กัญญาภรณ์กับชุติมาก้าวลงมาจากรถกระบะ ทั้งคู่มาหยุดยืนหน้ารั้วบ้านหลังงามที่ชาตินี้ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสมีบ้านหรูๆ แพงๆ อย่างนี้หรือไม่ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เจ้าของบ้านหลังนี้จะร่ำรวย เพราะรากฐานของต้นตระกูลมั่นคงส่งผลต่อลูกหลานที่พลอยสบายตามไปด้วย
ไม่มีใครไม่รู้จักเถ้าแก่สันต์ ผู้กว้างขวางในจังหวัดตรัง กระบี่และภูเก็ต เขาเป็นผู้มีอิทธิพลคนหนึ่ง มีคนนับหน้าถือตามาก ขนาดนักการเมืองท้องถิ่นยังต้องนอบน้อม กัญญาภรณ์ไม่รู้จักเถ้าแก่สันต์เป็นการส่วนตัว เคยเจอเพียงแค่สองครั้ง แต่ก็ได้ยินกิตติศัพท์ของเขามาตั้งแต่เด็ก และไม่คิดว่าวันนี้ตนจะเข้ามาหาคนใหญ่คนโตของจังหวัดด้วยเรื่องหนี้สินของบิดา หนี้ก้อนโตเสียด้วย
“สวัสดีค่ะเถ้าแก่สันต์ เถ้าแก่เนี้ย” กัญญาภรณ์พนมมือไหว้เจ้าของบ้าน
“นั่งสิ” เถ้าแก่สันต์รับไหว้ ก่อนเชิญให้นั่ง
“หนูชื่อแพรค่ะ เป็นลูกพ่อพจน์ ลูกหนี้ของเถ้าแก่ค่ะ”
กัญญาภรณ์แนะนำตัว
“ฉันรู้แล้วว่าหนูคือใคร ไม่อย่างนั้นคงไม่ตั้งเงื่อนไขให้มาเป็นเมียลูกชายฉันหรอก” สันต์ตอบกลับว่าที่ลูกสะใภ้ที่ตนหมายปองให้สิงหนาท “ว่าแต่หนูมาหาฉันทำไม”
“หนูจะมาพูดเรื่องหนี้ค่ะ หนูขอผัดผ่อนหนี้ไปก่อนได้ไหมคะ หนูจะหาดอกเบี้ยมาให้เถ้าแก่...”
“คงไม่ได้หรอกเพราะนี่ก็เลยเวลาตามสัญญามาเกือบหกเดือนแล้ว ฉันให้โอกาสพจน์มาตลอดนะ แต่พจน์ไม่ทำตามสัญญา ฉันจึงต้องยึดที่ดินทั้งหมดที่พจน์เอามาจำนอง” เถ้าแก่สันต์พูดแทรก มองหน้ากัญญาภรณ์ “หนูก็ต้องเข้าใจฉันด้วยนะ เงินฉันตั้งสิบล้านที่ให้พจน์ไปก็ไม่ใช่น้อยๆ ทรัพย์สินที่เอามาจำนองราคาทั้งหมดก็ไม่ถึงสิบล้าน แต่ที่ให้เพราะฉันช่วยพจน์ หนูคงไม่รู้ว่า มีครั้งนึงที่บ่อนพจน์โดนทหารลง ต้องเสียเงินค่าปรับไปตั้งเท่าไหร่ ไหนจะประกันตัวให้คนเล่นอีก วันนั้นฉันช่วยพจน์ไปเกือบล้านนะ ฉันก็ช่วยพจน์สุดๆ แล้ว ผ่อนปรนให้มากกว่าคนอื่นด้วย”
กัญญาภรณ์เงียบกับประโยคที่ได้ยิน เรื่องบิดาเปิดบ่อนเธอยังไม่รู้ แล้วเรื่องนี้จะรู้ได้อย่างไร แต่ก็คิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลก ข่าวเรื่องตำรวจ ทหารบุกจับบ่อนการพนันในกรุงเทพหรือตามต่างจังหวัดออกข่าวบ่อยๆ การจ่ายเพื่อประกันตัวก็ต้องเกิดขึ้นอย่างไม่มีทางเลือก
“เถ้าแก่ก็ไม่อยากยึดที่ดินของพจน์นะ เห็นว่าที่ดินเป็นมรดกตกทอดมาหลายรุ่น แต่หนูแพรก็ต้องเข้าใจเจ้าของเงินอย่างฉันกับเถ้าแก่ด้วยนะ ความเมตตาปรานีก็อีกเรื่อง สัญญากู้ยืมเงินมันก็อีกเรื่อง ทุกคนก็ต้องเข้าใจกฎกติกา ตอนที่พจน์เดินมาหาเถ้าแก่เพื่อขอความช่วยเหลือ พจน์ก็เข้าใจตามข้อตกลง พอถึงเวลาก็ต้องใช้หนี้ หนูว่าที่ฉันพูดถูกไหม” ปานวาดพูดต่อจากสามี
“ค่ะ ถูกค่ะ” กัญญาภรณ์เข้าใจดี แต่ทำใจไม่ได้ที่จะไปเป็นเมียลูกชายเถ้าแก่สันต์ ที่ไม่รู้จักหน้าตา ไม่เคยพบหน้า ไม่เคยพูดคุย มันเป็นเรื่องยากจะยอมรับได้ “แต่หนูขอโอกาสเถ้าแก่สันต์อีกสักครั้งนะคะ ขอให้หนูเวลาสักอาทิตย์ หนูจะหาดอกมาให้ก่อน ส่วนเงินต้นหนูจะทยอยคืนให้เป็นรายเดือนค่ะ หนูรับข้อเสนอของเถ้าแก่สันต์ไม่ได้จริงๆ ค่ะ”
“เงินมันเยอะนะหนูแพร ผ่อนเป็นรายเดือนก็ต้องเดือนละเป็นแสนนะ” เถ้าแก่สันต์บอกเสียงเรียบ รู้อยู่แล้วว่ากัญญาภรณ์ไม่ยอม “ส่วนดอกเบี้ยตั้งแต่ไม่ได้ส่งดอกให้จนถึงวันนี้ก็หกแสนนะ ถ้าหนูหาได้ทันวันมะรืน ฉันก็จะผ่อนผันให้”
“หกแสน!” กัญญาภรณ์กับชุติมาพูดพร้อมกัน น้ำเสียงบอกถึงความตกใจเต็มที่
“ใช่หกแสน” เถ้าแก่สันต์ย้ำ “ฉันไม่ได้ตั้งค่าดอกเบี้ยขึ้นมาลอยๆ เพื่อให้หนูยอมเป็นเมียลูกชายฉัน ที่มันเยอะเพราะมันเป็นดอกเบี้ยสะสม แล้วเงินค่าประกันตัวพจน์กับผีพนันที่ฉันเอาเงินไปประกันตัวออกมา และเคลียร์พื้นที่อีก พจน์บอกเองว่าให้ฉันร้อยละยี่สิบ หกแสนนี่คือหยวนๆ นะ”
“หนูคงหาเงินหกแสนในวันสองวันไม่ได้หรอกค่ะ ขอผลัดไปเดือนหน้าได้ไหมคะ ถือว่ากรุณาหนูเถอะค่ะ” กัญญาภรณ์ยกมือไว้สองสามีภรรยา
“นี่ก็กรุณามากแล้วนะ ถ้าฉันไม่กรุณาฉันคงยึดที่ดินทั้งหมดของพจน์ไปตั้งแต่เดือนที่แล้ว ไม่ยืดเยื้อมาถึงเดือนนี้หรอก เอาตามนี้ก็แล้วกัน ถ้าหนูหาเงินค่าดอกเบี้ยได้ฉันก็จะล้มข้อเสนอทั้งหมด แล้วให้หนูผ่อนหนี้ได้ แต่ถ้าหนูหาไม่ได้ หนูต้องมาเป็นเมียลูกชายฉัน” เถ้าแก่สันต์สรุป “ฉันพูดแค่นี้นะ ขอตัวก่อนได้เวลาพักผ่อนของฉันแล้ว”
เถ้าแก่สันต์กับภรรยาเดินออกจากห้องนั่งเล่นทันทีที่พูดจบ คนเป็นลูกหนี้ถอนหายใจพรืดยาวด้วยความกลัดกลุ้ม เงินหกแสนไม่ใช่น้อยๆ ไม่มีคาถาวิเศษเสกเงินได้ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ได้เงินจำนวนนี้ไว้ในมือ กัญญาภรณ์กับชุติมาเดินทางกลับบ้านด้วยความผิดหวัง และความหวังที่จะหาเงินหกแสนก็ลิบหรี่ กัญญาภรณ์คิดไม่ออกว่า จะหาเงินก้อนนี้จากที่ใด การเจรจาที่เหมือนจะดี กลับกลายเป็นว่าสร้างความหนักใจให้กัญญาภรณ์มากขึ้น
“พี่จะหาเงินได้เหรอ เงินหกแสนนะไม่ใช่หกบาทที่จะไปยืมใครแล้วได้เลยน่ะ” ชุติมาถามลูกพี่ลูกน้องที่นั่งหน้าเครียดขณะขับรถกลับบ้าน
“คิดไม่ออก” กัญญาภรณ์ตอบตามตรง เธอมีเพื่อนสนิทไม่กี่คน แล้วไม่กี่คนที่ว่านี้ไม่ได้ร่ำรวยมีเงินให้ยืมหลักแสน แค่หลักพันยังพอช่วยกันได้ สมองเธอเกิดตันขึ้นมาทันใด
“ถ้าพี่หาไม่ได้ พี่ต้องไปเป็นเมียนายหัวสิงห์นะ” ชุติมาพูดเชิงตอกย้ำ “นายหัวสิงห์โหดมากนะพี่ คนในพื้นที่รู้จักกิตติศัพท์ดีเลยแหละ คนงานกลัวกันหงอเลย ใครมีเรื่องด้วยโดนทั้งเตะ ทั้งถีบ ทั้งต่อยจนน่วมไปทั้งตัวต้องหามส่งโรงบาล ไม่มีใครกล้ายุ่งกับนายหัวสิงห์สักคน”
ชุติมามีความคิดว่า หากกัญญาภรณ์เป็นเมียนายหัวสิงห์จริง คงได้ฆ่ากันตายแน่นอน เพราะคนหนึ่งก็ร้าย อีกคนหนึ่งก็ไม่ยอม เธอไม่อยากคิดภาพเลย
“ไม่มีทางยอมหรอก ใครจะไปยอมเป็นเมียคนที่ไม่รู้จัก แล้วที่หาเมียไม่ได้จนต้องให้พ่อหาให้ หน้าตาอีตานายหัวสิงห์คงดูไม่ได้ สิวเขรอะเต็มหน้า อ้วนลงพุง ตัวดำแน่ๆ เถ้าแก่เลยใช้วิธีนี้หาเมียให้ลูกตัวเอง”
ชุติมาหันมามองหน้ากัญญาภรณ์ เธออยากพูดออกไปเหลือเกินว่า นายหัวสิงห์คนนี้ไม่ได้เป็นไปตามที่กล่าวมา ทุกอย่างตรงกันข้าม แต่ก็เลือกจะไม่พูดขับรถมุ่งหน้ากลับบ้าน
“ถ้าพี่ยืนกรานว่าไม่ยอมก็ต้องหาเงินหกแสนมาให้เถ้าแก่สันต์วันมะรืนนะพี่” ชุติมาย้ำพูด
“เออรู้แล้ว แกจะย้ำทำไมเนี่ย คนยิ่งกลุ้มๆ อยู่”
คราวนี้กัญญาภรณ์เหวี่ยงใส่ชุติมา
“ฉันไม่ได้ตอกย้ำให้พี่คิดมากหรือกลุ้มใจนะ ฉันเป็นห่วงพี่ เป็นห่วงลุงพจน์ ป้าหยุดแล้วก็แม่ด้วย เพราะทุกคนต่างก็ได้รับผลกระทบกับหนี้ก้อนนี้ทั้งนั้น” ชุติมาให้เหตุผล “ถ้าฉันมีใครให้หยิบยืมเงินหรือว่ากู้ได้ล่ะก็ ฉันทำทันทีเลยพี่ แต่ถ้าเงินสูงขนาดนี้ฉันก็จนปัญญา”
ชุติมาก็เหมือนกัญญาภรณ์ ให้ยืมเงินหลักพันหรือหลักหมื่นต้นๆ ยังพอหาได้ แต่จะให้หาหลักครึ่งล้านภายในสองวันคงหาไม่ทันแน่นอน
“พี่ขอโทษ พี่อารมณ์ไม่ดี” กัญญาภรณ์รู้ตัว “แต่มันก็ยากจริงๆ แหละ ยังคิดไม่ออกเลยเนี่ยว่าจะยืมใครดี”
กัญญาภรณ์ถอนหายใจออกมาพรืดยาว ยังคิดหาทางออกไม่ได้
ระหว่างทางกัญญาภรณ์ใช้ความคิดอย่างหนักว่า จะหาเงินจากไหนมาจ่ายค่าดอกเบี้ย ยิ่งคิดยิ่งตัน หาทางออกไม่เจอ ขณะรถกำลังแล่นกลับบ้าน เสียงมือถือกัญญาภรณ์ดังขึ้น
“ว่าไงพ่อ” คนโทรมาหาคือพจน์ ถามจบคำตอบก็มา พอได้รับคำตอบใบหน้ากัญญาภรณ์อาบไปด้วยความตกใจ “แม่ฆ่าตัวตายหรอพ่อ พ่ออย่าพูดเล่นนะ”
“ได้ๆ หนูจะรีบไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย” กัญญาภรณ์พูดเสียงรน
“มีอะไรพี่แพร”
“แกไปโรงบาลมิราเคิลกรุงเทพตอนนี้เลย แม่ฉันฆ่าตัวตายตอนนี้อยู่ที่นั่น”
ชุติมาตกใจ รีบขับรถไปยังโรงพยาบาลดังกล่าวทันที ทั้งสองไม่คิดว่า สายหยุดจะคิดสั้นทำเช่นนี้