แพศยา ที่ 5 สำรอกพิษร้าย

1794 คำ
แพศยา ที่ 5 สำรอกพิษร้าย ราวกับร่างจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ หมอยาเหย่วซือปรุงยาอยู่เพียงครู่ ก็นำตัวยาสีเขียวใสถ้วยใหญ่มาให้หญิงสาวดื่ม เซียวเหยากล่าวขอบคุณแล้วดื่มลงคอราวกับมันเป็นน้ำเปล่า ทั้งที่มันมีรสชาติขมจนแทบจะอาเจียนออกมาหลายต่อหลายครั้ง ความขมของมันนั้นราวกับเข็มนับพันเล่มทิ่มแทงไปตามลำคอจนปวดแปลบ “เมื่อดื่มเสร็จแล้ว แม่นางต้องนั่งสมาธิ ทำจิตใจให้สงบ ปราณสามเส้นที่จะได้รับการกระตุ้นเป็นอันดับแรก จะเป็นปราณที่ส่งต่อมาจากอวัยวะภายในช่วงทรวงอกออกสู่แขนและปลายนิ้ว” คำพูดของหมอยาดังแว่วอยู่ในหูราวกับเป็นเสียงที่ดังมาจากไกลๆ เซียวเหยาแทบจะทรงกายนั่งขัดสมาธิไม่ไหว นางรู้สึกราวกับว่าร่างกายภายในกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ กลางทรวงอกร้อนวูบวาบดั่งมีดวงไฟแผดเผา ความร้อนค่อยๆ ไล่ออกไปยังปลายแขน ตามรูขุนขนปรากฏของเหลวสีดำเหนียวมีกลิ่นเหม็นออกมาเป็นจำนวนมาก “จากนั้นปราณอีกสามเส้นจากศีรษะ...” เสียงของหมอยาขาดหายไปแล้ว หญิงสาวไม่ได้ยินเสียงสรรพชีวิตใดๆ ราวกับหูดับลง ดวงตาบอดมืด นางสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง สำรอกคราบเหนียวดำออกมาจากริมฝีปาก ดวงตา จมูก ส่งกลิ่นคาวคลุ้งราวกับกลิ่นซากศพ ถิงถิงและหลิงจวนปล่อยโฮออกมาพร้อมกับโก่งคออาเจียนด้วยไม่อาจทนกลิ่นเหม็นเน่าไหว มองสภาพของคุณหนูผู้เป็นดั่งเจ้านายเหนือหัวกำลังทุกข์ทรมานด้วยความเจ็บปวด อั๊ก! หวางเซียวเหยาสำรอกพิษออกมาอีก เวลานี้รูขุมขนทั่วร่างขับพิษออกมามากมายย้อมชุดสีน้ำตาลให้กลายเป็นสีดำอย่างน่าสะอิดสะเอียน “แม่นางได้โปรดลืมตา” อั๊ก! เซียวเหยาอาเจียนออกมาอีกไม่อาจทรงกายนั่งอยู่ได้ นางเอียงกายไปทางซ้ายจนหมอหนุ่มต้องประคองร่างของนางเอาไว้ “ไหวหรือไม่” “อื้อ...” นางส่งเสียงในลำคอก่อนจะกะพริบตาหนึ่งครั้งราวกับจะบอกว่านางยังไหว ทั้งที่สภาพของนางนั้นบอบช้ำจากการชำระล้างปราณทั้งสิบสองเส้น “ดื่มสิ่งนี้เถอะ ข้าจะป้อนเจ้าเอง” เหย่วซือบีบที่ปลายคางเพื่อให้นางเปิดปากออก ก่อนจะกรอกน้ำนมสะอาดลงไปในลำคอ บางส่วนถูกกลืนลงไป บางส่วนสำลักจนสำรอกออกมา กระนั้นหมอหนุ่มก็ยังคงจับกรอกลงไป กรอกลงไป จนกระทั่งตามรูขุมขนและทวารทั้งห้าของนางขับน้ำนมออกมาแทนยาพิษ “เสร็จสิ้นแล้ว” สาวใช้รีบปราดเข้ามาประคองเจ้านายสาวที่เป็นลมหมดสติไปในทันที