ย้อนอดีต 1.4

1434 คำ
ณ บ้านเถ้าแก่สันต์           บ้านหลังใหญ่ตั้งตระหง่านบนเนื้อที่กว่าสองไร่ เป็นบ้านที่ปลูกสร้างมาแล้วสองปี พื้นที่ใช้สอยในบ้านร่วมเจ็ดร้อยตารางเมตร พื้นที่โดยรอบเป็นต้นไม้น้อยใหญ่ปลูกให้ความร่มรื่น มีสนามหญ้าไว้สำหรับนั่งพักผ่อนยามเช้าหรือเย็น           ภายในบ้านตกแต่งเรียบง่าย ส่วนใหญ่เป็นเฟอร์นิเจอร์จากบ้านหลังเก่าถูกนำมาไว้ที่นี่ รวมถึงของโบราณหายากที่เจ้าของบ้านสะสมมาหลายสิบปีก็ย้ายมาไว้บ้านหลังนี้เช่นกัน จะซื้อเพิ่มเติมก็คงเป็นโคมไฟระย้าราคาเรือนแสน และของตกแต่งบ้านอีกสามสี่อย่าง           ยามบ่ายของทุกวันเถ้าแก่สันต์เจ้าของบ้านจะนั่งดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่น นั่งดูไปจิบชาไป บางครั้งปานวาดหรือที่ใครๆ เรียกว่าเถ้าแก่เนี้ยจะเข้ามานั่งข้างๆ ชวนคุยและดูทีวีไปด้วยกัน ทว่าบ่ายวันนี้ต่างกับทุกวัน เพราะในห้องนอกจากจะมีภรรยานั่งร่วมห้องด้วย ยังมีลูกชายหัวแก้วหัวแหวนนั่งอยู่ใกล้ๆ และกำลังตกใจกับเรื่องที่บิดากำลังให้ทำ           “พ่อว่าไงนะ จะให้ผมแต่งงานมีเมียงั้นหรอ” สิงหนาทหรือนายหัวสิงห์ วัยสามสิบห้าปีลูกชายคนเดียวของเถ้าแก่สันต์และนางปานวาดเอ่ยด้วยน้ำเสียงตกใจที่รู้ว่า บิดาต้องการให้ตนทำสิ่งใด           “แกจะตะโกนทำไม ทำเป็นตกอกตกใจไปได้” เถ้าแก่สันต์รู้อยู่แล้วว่าสิงหนาทต้องตกใจและคงค้านหัวชนฝา แต่ไม่ว่าจะค้านหนักแค่ไหน คราวนี้เขาไม่มีวันยอมเด็ดขาด “แค่ฉันให้แกแต่งงานมีเมียแค่เนี่ย ทำหน้าอย่างกับให้ไปตาย”           “ไม่เอานะพ่อ ผมไม่อยากมีเมีย” สิงหนาทปฏิเสธทันที           “ทำไมถึงไม่อยากมี เมื่อก่อนแกกระหายจะมีเมียมากไม่ใช่เหรอ หรือว่าแกเปลี่ยนใจเป็นเกย์” คนฟังถึงกับของขึ้นที่ถูกกล่าวหาแบบนี้ โดยเฉพาะออกมาจากปากบิดาที่รู้ทั้งรู้ว่า ตนนั้นแมนทั้งแท่ง           “พ่อก็รู้ว่าผมไม่ใช่เกย์ แล้วพ่อก็รู้ด้วยว่าทำไมผมถึงไม่อยากมีเมีย” สิงหนาทโต้บิดา “ผมอายุแค่สามสิบห้าเองนะพ่อ ผมไม่อยากมีเมีย ถ้าเมียคนนั้นไม่ใช่คนที่ผมหามา ผมซื้อกินอย่างทุกวันนี้ก็ไม่เห็นเดือดร้อน”           “มันไม่เดือดร้อนแกแต่เดือดร้อนฉันกับแม่แกไงล่ะ”           “เดือดร้อนยังไงพ่อ” สิงหนาทถามกลับ           “ก็กว่าจะรอแกมีเมียเองอีกกี่ปีกว่าจะมีหลานให้ฉันอุ้มอีก ฉันก็แก่ขึ้นไปทุกปี ฉันรอแกอย่างไม่มีกำหนดไม่ได้หรอก แกต้องมีเมียตามที่ฉันบอก แกจะได้มีหลานให้ฉันกับแม่แกเลี้ยง” เถ้าแก่สันต์ไม่เคยบังคับลูกชาย เขาปล่อยให้ทำตามใจอิสระมาตลอด แต่คราวนี้เขารอต่อไปไม่ได้จึงต้องบังคับให้ทำตามความต้องการของตนบ้าง “ไม่ ผมไม่ทำตามที่พ่อบอกแน่นอน ยังไงผมก็ไม่มีเมีย ถ้าเมียคนนั้นผมไม่ได้เป็นคนเลือกเอง” น้ำเสียงสิงหนาทแข็งขึงไม่ต่างกับบิดา ตามองตาอย่างไม่มีใครยอมใคร “สิงห์ลูก ทำเพื่อแม่สักครั้งไม่ได้เหรอลูก แม่ไม่เคยขอร้องอะไรสิงห์เลยนะ ตามใจมาตลอด แต่ครั้งนี้แม่ขอนะลูก แม่อยากมีหลาน แม่อยากเลี้ยงหลาน...ฮือ” ปานวาดที่นั่งฟังอยู่นานพูดขึ้นบ้าง พูดไปน้ำตาไหลไป สิงหนาทใจอ่อนยวบเมื่อเห็นมารดาร้องไห้ และยิ่งได้ยินคำขอร้องของมารดาด้วยแล้ว เขาใจไม่ดีเอาเสียเลย “แล้วหลานที่แม่อยากได้ก็ต้องเกิดกับผู้หญิงที่พ่อหาให้ด้วย แกก็รู้นี่ว่า ถ้าพ่อไม่เลือกเองผลจะเป็นยังไง” ประโยคนี้เองที่ทำให้สิงหนาทสะอึกไปคำโต “ดูสิดู แม่แกเคยร้องไห้ไหม แต่ต้องมาร้องไห้ขอร้องแกเนี่ยนะ” เถ้าแก่สันต์เห็นเมียร้องไห้ก็โวยใส่ลูกชาย โอบบ่าภรรยาสุดที่รักแล้วปลอบโยน “ไม่ต้องร้องไห้นะคุณ มันไม่ทำตามก็ช่างหัวมัน ถือว่าเราบุญน้อยคงไม่มีโอกาสเลี้ยงหลาน อีกปีสองปีเราไปบวชกันดีกว่า ปลงซะใจจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน ปล่อยให้มันอยู่คนเดียว” “ฮือ...พี่สันต์...ฮือ...ฉันไม่อยากบวช ฉันอยากเลี้ยงหลาน...ฮือ” ปานวาดร้องไห้โฮกอดและซบหน้ากับอกของสามี “โธ่วาด...เราคงไม่มีบุญเลี้ยงหลานแน่ๆ ลูกของเราไม่ยอมมีเมีย ไม่ยอมเป็นผัวผู้หญิงที่เราหาให้ แล้วจะมีหลานได้ยังไง ปลงเถอะนะวาด ปลงซะ” เถ้าแก่สันต์น้ำตาไหล มือเหี่ยวย่นตามวัยเช็ดน้ำตาตนเอง ก่อนไปเช็ดน้ำตาของเมียรัก “ฮือ...พี่สันต์” ปานวาดร้องไห้หนักขึ้น สิงหนาทเห็นบิดามารดากอดกันร้องไห้ก็ได้แต่ถอนหายใจพรืดยาว รู้สึกว่าตนเองเป็นคนอกตัญญูไปในทันที “ฮือ...ฮือ ฉันคงมีบุญมาแค่นี้ แค่ได้เลี้ยงลูก แต่ไม่ได้เลี้ยงหลานเหมือนคนอื่นเขา...ฮือ...ช้ำใจเหลือเกิน...ฮือ” เสียงร้องไห้ของปานวาดดังมากขึ้น กรีดหัวใจคนเป็นลูกเหลือเกิน “ไม่เอาน่าปาน ไม่ร้องไห้นะ เราเข้าวัดทำใจและปลงเรื่องนี้ดีกว่า กว่าจะได้อุ้มหลานเราคงเลี้ยงหลานไม่ได้แล้ว เพราะแก่หงำเหงือก” เถ้าแก่สันต์พูดต่อ ร้องไห้ตามเมีย สิงหนาทยิ่งได้ยินและเห็นน้ำตาพ่อกับแม่ก็ยิ่งสำนึกผิด “พี่สันต์...ฮือ” “โอเคครับ มีก็มีเมียน่ะ” สิงหนาทจำยอมและจำใจ “จริงนะ” ปานวาดหยุดร้องไห้ดีดตัวนั่งหลังตั้งตรง ถามลูกชายด้วยรอยยิ้มสีหน้าต่างกับก่อนหน้านี้ลิบลับ “จริงครับ” สิงหนาทตอบ “ไม่หลอกแม่นะสิงห์” คนเป็นแม่ถามไม่เลิก “ไม่หลอกครับ” คนเป็นลูกตอบย้ำ “แต่ต้องมีข้อแม้นะครับ” “ข้อแม้อะไร” สองสามีภรรยาถามขึ้นพร้อมกัน “จะไม่มีงานแต่งงาน ไม่มีการป่าวประกาศให้ใครรู้ทั้งนั้นว่า ผมกับผู้หญิงคนนั้นเป็นผัวเมียกัน ผู้หญิงคนนั้นจะเป็นแค่เมียลับของผมเท่านั้น พอเธอท้องแล้วคลอดลูกออกมา พ่อก็ให้เงินเธอไปตั้งตัวสักก้อน ผมจะเลี้ยงลูกของผมเอง แล้วต่อจากนั้นพ่อกับแม่ก็ไม่มีสิทธิ์บงการชีวิตของผมอีกต่อไป ตกลงไหมครับ” สิงหนาทยอมอ่อนให้บิดามารดามากแล้วก็ต้องมีข้อแม้กันบ้าง จะได้ไม่รู้สึกว่าตนเองพ่ายแพ้ย่อยยับ “ได้สิ ไม่มีปัญหา ขอแค่แกยอมก็พอ” เถ้าแก่สันต์ตกลง ปานวาดมองหน้าสามีที่หยักคิ้วให้ “เอาตามนี้นะ วันมะรืนคือวันส่งตัว แกเตรียมตัวเป็นพ่อพันธ์ได้เลย” “พ่อทำไมมันเร็วจัง บอกปุ๊บมีปั๊บ” ลูกชายทำเสียงตกใจ “ก็พ่อใจร้อน จะว่าไปมีวันไหนแกก็ต้องมีเมียเหมือนกัน” “ตามใจพ่อล่ะกัน งั้นผมไปทำงานต่อนะครับพ่อ” สิงหนาทลุกขึ้นยืนก่อนเดินออกจากห้องนั่งเล่นไปอย่างไม่สบอารมณ์ ทันทีที่ประตูห้องนั่งเล่นปิดสนิท ปานวาดรีบพูดในเรื่องที่ตนอยากพูดแทรกใจแทบขาด “มันจะดีหรือพี่สันต์ไปตกลงกับสิงห์แบบนั้น” “เอาน่า ตกลงไปก่อนแล้วค่อยตลบหลังทีหลัง” เถ้าแก่สันต์กระหยิ่มยิ้ม “แน่ใจนะพี่” ปานวาดถามซ้ำ “เชื่อหัวเถ้าแก่สันต์เถอะทุกอย่างเป็นไปตามที่เราคิดไว้แน่นอน” เขาพูดอย่างมั่นใจ “อ้อ...แล้วอย่าลืมล่ะ เดี๋ยวแพรมา ทำตามแผนด้วยนะ สิงห์ยอมแล้วเราก็ต้องทำให้แพรยอมด้วย” ก่อนหน้าสิงหนาทจะเข้ามาในห้องนั่งเล่นหนึ่งนาที พจน์โทรศัพท์มาหาเขาว่า กัญญาภรณ์กำลังมาหาตนที่บ้าน ซึ่งอยู่ห่างกันมากพอสมควร กว่าจะมาถึงก็ใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมงครึ่ง สองสามีภรรยาจึงพูดคุยกันว่า อย่างไรเสียวันนี้ก็ต้องทำให้สิงหนาทยอมตกลงมีเมียให้ได้ ผลออกมาคือทั้งสองทำได้ “จ้ะพี่ เชื่อฝีมือฉันเถอะ” ปานวาดรีบเช็ดน้ำตา หยิบทิชชู่เปียกออกมาหนึ่งแผ่นแล้วเช็ดหน้าเช็ดตา หยิบตลับแป้งมาซับตามใบหน้าให้ดูเป็นปกติ กลบคราบน้ำตาก่อนหน้าจนสิ้น แล้วนั่งรอการมาของกัญญาภรณ์
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม