บทที่ 1
ดวงตากลมโตนองไปด้วยหยาดน้ำตา นางเพ่งมองใบหน้าบุรุษที่ยืนอยู่เบื้องหน้าผ่านม่านน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม
“เจ้าจะยอมรับหรือไม่ว่าเจ้าวางยาพระชายา”
“อึก” ดวงหน้าเปรอะเปื้อนเงยขึ้นตามแรงรั้งของฝ่ามือหนา หมิ่งหุ้ยเม้มปากแน่นราวกับจะบอกว่าไม่ว่าคนตรงหน้าจะใช้วิธีใดก็ไม่สามารถง้างปากให้นางรับสารภาพความผิดร้ายแรงที่นางไม่ได้ก่อ
ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้สักชั่วยาม ให้นางรับสารภาพสิ่งใดนางยอมหมด แต่หลังจากเดินเข้ามาในจวนแล้วพบกองร่างไร้ซึ่งลมหายใจของคนทั้งหมดในตระกูล ในยามนี้คงมีแต่ความตายเท่านั้นที่นางต้องการ
มือหนาบีบใบหน้าเล็กแรงขึ้นตามแรงโทสะ เขาไม่เข้าใจ นางก็เห็นแล้วว่าจะเกิดอะไรต่อไปกับตนเอง ทำไมจึงไม่ยอมรับความผิดแต่โดยดี
“ข้ามิได้ทำอย่างที่ท่านกล่าวหา” หยาดน้ำตายังคงไหลรินอาบแก้มนวล
“หากเจ้ายอมรับ ข้าจะหาทางให้เจ้ารอด” หยงอิ่งจงก้มลงกระซิบแผ่วเบาให้ได้ยินเพียงสองคนเท่านั้น
“หลังจากที่ท่านสังหารบิดาข้า มารดาข้า พี่ชายข้า น้องชายข้า แม้แต่เสี่ยวหลงที่อายุเพียงห้าปีท่านยังทำได้ลงคอ ท่านยังคิดว่าข้าจะยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างนั้นหรืออิ่งจง ”
“ถ้าเจ้ายอมรับผิดกับสิ่งที่ก่อ ไท่จื่อเฟยรับปากข้าว่าจะไว้ชีวิตเจ้า” หยงอิ่งจงตอบเสียงขื่น เขาจำเป็นต้องสังหารคนทั้งหมดในจวนสกุลหมิ่งเพื่อให้ไท่จื่อเฟยไว้ชีวิตนางอันเป็นที่รัก แล้วตอนนี้เขาก็กำลังรอคำสารภาพผิดของนางอยู่ หากนางรับผิดแต่โดยดี
นางก็จะมีลมหายใจต่อไปนั่นคือเงื่อนไขที่พระนางขอเอาไว้ แต่ความผิดร้ายแรงลอบวางยาเชื้อพระวงศ์โทษประหารทั้งตระกูลมิอาจละเว้นได้
“ท่านทำได้อย่างไร” หมิ่งหุ้ยถามชายคนรักเสียงสั่น นางรักบุรุษใจอำมหิตผู้นี้ไปได้อย่างไรกัน บิดามารดาของนางเองก็รักและเอ็นดูเขาราวกับบุตรชายคนหนึ่ง อีกทั้งต้นเดือนหน้าก็จะถึงพิธีหมั้นหมายระหว่างเขาและนางแล้ว แล้วไยเขาทำเยี่ยงนี้ได้ลงคอ นี่หรือคนที่นางรัก คนที่นางหวังจะฝากชีวิตไว้ในมือเขา
“หุ้ยเอ๋อร์ เจ้ายอมรับผิดเถิด หลักฐานทั้งหมดกรมวังตรวจสอบจนหมดแล้ว ท่านป้าก็ยอมรับว่าเป็นคนจัดหายาให้เจ้า และเจ้าก็เป็นคนลงมือ”
หมิ่งหุ้ยส่ายหน้าทั้งน้ำตา นางหันไปมองสภาพศพของมารดาที่ถูกโยนอยู่ในหลุมพร้อมกับร่างของคนอื่น ๆ มือทั้งสองข้างถูกตัดขาด เลือดท่วมไปทั้งร่างจนจำเค้าเดิมแทบไม่ได้ มารดาของนางถูกทรมานขนาดนั้น ต่อให้บอกว่าวางยาเพื่อสังหารพระสงฆ์องค์เจ้า มารดาของนางก็คงยอมรับหมดเพื่อไม่ต้องถูกทรมานต่อ
“หุ้ยเอ๋อร์ ได้โปรดยอมรับผิดเถิด โทษหนักจะได้กลายเป็นเบา” หยงอิ่งจงอ้อนว้อน เร่งให้นางรับสารภาพ หากไท่จื่อเฟยเสด็จมาถึง
ข้อตกลงที่พระนางให้ไว้ถือเป็นอันสิ้นสุด หมิ่งหุ้ยต้องถูกสังหารตามคนอื่น ๆ ในตระกูลหมิ่งตายตามตกกันไป
“ข้ามีความจำเป็นใดที่ต้องวางยาพระนาง” นางถามชายคนรักเสียงสั่น
นางออกไปตัดชุดสำหรับงานมงคลที่จะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ และก็เป็นหยงอิ่งจงเองที่กำชับนางให้ออกไปในวันนี้ มิคิดเลยว่ากลับเข้าจวนมาต้องพบเจอกับการนองเลือด และผู้ที่ลงมือก็เป็นบุรุษที่นางรักยิ่ง นางยังมิรู้ด้วยซ้ำว่าตนเองและคนตระกูลหมิ่งผิดอันใดจึงถูกคนของฝ่ายในสั่งให้ทหารองครักษ์มาเค้นหาความจริงเยี่ยงนี้
วางยาหรือ
นางกับคนตระกูลหมิ่งไม่เคยมีความแค้นต่อไท่จื่อเฟย ทั้งในตอนที่สตรีผู้นั้นเป็นเพียงคุณหนูตระกูลซ่ง จนปัจจุบันดำรงตำแหน่งพระชายาเอกของโอรสพระองค์โตของฮองเฮา กระทั่งได้พระราชทานยศเป็นไท่จื่อเฟย ตระกูลหมิ่งก็ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยว แทบจะไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนของราชวงศ์เสียด้วยซ้ำ เรื่องการเมืองที่กำลังแบ่งฝ่ายกัน ตอนนี้ตระกูลหมิ่งก็มิเคยก้าวล่วง แล้วเหตุใดถึงได้มากล่าวหานางเช่นนี้
หยงอิ่งจงก้มใบหน้าจนแนบชิดอก เขาหาเหตุผลมาแย้งกรมวังไม่ได้ หลักฐานที่มีชี้ไปที่หมิ่งหุ้ยทั้งหมด
เขาพยายามแล้ว พยายามที่จะหาหลักฐานมาแก้ต่างให้นาง แต่ไม่มีเลย เขาจึงจำต้องเลือกวิธีนี้ สละทุกคนขอแค่ให้นางยังมีชีวิตอยู่ ไท่จื่อเฟยก็มีเมตตาเหลือทางเดินให้นางแล้ว ขอแค่นางยอมรับในสิ่งที่ทำ หลังจากนี้เขาจะรับมาเข้าจวนสกุลหยง แม้จะไม่ใช่ในฐานะฮูหยินเอกอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ในคราแรก แต่อย่างน้อย ๆ เขาและนางก็จะยังได้ครองรักกัน ได้อยู่ด้วยกัน แม้นางจะได้เป็นแค่อนุก็ตาม เพราะท้ายที่สุดนางก็ยังคงเป็นนักโทษของทางการ เป็นบุตรสาวของสตรีที่วางยาเชื้อพระวงค์ ความผิดทั้งหมดจะเป็นท่านป้าที่รับเอาไว้ทั้งหมด เพราะไท่จื่อเฟยจะยอมไว้ชีวิตนางเพียงแค่หมิ่งหุ้ยยอมรับในสิ่งที่กระทำ ก็เท่านั้น
“หุ้ยเอ๋อร์”
“ข้า อึก ไม่ได้ทำ”
“เจ้า! ยังมิสำนึกอีก”
“ไท่จื่อเฟยเสด็จ”
เสียงจากด้านนอกจวนดังเข้ามาถึงด้านใน บ่งบอกว่าผู้ใดมาถึงแล้วในเวลานี้
หมิ่งหุ้ยถูกฝ่ามือหนากดศีรษะลงแนบติดกับพื้นดิน
“ว่าอย่างไรนางรับหรือไม่” เสียงหวานเอ่ยถาม นางปรายตามองสตรีที่เป็นคนรักขององครักษ์ของตน
“…”
“มิยอมรับอย่างนั้นหรือ น่าแปลกเสียจริง ทำแล้วไยถึงไม่กล้ารับผิด” ไท่จื่อเฟยทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่นางกำนัลเร่งไปจัดหามาให้อย่างแผ่วเบา พระนางคาดเดาเอาไว้อยู่แล้วหมิ่งหุ้ยไม่มีทางที่จะรับสารภาพ ดูจากที่ร่างกายนางยังมิบอบช้ำเลยแม้แต่น้อย เดาไม่ยากว่าหยงอิ่งจงมิกล้าลงมือกับหมิ่งหุ้ย พระนางจึงเดินทางมาสำเร็จโทษครั้งนี้ด้วยตนเอง ป้องกันความผิดพลาดจากความใจอ่อนขององครักษ์หน้าหยกของพระนาง
“ข้าไม่ได้ทำ ไยต้องรับ” หมิ่งหุ้ยปัดฝ่ามือหนาที่กดศีรษะของนางออก นางเงยมองหน้าคนที่บอกว่านางวางยาด้วยสายตาเต็มได้ด้วยความโกรธ
“ปากแข็งเสียจริง เฆี่ยนจนกว่านางจะพูด!” ไท่จื่อเฟยสั่งเสียงเหี้ยม
ขันทีที่ติดตามพระนางมาส่งแส้ให้กับองครักษ์คนสนิทของไท่จื่อเฟย ราวกับเป็นการบอกกลาย ๆ ว่าผู้ใดต้องเป็นคนลงมือเค้นคำตอบจากนักโทษ
หยงอิ่งจงกัดกรามแน่นแต่ก็เอื้อมมือไปรับแส้นั่นมาถือเอาไว้