ก่อนจะมองหน้าหมอหนุ่มราวกับต้องการคำตอบว่าพวกตนควรจะทำอย่างไรต่อไปดี “เช็ดล้างคราบพิษและทำความสะอาดร่างกายให้เจ้านายของพวกเจ้าเถอะ จงภูมิใจที่ได้รับใช้หญิงผู้มีจิตใจเข้มแข็ง เพราะวิธีการนี้ต่อให้เป็นชายชาตินักรบตัวสูงใหญ่บางคนก็ไม่อาจผ่านมันไปได้ ทว่าเจ้านายของพวกเจ้ากลับไม่ปริปากโอดครวญแม้เพียงครึ่งคำ ข้าขอนับถือจากใจ...” หมอหนุ่มหน้าละอ่อนพูดพลางเดินออกจากกระท่อม บางจังหวะเขาเผลอตัวค่อมหลังไหล่ราวกับคนชรา แต่บางจังหวะก็เหยียดหลังตรงอย่างกระฉับกระเฉง เขาปล่อยให้สาวใช้ได้ทำความสะอาดและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เจ้านายสาว ก่อนจะเหลือบไปเห็นทหารเงาที่เคลื่อนไหวอยู่รอบๆ กระท่อม เพียงหางตาก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นคนของใคร “ไปบอกท่านเจ้าเมือง ให้ส่งคนมีฝีมือล่องหนมาที่นี่ เพื่อพาตัวคุณหนูหวางกลับจวนโดยเร็ว” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเงาบางส่วนก็เคลื่อนไหวหายวับไป ในขณะที่เงาอีกส่วนยังคงปักหลักเพื่อเฝ้าดูอาการของคู่หมั้นเจ้านายอย่างไม่ละสายตา “ท่านผู้คุ้มกันทั้งสองคงเหน็ดเหนื่อยสินะ ดื่มน้ำชาสักจอกเถอะ จะได้สดชื่น” หมอยานำน้ำชามามอบให้คนคุ้มกันจากสำนักเมฆา จังหวะที่ทั้งสองกำลังลังเลที่จะดื่มน้ำจากคนแปลกหน้าที่ไม่คุ้นชิน เหย่วซือก็ลอบสกัดจุดที่ข้างท้ายทอยของทั้งสองอย่างรวดเร็ว ผู้คุ้มกันยืนนิ่งราวกับสติหลุดลอย เหย่วซือจึงใช้มือวางบนหน้าผากของทั้งสอง ก่อนจะเดินจากไปซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ทั้งสองคืนสติ “ขะ...ข้ามายืนอยู่ตรงนี้นานเท่าไหร่แล้ว” “เหมือนว่าเราเพิ่งเดินอยู่ในตรอก” “แล้วเหตุใดเข้ากับเจ้าถึงมาเดินในตรอก” “นั่นสิ ข้างงไปหมดแล้ว” สองผู้คุ้มกันสับสน นิ่วหน้าจนคิ้วขมวด ก่อนจะเดินออกจากกระท่อมหมอยา จุดมุ่งหมายคือกลับไปยังสำนักคุ้มภัยเมฆา แต่... ไม่รู้สิ... เหมือนลืมอะไรไปบางอย่าง... แต่ไม่ว่าจะคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก... เพียงหนึ่งก้านธูปสิ้นสุดลง ชายรูปร่างสูงปราดเปรียวก็มาปรากฏกายขึ้นที่หน้ากระท่อมหมอยาเหย่วซือ เขาหมุนมองไปรอบๆ อย่างสำรวจตรวจตรา ดวงตาราวกับเหยี่ยวระแวดระวังภัย กระนั้นเขากลับไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้ที่เดินมาจากทางด้านหลัง “มาแล้วหรือ” “ศิษย์คารวะท่านอาจารย์” เจ้าเมืองเฉินซือหยางรีบคำนับชายตรงหน้าด้วยความเคารพ เขาไม่ได้พบท่านอาจารย์มานานมากแล้ว ไม่คิดว่าจะมาพบอีกครั้งในรูปลักษณ์ของหมอยาหนุ่มน้อยวัยละอ่อน เพราะตอนที่เขาได้พบคนผู้นี้ครั้งแรกนั้นอยู่ในรูปลักษณ์ของตาแก่นักพเนจรที่สอนเคล็ดวิชา ‘ล่องหนไร้ต้นตน’ ให้แก่เขา สอนสั่งโดยไม่หวังสิ่งใด ก่อนจะจากไปโดยไม่บอกลา มีเพียงปริศนาทิ้งท้ายว่าวันข้างหน้าอย่างไรก็ต้องได้พบกันอีกครั้งแน่นอน “ไม่เคยมีใครจำข้าได้” หมอยาหัวเราะในลำคอราวกับกำลังถูกอกถูกใจ “ศิษย์จำแววตาของท่านอาจารย์ได้ขอรับ” “เช่นนี้เองหรือ” เหย่วซือพยักหน้าช้าๆ นั่นสินะ...ไม่ว่าจะปรับเปลี่ยนรูปโฉม หรือแม้แต่เพศ ทว่าดวงตาและแววตากลับเป็นสิ่งที่ไม่อาจแปรเปลี่ยน นับว่าศิษย์ของเขาคนนี้ช่างจดจำในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ สมแล้วที่ขึ้นครองเป็นเจ้าเมืองดูแลทุกข์สุขปากท้องของชาวบ้าน “เวลานี้เซียวเหยาเป็นอย่างไรบ้างหรือขอรับ คนของศิษย์รายงานว่านางหายเข้าไปในกระท่อมกว่าสองชั่วยามแล้ว” แม้จะอยากพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชา ทว่าความกังวลและความห่วงใยต่อคู่หมั้นสาวกลับท่วมท้นจนไม่อาจกักเก็บเอาไว้ได้ “นางยังอ่อนแออยู่มาก แต่อีกไม่กี่วันนางก็จะฟื้นคืนเป็นปกติ พาตัวคู่หมั้นของเจ้ากลับไปเถอะ กลับไปอย่างเงียบเชียบเพราะนางคงไม่อยากให้ใครรู้ว่านางมาหาข้าที่นี่” “เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับท่านอาจารย์” “นางถูกพิษควบคุมจิตใจมากว่าสิบปีแล้ว แต่ข้าได้ชำระล้างพิษให้นางจนหมดสิ้น ถึงอย่างนั้นร่างกายของสตรีนั้นอ่อนแอและบอบบาง ต่อให้หัวใจของนางจะแข็งแกร่งสักเพียงใด แต่ก็ไม่อาจเอาชนะสรีระที่ธรรมชาติรังสรรค์” “ใครกันที่บังอาจทำกับนางเช่นนี้” เจ้าเมืองหนุ่มโกรธจนเส้นเลือดที่ข้างขมับปูดโปน พิษนี้ร้ายแรงนัก หากใช้กับคนที่มีร่างกายอ่อนแอหรือมีโรคประจำตัวอยู่ก่อนแล้วก็จะถูกพิษกัดกินจนเสียชีวิตทันที “ไม่ต้องห่วงหรอก คู่หมั้นของเจ้าจะเอาคืนคนพวกนั้นอย่างสาสมแน่นอน เจ้าแค่คอยประคับประคองนางเอาไว้อย่าทำเรื่องผิดพลาดดังก่อนหวนคืนเด็ดขาด” ‘ก่อนหวนคืน’ เจ้าเมืองเฉินนิ่วหน้าคล้ายจะมีคำถาม ทว่าหมอยาเหย่วซือกลับเดินหันหลังกลับเข้าไปในกระท่อมเสียดื้อๆ ราวกับต้องการจบบทสนทนาแต่เพียงเท่านี้ จึงทำให้เขาต้องเก็บคำถามเหล่านั้นไว้ภายในใจ “ข้ารบกวนจอมยุทธ์มากฝีมือให้พาคุณหนูของเจ้าทั้งสองไปส่งที่จวน จะได้ไม่เป็นที่สะดุดตาของผู้อื่นๆ” เอ่ยกับสาวใช้ที่นั่งเฝ้าเจ้านายสาวไม่ห่างด้วยดวงตาแดงระเรื่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา “ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านหมอยา บุญคุณนี้พวกข้าทั้งสองจะไม่มีวันลืมเลือน” ถิงถิงและหลิงจวนทรุดกายลงคุกเข่าคำนับจนศีรษะจดพื้น ก่อนจะหันไปค้อมกายให้จอมยุทธ์หนุ่มที่พวกนางจำได้ว่าเพิ่งพบกันในตรอก อีกทั้งเขายังเป็นคนช่วยคุณหนูเอาไว้ไม่ให้ล้มลง ที่แท้ก็เป็นคนของหมอยานี่เอง ถึงได้เดินไปเดินมาอยู่ในตรอกสิบห้าที่แสนอันตรายเช่นนั้น ทั้งสองสรุปความเป็นไปของชายหนุ่มด้วยตนเอง ไม่ได้ฉุกใจคิดสงสัยแต่อย่างใด จากนั้นพวกนางจึงรีบใช้ผ้าห่มห่อพันร่างกายที่ซีดเผือดราวกับไร้เลือดฝาดของเจ้านายสาวตามคำแนะนำของหมอยา แล้วถอยหลังไปสองสามก้าวเพื่อเปิดทางให้จอมยุทธ์หนุ่มพาคุณหนูใหญ่กลับจวน เฉินซือหยางกัดฟันกรอดเมื่อได้เห็นสภาพราวกับตายทั้งเป็นของคู่หมั้นสาว เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นกับนางถึงเพียงนี้เชียวหรือ ละอายเหลือเกินที่ปล่อยปละละเลยคู่หมั้นมาโดยตลอด เพราะหลังจากขึ้นรับตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองต่อจากบิดา เขาก็เอาแต่โหมงาน แก้ไขปัญหาความยากจน ความแร้นแค้น พืชผลที่ไม่อาจเก็บเกี่ยวผลผลิตเพราะสภาพอากาศที่แปรปรวน อีกทั้งยังเร่งปราบปรามอาชญากรรมในดินแดนจนแทบไม่สนใจเรื่องอื่น ‘ข้าพลาดอะไรไปมากมาย พลาดที่ไม่อาจได้เห็นเจ้าค่อยๆ เติบโตเป็นหญิงสาวที่งดงาม พลาดที่ไม่อาจปกป้องเจ้าจากอันตรายที่ย่างกรายเข้ามา ข้าขอโทษนะเซียวเหยา...’ เขาอุ้มนางขึ้นมาแนบอกก่อนจะใช้วิชาล่องหนหายวับไปจากสำนักหมอยาอย่างรวดเร็ว “พวกเจ้าก็เร่งเดินทางกลับเถอะ ข้าจัดการคนคุ้มกันจากสำนักเมฆาทั้งสองเรียบร้อยแล้ว จะไม่มีใครรู้เรื่องที่คุณหนูหวางเดินทางมาที่นี่นอกจากเจ้าทั้งสองและจอมยุทธ์ผู้นั้น” ถิงถิงแปลกใจที่หมอยารู้ว่าคุณหนูของนางมาจากตระกูลใด อีกทั้งยังแปลกใจที่เขาจัดการทุกอย่างราวกับรอคอยวันนี้มาเนิ่นนาน ถึงกระนั้นนางก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยถามออกไป “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านหมอยา”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม