วิ่งมาถึง “ฮ่าๆ วิ่งได้แค่นี้หรือน้อง เห็นไหม ไม่เชื่อพวกพี่ตั้งแต่แรก” มันพุ่งตรงเข้าคว้าแขนศวิตาอย่างทันที หากเวลานั้นกลับมีใครคนหนึ่งเตะมือมันออกห่าง “เฮ้ย อะไรวะ” มันตกใจ เมื่อมีใครบางคนมาขวางหน้าเอาไว้ เป็นผู้หญิง!! “รังแกคนไม่มีทางสู้มันน่าอายนะ” เธอผู้นั้นว่า พร้อมกับมองสามร่างอย่างมาดหมาย “หมายความว่าถ้ารังแกเธอ ก็ไม่น่าอายใช่ไหม” มันว่า พร้อมกับส่งสัญญาณให้กับพวกพ้องอย่างทันที “เฮ้ย จัดการมัน” สั่งการเสร็จมันก็พุ่งตรงเข้าหาเธอผู้นั้นอย่างทันที หากด้วยเวลาที่ผ่านไป ฝีไม้ลายมือของทั้งสามกลับไม่อาจเทียบชั้นได้เท่ากับผู้หญิงคนนั้นสักน้อยนิด ไม่นานทั้งสามก็ถูกมัดรวบติดกัน ภคมนยกเท้าถีบไอ้ตัวหัวหน้าพร้อมกับสบถ “แน่นักใช่ไหม ฮ่าๆ สมน้ำหน้า” เห็นใบหน้าของมันที่หมดสภาพ ซ้ำยังบวมปูดเพราะถูกผู้หญิงคนนั้นเตะเข้าจนเกือบเละแล้ว หญิงสาวก็ยิ่งนึกขำ “เจ้านายฉันไม่เอาเธอไว้แน่ รู้จักไหม เสี่ยทรงพลน่ะ” ไอ้หน้าแหลมว่า พร้อมกับมองผู้หญิงคนนั้นอย่างไม่พอใจ “หึ...ก็ดี ฉันก็อยากจะพบเสี่ยทรงพลเหมือนกัน” เธอว่าด้วยรอยยิ้มเฉียบคมและไม่กลัวเกรง ศวิตาและภคมนมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย ด้วยหญิงสาวจากเงามืดที่โผล่มาช่วยพวกเธออย่างทันท่วงที “ขอบพระคุณพี่มากๆ เลยนะคะ” ศวิตายกมือไหว้อย่างนอบน้อม “ใช่จ้ะ พี่เจ๋งมาก สู้ไอ้สามคนนั่นจนหมดสภาพ รู้ไหม พี่เป็นไอดอลของฉันเลยนะ” ภคมนว่าอย่างสะใจสุดๆ เธอชะโงกหน้ามองไปที่ไอ้สามคนซึ่งถูกมัดอยู่ท้ายกระบะรถ “ฉันอยากจะรู้จักชื่อของผู้มีพระคุณของฉันจะได้ไหมจ๊ะ” ศวิตาถามอีก เธอมองหน้าผู้หญิงคนนั้นอย่างถูกชะตา ฝ่ายเอรารินทร์คลี่ยิ้ม ยกมือขึ้นลูบเส้นผมสยายของศวิตาอย่างเอ็นดู “พี่ชื่อเอรินจ้ะ เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ” “โว้ ถึงว่า เก่งมากๆ เลยค่ะ ฉันขอกดไลท์” ภคมนยกนิ้วให้อีก “จ้า...พี่ขอตัวก่อนนะ เดี๋ยวจะต้องมีเรื่องให้สะสางอีก” เอรารินทร์ขอตัวในที่สุด ก่อนจะล้วงเอาสิ่งหนึ่งออกมา “อ้อ...มีอะไรติดต่อหาพี่ได้นะ” ทั้งสองสาวรับนามบัตรของผู้กองเอรินมาถือ แล้วมองตามรถที่เพิ่งขับออกไปจนลับตา ศวิตาครวญชื่อนั้นแผ่วเบา “ร้อยตำรวจเอก (หญิง) เอรารินทร์ สุรกานต์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่หน่วยรุกฆาต” “เจ๋งชะมัด ตำรวจหญิง ฉันชักอยากจะเป็นตำรวจแล้วสิ” ภคมนว่าพร้อมทำท่ายืดตัวตรงอย่างเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำกันขณะรับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา รุ่งเช้า... ภายในห้องพักของโรงพยาบาลเอกชน คุณหญิงทิพย์อาภานอนเอกเขนกอยู่ภายในห้องพร้อมกับเปิดโทรทัศน์ดูรายการข่าวยามเช้าอย่างสบายใจ ฝ่ายอุษารัตน์ หลังจากมานอนเฝ้ามารดาอย่างเป็นห่วงทั้งคืน เธอจึงได้มีโอกาสเดินทางกลับบ้าน ทั้งพอบอกมารดาว่าถ้าหากปล่อยให้กัลปวีกลับบ้านโดยไม่รู้ว่าทั้งคุณแม่และพี่สาวไปไหน น้องสาวของเธอจะยิ่งอาละวาดพาลพาให้ข้าวของภายในบ้านเสียหาย เมื่อได้รับฟังเหตุผลนั้น คุณหญิงทิพย์อาภาก็เห็นควรอย่างทันที เพราะทั้งห่วงและหวงบุตรสาวคนนี้อย่างกับอะไรดี หากกัลปวีอารมณ์เสียจะยิ่งไปกันใหญ่ “รีบๆ ไปเถอะ เดี๋ยวน้องมาแล้วไม่เจอใครจะยิ่งไปกันใหญ่” มารดาไล่ลูกสาวคนที่สามไปเมื่อชั่วโมงก่อน ฝ่ายอุษารัตน์ได้แต่ถอนใจ ไม่เอ่ยคำใด ก่อนจะออกจากห้องนั้นไปในที่สุด เธอรู้ว่าอะไรเป็นอะไรดี เธอรู้แม้กระทั่งมารดาของตนเองถังแตกหลังบิดาเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน และแม่ของเธอได้อพยพครอบครัวกลับมายังบ้านพจนาสุรนนท์ด้วยเพราะยังทระนงตนว่าเป็นถึงเชื้อสายเจ้าหลวงแห่งเวียงเชียงมั่นผู้กว้างขวาง แม้ว่าทรัพย์สมบัติจะถูกผลาญด้วยน้ำมือของมารดาในเวลาต่อมาจนไม่เหลืออะไรแล้วก็ตาม ชีวิตของครอบครัวของเธอต้องลุ่มๆ ดอนๆ อยู่กับหนี้สินที่มารดาได้สร้างและก่อเอาไว้ โดยไม่สนใจคำเตือนของบรรดาลูกสักคน ยิ่งนานคุณหญิงทิพย์อาภาก็ยิ่งทระนงตน ทั้งยังอยากจะเอาชนะผู้คนรอบข้างที่มองมายังครอบครัวของเธออย่างเหยียดๆ แม้ทรัพย์สมบัติจะร่อยหรอ แม้เงินทองจะถูกถลุงไปเพราะผีพนันที่เข้าสิงมารดา หากคุณหญิงทิพย์อาภากลับเชิดหน้าชูคอเป็นคุณหญิงโดยไม่สนใจต่อคำครหาเหล่านั้น ยิ่งนาน หนี้ที่ก่อก็ยิ่งเพิ่มพูน พี่สาวคนแรกของเธอถูกส่งตัวให้แต่งงานกับเศรษฐีเจ้าของบ่อน้ำมันแห่งอิสราเอล เป็นการจับให้แต่งงานตามความเห็นพ้องของมารดาเธอ โดยไม่มองถึงความรักที่พี่ชรัญธี หรือน้ำหนึ่งพี่สาวของเธอ ซึ่งมีคนรักอยู่ก่อนหน้าแล้ว ชรัญธีถูกจับให้แต่งงานและมารดาของเธอก็นำเงินค่าสินสอดกว่าสิบล้านของเศรษฐีหนุ่มมาใช้หนี้สินจนหมด หากนั่นกลับไม่เพียงพอต่อความต้องการเมื่อมารดากลับโลภและไม่รู้จักพอเล่นการพนันเพื่อหวังซึ่งกำไรที่จะตามมา หากความหวังกลับพังทลาย เมื่อยิ่งเล่น ยิ่งเสี่ยงโชค หนี้สินกลับเพิ่มพูนเป็นเท่าตัว แล้วพี่สาวคนที่สองของเธอคือมณียา ก็ได้เดินทางเข้าสู่กระบวนการ ‘ขาย’ ของมารดาไปอีกคน อุษารัตน์ได้แต่คิดกลุ้มใจ เพราะเวลานี้มารดาได้ใช้เงินค่าสินสอดของพี่สาวทั้งสองจนหมดไปกับการเสี่ยงโชคแล้ว อีกไม่นานเธอก็คงจะต้องเดินทางเข้าสู่กระบวนการเหล่านั้นไปอีกคน ไม่รู้เป็นเวรกรรมอะไร ที่ทำให้เธอต้องมาพบเจอกับเรื่องแบบนี้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม