บทที่ 2
เสียงแส้กระทบผิวหนังดังสนั่น เสียงกรีดร้องของสตรีดังออกมาจากจวนสกุลหมิ่ง ชาวบ้านแถวนั้นพากันมาชะเง้อมอง แต่ก็ต้องพากันเร่งเดินผ่าน เมื่อเห็นว่าหน้าประตูทางเข้าจวนมีทหารจากวังหลวงมายืนรักษาการอยู่ แม้จะอยากรู้แต่ก็ทำได้แค่คาดเดาไปต่าง ๆ นา ๆ
ตาหงส์ปรายตาลงต่ำ มือขาวนวลยกชาขึ้นจิบอย่างสบายอารมณ์ มินึกเลยว่าคุณหนูในห้องหอเยี่ยงหมิ่งหุ้ยจะทนทายาดได้ถึงเพียงนี้ นางทนการเฆี่ยนจากชายคนรักของตนได้มานับชั่วยาม มีแต่เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแต่กลับมิยอมรับผิด
“เปิ่นไท่จื่อเฟยว่านางคงไม่ยอมรับผิดแล้วล่ะ” ไท่จื่อเฟยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
“นางต้องรับ นางรับแน่ ๆ กระหม่อมทำให้นางรับสารภาพได้”
หยงอิ่งจงตอบด้วยความร้อนใจ รีบยกตวัดปลายแส้ด้วยความแรงมากกว่าครั้งก่อน หวังให้หมิ่งหุ้ยรีบรับสารภาพ ก่อนที่ไท่จื่อเฟยจะหมดความอดทน
“หยุด!” หลังจากปลายแส้กระทบแผ่นหลังนักโทษ พระนางก็สั่งให้หยงอิ่งจงหยุดมือ พระนางเบื่อที่จะรอแล้ว
“แต่”
พระนางไม่สนใจสิ่งที่องครักษ์จะเอ่ย ร่างระหงลุกจากเก้าอี้เดินไปนั่งเบื้องหน้าร่างบางสะบักสะบอมโซกไปด้วยเลือด
“เปิ่นไท่จื่อเฟยถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้ายอมรับหรือไม่ว่าลงมือวางยาเพื่อลอบสังหารเปิ่นไท่จื่อเฟย”
“ไม่!” หมิ่งหุ้ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แม้จะถูกเฆี่ยนด้วยแส้จนหลังแตกยับ ในคราแรกหมิ่งหุ้ยรู้สึกเจ็บ ปวด แสบ จนแทบทนไม่ได้ แต่ไม่มีสักเสี้ยวที่คิดจะรับผิด แต่พอหลังจากปลายแส้ครั้งที่ยี่สิบฟาดลงมา นางก็ไม่รู้สึกสิ่งใดที่แผ่นหลังบอบช้ำอีกเลย
“ต่อให้ทรมานข้า ตัดแขนตัดขาข้าแบบที่ทำกับคนอื่นในครอบครัวข้า ข้าก็ไม่มีวันยอมรับผิด”
ร่างสตรีสูงศักดิ์โน้มลงใกล้นักโทษ ใบหน้างดงามราวกับเทพธิดาแสยะยิ้มร้าย ก่อนที่จะแนบริมฝีปากแดงชาดลงใกล้ใบหูของหมิ่งหุ้ย
“ตัดแขนขาเจ้า…เจ้าก็จะตายไวขึ้น เปิ่นไท่จื่อเฟยมิคิดทำเยี่ยงนั้นหรอก เปิ่นไท่จื่อเฟยอยากให้เจ้าทรมานจนลมหายใจสุดท้าย เฝ้าคิดว่าเหตุใดถึงเกิดเรื่องราวเช่นนี้กับตนเองและครอบครัว ก็แหม่…ใครใช้ให้เจ้าแย่งของรักของเปิ่น เปิ่นไท่จื่อเฟยมิคิดจะใช้บุรุษร่วมกับผู้ใดหรอก”
แย่งของรัก? ไม่ใช้บุรุษร่วมผู้ใด?
ไท่จื่อที่อายุเพียงแปดชันษา ไม่มีสนมหรือชายาใดอื่นนอกจากไท่จื่อเฟย แล้วนางจะไปใช้บุรุษร่วมกับพระนางเมื่อใด หมิ่งหุ้ยฟังคำของไท่จื่อเฟยแล้วคิดตามก็ต้องตาเบิกโพลง นางหันไปมองเพชฌฆาตที่ถือแส้ยืนอยู่ไม่ไกลด้วยสายตาตกใจ หรือว่าทั้งสองคน
ไท่จื่อเฟยมองตามสายตาของหมิ่งหุ้ยแล้วก็หัวเราะออกมาแผ่วเบา
“เป็นอย่างที่เจ้าคิด และวันนี้ต่อให้เจ้ารับสารภาพเปิ่นไท่จื่อเฟยก็ไม่คิดจะปล่อยเจ้าไป” ร่างระหงลุกขึ้นเต็มความสูง “เด็ก ๆ โยนนางลงหลุมนั้นซะ”
“ไท่จื่อเฟย กระหม่อมขอโอกาสให้นาง” หยงอิ่งจงรีบวิ่งมาคุกเข่าตรงหน้าโขกศีรษะลงกับพื้นเสียงดัง
“เปิ่นไท่จื่อเฟยให้โอกาสนางมามากพอแล้วเจ้าก็เห็น เป็นนางมิคิดจะรับน้ำใจจากเปิ่นไท่จื่อเฟย”
หยงอิ่งจงนิ่งเงียบ เขาเหล่สายตามองขันทีลากก้อนเลือดสีแดงไปตามพื้น ก่อนจะยกขึ้นและโยนลงไปในหลุมที่ก่อนหน้านี้เขาโยนศพคนในจวนสกุลหมิ่งลงไป
จริงอย่างที่พระนางว่า พระนางให้โอกาสหมิ่งหุ้ยแล้ว แต่เป็นนางที่ไม่คิดจะรับเอาไว้เอง ตัวเขาเองก็พยายามอย่างสุดกำลังแล้ว หากยื่นมือเข้าไปช่วยมากกว่านี้ มิแคล้วตัวเขาและตระกูลหยงต้องถูกดึงลงหลุมนั้นไปด้วย
ตุ้บ!
เสียงสิ่งของบางอย่างตกกระทบลงไปในหลุม หยงอิ่งจงหลับตาลง
เขาและหมิ่งหุ้ยสิ้นวาสนาต่อกันเสียแล้ว
แขนบอบบางไหวระริกเอื้อมไปโอบกอดเอวร่างของมารดาเอาไว้แน่น แม้ร่างนี้จะไร้ซึ่งไออุ่น เต็มไปด้วยความเย็นจนเหน็บหนาว หมิ่งหุ้ยก็ยังโอบกอดเอาไว้แน่น
“ท่านแม่ ข้าจะแก้แค้นให้พวกท่าน ต่อให้ต้องแล่เนื้อเถือหนังของตนแลกกับการได้ล้างแค้นให้กับสิ่งที่พวกท่านไม่ได้ก่อ ข้าขอสาบาน ต่อให้ต้องหมดลมหายใจ ข้าก็จะล้างแค้นให้พวกท่านให้ได้”
น่าเสียดายสิ่งที่นางตั้งใจและตั้งปณิธานเอาไว้นั้นคงไม่อาจสำเร็จดั่งใจหวัง สภาพร่างกายของหมิ่งหุ้ยในตอนนี้ไม่ต่างจากซากศพอื่น ๆ ที่ไร้ลมหายใจอยู่ภายในหลุมนี้เท่าใดนัก หลังจากที่ไท่จื่อเฟยเดินทางมาถึงนางก็ยังมิยอมรับผิดในสิ่งที่ตนไม่ได้ก่อ จึงถูกสั่งเฆี่ยนอย่างหนัก คนที่ลงมือก็มิใช้ใคร คนรักของนางเอง นางถูกโยนลงมาในหลุมเดียวกับร่างที่เหลือในครอบครัว หมิ่งหุ้ยเหลือเพียงแต่แค่รอเวลาว่าลมหายใจเฮือกสุดท้ายของนางจะเกิดขึ้นเมื่อใด แต่ก็คงไม่ต้องรอนาน อีกไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้นางก็จะตามทุกคนในตระกูลหมิ่งที่ล่วงหน้าไปรอที่ประตูทางเข้ายมโลกแล้ว
“ท่านแม่ ท่านพ่อ ท่านพี่ พวกเราคนตระกูลหมิ่งมิเคยมักใหญ่ใฝ่สูง ทำการค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ เลี้ยงดูคนในจวน ไม่เคยก้าวล่วงผู้ใดให้แค้นเคือง แต่ไยสวรรค์ถึงไม่คุ้มครองคนดี ชายโฉดหญิงชั่วสองคนนั้นป่านนี้คงเสวยสุขที่ตัดเสี้ยนหนามอย่างข้าทิ้งได้แล้ว”