“ใครอะ?” ใครคนหนึ่งเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าฉันเดินตามเก้าเข้ามาด้วย
“เพื่อน”
“ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามึงมีเพื่อนน่ารักจิ้มลิ้มแบบนี้ด้วย”
“ห้ามยุ่ง!”
“กูว่าแล้วไง ไอ้ควายและบอกเพื่อนกัน”
“ก็เพื่อน... แต่ไม่ให้ยุ่ง”
“ฮ่า ๆ”
เสียงหัวเราะดังไปทั่วบริเวณแถมตอนนี้ฉันยังตกเป็นเป้าสายตาอีกด้วย
“ไม่แนะนำหน่อยเหรอวะ” ใครอีกคนพูดขึ้นมาบ้าง ดูท่าทางแล้วเขาน่าจะโตกว่าพวกเรานะคะ
“เพื่อนผมจริง ๆ”
“กูรู้แล้วแต่ใจคอแม้แต่ชื่อมึงก็ไม่ให้พวกกูรู้เลยเหรอ”
“ไม่บอกหรอกผมมาแป๊บเดียวเดี๋ยวจะไปแล้ว”
“ฮั่นแน่...”
ไม่บอกจริง ๆ ค่ะแล้วก็ไม่แนะนำให้ฉันรู้จักใครด้วยเช่นกัน มองผ่าน ๆ ตาอยู่รวมกันประมาณสิบคนได้ บางคนก็เล่นเกมส์ สูบบุหรี่และคุยกันไปตามประสา
“รอตรงนี้นะ” เก้าหันมาบอกฉันและทำทีจะเดินเข้าไปในตัวบ้านแต่ฉันกลับรั้งไว้ด้วยการดึงชายเสื้อเขา จะบอกว่ากลัวก็ไม่เชิงหรอกค่ะแต่ฉันไม่รู้จักใครไงมันเลยทำตัวไม่ถูก “งั้นก็ตามมา”
เก้าพาฉันมายังห้องห้องหนึ่ง เปิดประตูเข้าไปถึงกับสตั้นค่ะเพราะในนั้นมันยังมีคนนอนอยู่ แต่ว่าฉันไม่ได้เข้าไปหรอกนะแค่ยืนรอตรงประตูหน้าห้องเท่านั้นเอง
“จะใช้ห้องเหรอ” น้ำเสียงงัวเงียเอ่ยพร้อมกับมองมาทางฉัน
“เปล่า จะมาเอาเสื้อผ้าเฉย ๆ” เก้าตอบก่อนจะหยิบเสื้อผ้าที่มีทั้งชุดนักเรียนและชุดอยู่บ้านใส่กระเป๋า “คืนนี้กูไม่ได้มา ไม่ต้องรอนะ”
“เออ แล้วนั่นน่ะ?” พลางพยักเพยิดหน้ามาทางฉัน
“เพื่อน”
“เพื่อน?”
“ไปละ เชิญตามสบาย”
“เปลี่ยนเรื่องเฉยเลยนะ”
จากนั้นก็พาฉันออกมาด้านนอกทันทีค่ะ ไม่กล่าวไม่ลากับใครสักคำ
“รีบไปไหนวะ”
“ไปแล้วพี่มีธุระต่อครับ”
“เออ อย่าหักโหมมากนะโว้ย”
“พูดไปเรื่อยเลย” ประโยคนี้มีฉันคนเดียวค่ะที่ได้ยิน “เธออย่าเก็บมาใส่ใจเลยนะ”
“นี่บ้านนายเหรอ?” ฉันเอ่ยถามไปตามความคิด
“ไม่ใช่หรอก แต่จะเรียกว่าบ้านหลังที่สองก็คงได้แหละมั้ง”
“...” อยากถามมากกว่านี้ด้วยซ้ำแต่พอเห็นสีหน้าเรียบนิ่งของเขาแล้วเปลี่ยนใจไม่ถามดีกว่าค่ะ ถ้าเขาพอใจที่จะบอกเดี๋ยวก็คงบอกเองนั่นแหละ
ออกจากบ้านหลังนั้นเก้าก็พาฉันลัดเลาะไปเรื่อยจนถึงถนนเส้นที่มันค่อนข้างคุ้นตาเป็นพิเศษ
“จะพาเราไปส่งบ้านหรือไง”
“เปล่าสักหน่อย”
ได้ยินแบบนั้นฉันจึงไม่พูดอะไรออกมาอีก พอถึงทางแยกทิศทางของรถมันก็เปลี่ยนค่ะ ถ้าเลี้ยวขวาจะเข้าเลียบคลองหลังบ้านฉัน แต่นี่เขาเลี้ยวซ้ายไง
ฉันสังเกตตลอดเส้นทางคือมันเปลี่ยวมากค่ะ ยิ่งไกลออกมาเท่าไหร่มันก็เปลี่ยวมากขึ้นเท่านั้นจนอดคิดในใจไม่ได้เลยว่าถ้าซวยน้ำหมดหรือยางรั่วแถวนี้จะเป็นยังไงนะ
“นายมาทางนี้บ่อยเหรอ”
“ก็บ่อยนะ”
“โห... ถ้ากลางคืนคงน่ากลัวมากเลย”
“ก็แค่มืดไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นหรอก ใจคนต่างหากที่น่ากลัว”
“พูดอะไรน่ะไม่เห็นจะเข้าใจเลย”
“ฮ่า ๆ”
ราวครึ่งชั่วโมงก็จอดที่บ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านชั้นเดียวค่ะหลังไม่ใหญ่เท่าไหร่ แต่บรรยากาศโดยรอบมันเงียบเหงาแปลก ๆ ไม่รู้สิ! ฉันสัมผัสได้แบบนั้น
“บ้านเราเอง ตามสบายนะแต่อาจจะรกไปหน่อย” เก้าเอ่ยก่อนจะเดินนำฉันเข้าไปด้านใน
“นายอยู่กับใครเหรอ” ฉันเอ่ยถามขณะเดียวกันก็กวาดสายตามองสำรวจไปรอบบริเวณ มีรูปถ่ายแขวนตามผนังด้วยนะคะ
“พ่อกับแม่น่ะ แต่ส่วนมากจะอยู่คนเดียว”
“...”
“แล้วเธอล่ะทั้งบ้านอยู่กับใครบ้าง”
“เรากับแม่และก็พี่สาวคนโต ส่วนพี่สาวคนรองเขาแยกไปอยู่ต่างหากกับครอบครัวที่หมู่บ้านเปิดใหม่นั่นไง”
“อ๋อ... เราก็เข้าใจว่ามีบ้านสองหลังซะอีก”
“ไม่หรอก ถ้าอาทิตย์ไหนเขาทำโอทีเราก็จะไปอยู่เป็นเพื่อนหลานก่อน”
“แล้วพ่อล่ะ”
“พ่อเราเสียไปเก้าปีแล้ว”
“แต่เธอก็ดูมีความสุขดีนะ เหมือนไม่ได้รู้สึกว่าขาดอะไรไปด้วยซ้ำ”
“เพราะแม่เป็นทุกอย่างแทนพ่อหมดแล้วไง แถมตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาก็ไม่สนใจคนอื่นเลยนะ แม่บอกว่าพ่อเรามีรักที่มั่นคงมาก แม่ก็เลยตั้งใจจะมีแค่พ่อคนเดียวแม้ว่าตอนนี้พ่อจะมีตัวตนแค่ในความทรงจำของเขาก็ตาม”
“โรแมนติกจัง”
“ใช่... ถ้าเลือกได้นะเราก็อยากเจอใครสักคนที่มั่นคงเหมือนพ่อเรานั่นแหละ”
“ไม่ต้องถ้าหรอกเพราะเธอเลือกได้อยู่แล้ว”
“ฮ่า ๆ ว่าแต่นายเถอะมีอะไรอยากเล่าให้ฟังไหม”
“ทำไมถามแบบนี้ล่ะ”
“ไม่รู้สิ บางครั้งนายดูเศร้าจังแต่ก็ปกปิดมันด้วยการเงียบแทน”
เก้าเงียบไปก่อนจะนั่งลงข้างฉันแล้วพูดออกมา “เรามีพ่อแม่นะ มันควรเป็นครอบครัวที่ดีด้วยซ้ำแต่มันก็ทำได้แค่คิด”
“...”
“คนหนึ่งติดการพนัน ส่วนอีกคนวัน ๆ ไม่ทำอะไร เคยได้ยินไหมคำว่าพ่อแม่รังแกฉันน่ะ”
“เคย...”
“นั่นแหละ เรากำลังเป็นแบบนั้นอยู่”
“ไม่มีพ่อแม่คนไหนไม่รักลูกหรอกนะ”
“มีสิ! มันมีอยู่ทั่วไปนั่นแหละ ประโยคที่เธอพูดมันก็แค่นิยามปลอบใจเท่านั้นเอง”
“ขอโทษนะที่ถามเราแค่...”
“ไม่ได้จะว่าอะไรเธอนะ เราแค่อยากบอกให้รู้ว่าความโชคดีมันไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคนเท่านั้นเอง”
“...”
“แต่เราคงโชคดีอย่างหนึ่ง อยากรู้ไหมอะไร?”
“หืม?”
“โชคดีที่ได้รู้จักเธอไง” น้ำเสียงจริงจังเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ฉันไม่รู้เลยว่าภายใต้รอยยิ้มนี้มีอะไรซ่อนอยู่บ้าง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังเผชิญอยู่กับอะไร “ตอนนี้เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดนะ”
“ได้เหรอ? เรารู้จักกันไม่นานเองนะ”
“ได้สิ ก็บอกแล้วไงสบายใจตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น อยู่กับเธอแล้วเรารู้สึกไม่ต้องคอยแบกอะไร เธอไม่เซ้าซี้และยังเข้าใจเราในหลาย ๆ เรื่องอีกด้วย เธอคนแรกเลยนะที่ปลดล็อคความรู้สึกของเราได้สำเร็จ”
“เราไม่รู้หรอกว่านายเจออะไรมาบ้างถึงทำให้ต่อต้านและหัวดื้อแบบนี้ แต่เราเชื่อว่าทุกอย่างมันมีเหตุมีผล เรื่องไหนไม่สบายใจนายพูดออกมาได้เลยถึงช่วยอะไรไม่ได้แต่เรารับฟังได้นะ”
“เพราะเธอเป็นแบบนี้ไง ขอบใจนะ”
ต่างคนต่างยิ้มให้กัน ฉันมั่นใจว่ามันเป็นความรู้สึกที่ดีถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจบางคำพูดของเขาก็เถอะ
ระหว่างวันเราก็ดูหนังฟังเพลงกันไปเรื่อยค่ะ และการที่อยู่ด้วยกันสองต่อสองมันก็ทำให้รู้ว่าเก้าเองก็มีมุมอ่อนโยนเหมือนกัน ไม่ได้หน้านิ่งชอบหาเรื่องเหมือนที่คนอื่นเห็น
“ปกติโดดเรียนนายไปอยู่ที่ไหนเหรอ”
“ที่นั่นแหละ”
“ค้างด้วยเหรอ”
“ใช่ ก็บ้านมันไม่ได้เหมือนบ้านใครที่ไหนจะอยากอยู่”
“ละ แล้วทำไมถึงพาเรามาล่ะ”
“เธอไม่เหมาะกับสถานที่แบบนั้นหรอก อย่างเธอต้องเงียบ ๆ น่ะถูกแล้ว”
“...”
“เรารู้ว่าเธอกลัวแต่ก็ใจเด็ดนะที่กล้าโดดเรียนมากับเรา”
“ไม่เลย ก็แค่อยากรู้ว่าหนึ่งวันของนายมันเป็นยังไงเท่านั้นเอง”
“อยากมีส่วนร่วมในชีวิตว่างั้น?”
“ฟังดูแปลก ๆ เหมือนกันนะหลอกด่ากันไหมเนี่ย”
“ฮ่า ๆ ไม่เลยเธอคิดไปเอง”