ตอนที่ 5 เป็นแค่อดีต

2070 คำ
หลังจากนั้นฉันก็กลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติ แต่ที่เปลี่ยนไปก็คือ พี่มิลคอยมารับมาส่งฉันในทุก ๆ เช้าและเย็น ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครแต่พี่เขาก็หมั่นมาดูแลฉันอย่างสม่ำเสมอ พี่มิลบอกว่าหากเขาได้ทำงานอย่างเต็มตัวเมื่อไหร่ เขาจะบอกเรื่องนี้กับพ่อเขาแล้วมาดูแลฉันกับลูกได้อย่างเต็มที่ ฉันเองก็ยังไม่พร้อมที่จะบอกเรื่องนี้กับใครแม้แต่เพื่อนสนิทของฉันเองก็ตาม ไม่ใช่ว่าฉันไม่ไว้ใจเพื่อนของฉันหรอกนะ แต่แค่ฉันไม่รู้จะเริ่มเล่าอย่างไรดี นี่ก็เป็นเวลาเกือบเดือนแล้วที่พี่มิลคอยมารับมาส่งฉัน จนฉันรู้สึกเหมือนพี่เขาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของฉันไปแล้ว “พี่ได้ยินมาว่านมอันนี้เหมาะกับคนท้องนะ เราเอาไปด้วยดีไหม” พี่มิลว่าก่อนจะหยิบนมกล่องออกมาจากชั้นวางของในซูเปอร์มาเก็ต “แต่เดือนนี้พี่ซื้อให้ฉันกินจนเกือบฉันกินไม่ทันแล้วนะ” ฉันว่าปนหัวเราะ “กินไปเถอะ จะได้แข็งแรงทั้งแม่ทั้งลูกไง” พี่มิลว่าก่อนจะวางนมกล่องใส่ในรถเข็น เราสองคนเดินเลือกของในซูเปอร์มาเก็ตกันสองคน เวลาที่ฉันอยู่กับพี่มิลแค่สองคน ฉันเหมือนเห็นด้านของพี่เขาที่ฉันไม่เคยเห็น พวกเราใช้เวลาอยู่ด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน จนลืมไปว่าพวกเราไม่ได้เป็นอะไรกันเลย ความรู้สึกแปลก ๆ ผุดขึ้นอยู่ในใจของฉัน จนฉันรู้สึกว่าพวกเราไม่ได้ฝืนทนอยู่เพื่อลูก แต่เราเป็นครอบครัวเดียวกันจริง ๆ “พี่มิลทำอะไรคะ” ฉันเดินกลับมาหารุ่นพี่หนุ่มที่ยืนมองโซนเสื้อผ้าเด็กด้วยสายตาละห้อย “พี่ซื้อได้ไหม” “ลูกยังไม่เกิดเลยพี่จะรีบทำไมคะ” ฉันหัวเราะร่วนก่อนชายหนุ่มจะหันมามองฉันพลางส่งสายตาออดอ้อน “เผลอแป๊บเดียวเดี๋ยวลูกก็ใส่ได้แล้ว มันน่ารักอ่า” หัวใจฉันเผลอเต้นผิดจังหวะจนต้องหันไปมองทางอื่นเพราะทนสายตาออดอ้อนของ ชายหนุ่มไม่ไหว “พี่มน” ฉันหันขวับไปมองคนที่เรียกฉันด้วยน้ำเสียงแข็งขัน “มิกซ์” น้องชายฉันมองมาที่เราทั้งสองด้วยดวงตาแข็งกร้าว “พวกพี่หมายความว่าไง เรื่องลูกเหรอ” ฉันกลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อกก่อนที่ฉันจะหันมามองทางพี่มิลที่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย มิกซ์ยืนจ้องมองพี่มิลตาเขม็งอย่างกับจะเข้ามากระชากคอเสื้อถ้าไม่มีฉันยืนคั่นกลางไว้ซะก่อน ให้ตายสิ “พี่มิลคะ นี่น้องชายหนูเองค่ะชื่อมิกซ์ เป็นน้องชายคนละพ่อ” ระหว่างทางที่ขึ้นรถพี่มิลมาลงที่คอนโดฯ จนเดินขึ้นมาบนห้อง ทั้งสองก็คงยังจ้องมองกันตาเขม็งอย่างกับมีสายฟ้าฟาดกันไปมาทางสายตาอย่างไรอย่างนั้น “มิกซ์ ส่วนนี่พี่มิล เป็น...” ฉันหันหน้ามามองทางหนุ่มรุ่นพี่ไม่รู้ว่าควรจะแนะนำในฐานะอะไรดี “เป็นพ่อของลูกในท้องมน” พี่มิลชิงตัดพูดขึ้นมาเสียก่อน “นี่พี่ทำพี่สาวผมท้องเหรอ” มิกซ์ลุกพรวดขึ้นมาจากเตียงนอนหวังจะเข้ามากระชากคอเสื้อของพี่มิลดีที่ฉันรีบเข้าไปห้ามไว้เสียก่อน พี่มิลรีบลุกขึ้นมาแล้วดันมิกซ์ให้ออกห่างจากฉันจนเกิดเหตุการณ์ชุลมุน “หยุดนะ เดี๋ยวสะเทือนเด็กในท้อง” พี่มิลเอาแขนมากันตัวฉันไว้จนมิกซ์มองตาค้างด้วยความตกตะลึง พี่มิลก้มลงมาถามฉันด้วยน้ำเสียงอ่อน “เธอเป็นอะไรหรือเปล่า” ฉันส่ายหน้าตอบเมื่อเห็นว่ารุ่นพี่หนุ่มมีสีหน้าที่จริงจังก่อนจะช้อนสายตาหันไปมองน้องชายฉันอย่างคาดโทษ “พี่เป็นแฟนกับพี่สาวผมเหรอ” มิกซ์ยอมถอยหลังแล้วกลับไปนั่ง ดี ๆ “จะว่างั้นก็ไม่ใช่อะมิกซ์ พวกเราแค่พลาดอะ” น้องชายฉันช้อนสายตาขึ้นไปมองพี่มิลอย่างไม่เกรงกลัว “แล้วผมจะมั่นใจได้ยังไงว่าพี่จะดูแลพี่สาวผมได้” “พี่โตแล้ว พี่พูดคำไหนคำนั้นแน่นอน” “ผมจะคอยจับตาดูพี่ให้ดีเลย” มิกซ์ยกแขนขึ้นมากอดอก “พอเลย ๆ พอเลยทั้งคู่อะ” ฉันรีบเข้ามาขวางระหว่างทั้งสองเอาไว้ “เรามาทานข้าวกันเถอะค่ะ มิกซ์ทานด้วยกันนะ” “อยู่แล้วครับ ผมจะได้จับตามองพี่ให้ดีเลยพี่มิล” ฉันเดินออกมาหาพี่มิลที่ยืนเหม่อมองออกไปนอกระเบียงห้องอย่างเลื่อนลอย “ยังไม่ง่วงเหรอคะ” วันนี้พี่มิลขอนอนด้วยเพราะไม่อยากกลับบ้าน ตอนแรกฉันก็รู้สึกแปลก ๆ ที่มีผู้ชายคนอื่นมานอนในห้องแต่ก็เริ่มชิน ขึ้นมาบ้างแล้ว อย่างที่บอกไปว่าฉันชินเวลาที่มีพี่มิลอยู่ด้วยแล้ว รวมทั้งไอ้น้องชายตัวแสบที่นอนเฝ้าฉันอยู่บนพื้นข้างเตียงนั้นด้วย “พี่ยังไม่ง่วงอะ ไม่ชินที่น้องเธอมานอนด้วย” ฉันหัวเราะออกมาเมื่อเห็นแววตาไม่พอใจของพี่มิล “ฉันก็ไม่ชินเหมือนกัน เดือนนี้ฉันเองก็ปรับตัวเยอะเหมือนกัน นะคะ” พี่มิลขมวดคิ้วแล้วหันมามองหน้าฉัน “พี่ว่าจะถามเธอนานแล้ว ทำไมกับธิดาเธอแทนตัวเองว่าหนูคะ หนูขา แล้วทำไมกับพี่ถึงเป็นฉันล่ะ แบบนี้มันดูห่างเหินไปนะทั้งที่เราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว” ใบหน้าของฉันเห่อร้อนขึ้นมาภายใต้ความมืด “ก็พี่ธิดาเป็นพี่ที่ฉันทั้งรักและเคารพนี่คะ” พี่มิลโน้มใบหน้าลงมาหาฉันเสียจนฉันเบิกตากว้างเมื่อใบหน้าของเราทั้งสองเข้ามาใกล้กันเสียจนหัวใจมันเต้นระรัวผิดปกติ “แล้วพี่ไม่ใช่รุ่นพี่ที่เธอเคารพและรักบ้างเหรอ” ฉันกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะรีบดันอกของร่างสูงให้ออกห่างเพราะทำตัวไปถูก “มันยังไม่ชินนี่คะ ขอเวลาฉันก่อนก็แล้วกัน” พี่มิลหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหันออกไปมองแสงไฟในเมืองหลวงที่ไม่เคยดับสนิทลงเลยสักคืน “เวลาเธอเขินก็น่ารักเหมือนกันนะ” “พี่มิล” ฉันขึ้นเสียงใส่เพื่อกลบเกลื่อนความเขินอายของตัวเอง วันนี้พี่มิลส่งข้อความมาบอกฉันว่าติดประชุมเรื่องการประเมินของพี่เขา ฉันตื่นเต้นแทนอย่างบอกไม่ถูก เพราะถ้าพี่เขาประเมินผ่านนั่นก็หมายความว่าพวกเราจะได้เป็นครอบครัวกันจริง ๆ แล้ว แล้วทำไมฉันต้องดีใจด้วยเนี่ย ฉันเลยต้องเดินทางกลับคอนโดฯ เอง ถึงแม้ปกติมันจะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับฉัน แต่พอมีคนคอยมาส่งบ่อย ๆ ก็กลายเป็นว่าฉันไม่ชินกับการกลับบ้านคนเดียวซะแล้วสิ แต่วันนี้มันแปลกไปน่ะสิ พอฉันมาถึงห้องฉันก็รู้สึกปวดหน่วง ๆ ที่ท้องน้อยขึ้นมาแปลก ๆ จนต้องค่อย ๆ ทิ้งตัวลงนั่งบเตียงนอนแล้วใช้มือมากุมท้องของตัวเองไว้ มันไม่ควรจะมีอาการแบบนี้ตอนท้องสิ หรือว่ามันเกิดเรื่องไม่ดีอะไรกับลูก พอคิดได้อย่างนั้นสิ่งแรกที่ฉันนึกถึงคือโรงพยาบาล ฉันรีบเด้งตัวขึ้นมาก่อนจะต้องเบิกตากว้างเมื่อบนที่นอนของฉันมีคราบเลือดติดอยู่ที่ ผ้าปูที่นอนหลังจากที่ฉันลุกขึ้นมา ลมหายใจของฉันถี่กระชั้นด้วยความแตกตื่น ฉันรีบคว้าโทรศัพท์มือถือเพื่อที่จะโทร.หาพี่มิลทันทีแต่พอนึกได้ว่าพี่มิลติดประชุมฉันก็รีบเปลี่ยนเป็นเบอร์ล่าสุดที่เมมไว้ในมือถือ มิกซ์ (น้องชาย) มิกซ์รีบพาฉันมาโรงพยาบาลทั้งที่สวมใส่ชุดนักเรียน ในตอนนั้น ฉันเองรู้สึกเป็นกังวลอย่างบอกไม่ถูกตอนที่พยาบาลซักไซ้ประวัติเรื่องการตั้งครรภ์ ฉันพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือด้วยความหวาดวิตก แต่ผลตรวจทำให้ฉันช็อกยิ่งกว่า “หมอไม่ตรวจพบการตั้งครรภ์ของคนไข้นะคะ” คำพูดของคุณหมอเหมือนมีสายฟ้าฟาดกลางร่างของฉันจนเนื้อตัวชาไปหมด “เป็นไปไม่ได้ค่ะคุณหมอ ตอนนั้นที่ตรวจครรภ์มันขึ้นสองขีดนะ แถมหนูยังมีอาการอาเจียนเวียนหัว ประจำเดือนหนูก็ไม่มา” ฉันพูดเสียงสั่น “อาการตกเลือดที่คนไข้เข้าใจนี่เป็นประจำเดือนของคนไข้เองนะคะ ส่วนอาการคลื่นไส้อาเจียนหรือประจำเดือนมาไม่ตรงก็อาจจะเกิดจากหลายปัจจัย เช่นความเครียดสะสมก็ได้ค่ะ แล้วก็การตรวจครรภ์บางครั้งผลก็ไม่ได้ออกมาตรงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์นะคะ อาจเป็นผลลวงที่มีสารปนเปื้อนในปัสสาวะจากการทานยาบางตัวก็ได้ค่ะ เช่นพวกกลุ่มยาแก้แพ้ก็อาจทำให้เกิดผลลวงได้” ในหัวของฉันมันว่างเปล่าไปหมดจนฉันเอนตัวพิงกับพนักเก้าอี้ ด้วยความสิ้นหวัง มิกซ์รีบเข้ามาประคองฉันแล้วพาฉันเดินออกมาจากห้องตรวจ “ไม่ท้องก็ดีแล้วนี่พี่มน ทำไมพี่ทำหน้าเหมือนโลกจะถล่มอย่างนี้อะ” ฉันเงยหน้าขึ้นมามองน้องชาย นั่นสิ ทำไมกันนะ “มน เกิดอะไรขึ้นอะ เธอส่งข้อความมาบอกพี่ว่าอยู่โรงพยาบาล พี่ตกใจแทบแย่” พี่มิลเดินเข้ามาด้วยสีหน้าแตกตื่น ใบหน้าหล่อมีเหงื่อเต็มขมับ ยิ่งฉันเห็นหน้าของรุ่นพี่หนุ่มฉันก็รู้สึกเจ็บในใจอย่างบอกไม่ถูก “พี่มิลคะ ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย” ฉันพาพี่มิลเดินเข้ามาในบันไดฉุกเฉิน แล้วหันหลังให้ร่างสูง “มน บอกพี่มาเถอะ เกิดอะไรขึ้น” ฉันพยายามคุมน้ำเสียงสั่นเครือของตัวเองไว้ “ไม่มีลูกแล้วค่ะพี่มิล” “หมายความว่ายังไงอะมน” พี่มิลรีบเข้ามาจับที่แขนของฉันเบา ๆ แล้วจับให้ฉันหันมาคุยกันดี ๆ ในตอนนั้นเองน้ำตาของฉันมันก็ไหลพรากออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ “พวกเราไม่ได้มีลูกด้วยกันตั้งแต่แรก ฉันไม่ได้ท้องค่ะ” ฉันพูดด้วยเสียงสั่นเครือระคนกับสะอื้นไห้ออกมา เรียวขาของฉันมันไร้เรี่ยวแรงเสียจนจะทรุดลงไปนั่งบนพื้น แต่ก็ยังใช้แขนค้ำกับผนังเอาไว้ พี่มิลก็คงจะรู้สึกช็อกไปเช่นกันถึงได้ปล่อยมือออกจากฉันแล้วถอยหลังจนชิดกับผนังอย่างอ่อนแรง “มัน... หมายความว่ายังไงอะมน” พี่มิลยังคงถามด้วยไม่อาจเชื่อความจริง “ผลตรวจมันเป็นผลลวงค่ะ ฉันไม่ได้ท้องจริง ๆ” ชายหนุ่มก้มหน้าลงแล้วยกมือขึ้นมาปิดหน้า ยิ่งพี่มิลแสดงออกมาว่าผิดหวังมากเท่าไรในใจฉันมันก็รู้สึกเจ็บมากเท่านั้น “เธอพูดจริงเหรอ” พี่มิลเงยหน้าขึ้นมาสบตากับฉัน ดวงตาคมแดงก่ำน้ำตาคลออย่างน่าสงสาร “ฉันขอโทษที่ทำให้พี่เสียเวลานะคะ แต่ต่อจากนี้ถ้าไม่มีลูกแล้วพวกเราก็ไม่มีอะไรยุ่งเกี่ยวกันอีกแล้ว” ฉันยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาบนแก้มเนียนของตัวเอง “จากนี้พวกเรา... ไม่ต้องเจอกันอีกแล้วนะคะ” “มน” ฉันรีบเดินออกไปจากทางบันไดหนีไฟโดยไม่หันกลับมามองพี่มิลอีก ฉันตัดสินใจบล็อกการติดต่อของพี่มิลทุกช่องทางหลังจากนั้น เพื่อตัดพี่มิลให้ออกไปจากชีวิตอย่างที่มันควรจะเป็น แต่ทำไมในหัวใจมันไม่เคยทำได้สักที
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม