แพศยา ที่ 6 หนูน้อยเซียวเหยา

1459 คำ
แพศยา ที่ 6 หนูน้อยเซียวเหยา แรกพบ ใช้เวลาหาไม่นานก็พบกับเรือนนอนของหยางเซียวเหยา เป็นเรือนที่อยู่ติดกับสวนดอกไม้นานาพรรณขนาดใหญ่ ใกล้ๆ หน้าต่างห้องนอนมีน้ำตกหินจำลองช่วยให้ความชุ่มชื่นและผ่อนคลาย ฉายชัดว่าผู้เป็นบิดาใส่ใจความเป็นอยู่ของบุตรีไม่น้อย แต่แล้วเหตุใดนางจึงถูกพิษกัดกินปราณมาอย่างยาวนานเช่นนี้เล่า บิดาไม่ระแคะระคายสงสัยถึงการเปลี่ยนไปของนางบ้างเลยหรือ ชายหนุ่มใช้วิชาล่องหนไร้ตัวตนเข้าไปในห้องนอนกว้างที่ได้รับการตกแต่งอย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะวางร่างซีดเซียวราวกับศพลงบนเตียงแผ่วเบา เจ้าเมืองเฉินไม่ได้กลับออกไปในทันทีแต่ทรุดกายลงนั่งข้างเตียง ดวงตาคมจ้องมองใบหน้างดงามไร้เลือดฝาดเนิ่นนาน เขาและนางไม่ได้ผูกสมัครรักใคร่กันมาก่อน การหมั้นหมายเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ทำสัญญากันเอาไว้ตั้งแต่นางยังไม่ถือกำเนิดขึ้นมา ตระกูลหวางนั้นมีอิทธิพลและทำคุณประโยชน์ให้เมืองหนันหนิงมาช้านาน เป็นตระกูลที่คอยค้ำจุนตระกูลเฉินซึ่งครองตำแหน่งเจ้าเมืองสืบต่อกันมารุ่นต่อรุ่น ตลอดระยะเวลาที่หมั้นหมายกันมาสิบแปดปีเทียบเท่ากับอายุของหวางเซียวเหยา เขาเคยพบนางแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ภาพเหตุการณ์ครั้งแรกที่ได้พบกันในวันวานฉายย้อนเข้ามาในห้วงแห่งความทรงจำ ในตอนนั้นเขากำลังย่างเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นมีอายุเพียงสิบห้าปีเท่านั้น “ฮือ... ยะ...อย่าตายนะ อย่าตายนะ” เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นทำให้เฉินซือหยางที่กำลังเดินเตร่อยู่ในสวนอย่างเบื่อหน่ายถึงกับเงี่ยหูฟังด้วยความประหลาดใจ เขาจำต้องติดตามมารดามายังจวนสกุลหวางอย่างเสียไม่ได้ ‘เฉินเซียนอิง’ ผู้เป็นมารดาของเขาสนิทสนมกับฮูหยินหวางที่กำลังตั้งครรภ์บุตรฝาแฝดใกล้คลอดเต็มที จึงได้เคี่ยวน้ำแกงบำรุงร่างกายมาฝากด้วยความห่วงใย อีกทั้งยังถามไถ่ถึงทุกข์สุข แบ่งปันเคล็ดลับการเลี้ยงดูบุตรของตนให้กันฟัง เมื่อผู้ใหญ่คุยกันอย่างถูกคอ เด็กอย่างเขาจึงปลีกตัวออกมาเดินเที่ยวชมจวนขุนนางหวางเป็นการฆ่าเวลา ขายาวๆ ก้าวไปหยุดยืนอยู่ด้านหลังเด็กหญิงตัวน้อยที่กลมป้อมไปทั้งเนื้อทั้งตัว นางนั่งยองอยู่บนผืนดินกำลังพยายามประคับประคองอะไรบางอย่าง “ข้าจะพาเจ้าไปหาท่านหมอ อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ อะ ฮือ ฮือ” เด็กหญิงประคองร่างกระรอกน้อยเอาไว้ในมือ ก่อนจะลุกขึ้นหมุนตัวกลับมาแล้วพบว่ามีคนแปลกหน้ากำลังยืนมองนางอยู่ก่อนแล้ว “เพื่อนของเจ้าไม่สบายหรือ” เขาเองก็มีน้องสาวจึงรู้จักวิธีพูดคุยกับเด็กผู้หญิง ยิ่งเด็กผู้หญิงที่กำลังร้องไห้จนดวงตาบวมเป่งเช่นนี้แล้ว นางคงกำลังต้องการคนปลอบโยน “อื้อ” เซียวเหยาพยักหน้างึกๆ ก่อนจะมองไปยังร่างไร้ลมหายใจของกระรอกน้อยสีขาวด้วยความสะเทือนใจ “ข้ากับเจ้าไป๋สนิทกันมาก ทุกเช้าข้าจะนำผลไม้มาวางให้ที่ใต้ร่มไม้ แต่วันนี้เจ้าไป๋กลับนอนแน่นิ่งไม่ยอมลุกขึ้นมากินผลไม้ของโปรดของมัน” แม้ว่ามองปราดเดียวก็รู้ว่าเจ้ากระรอกสิ้นใจนานแล้ว เพราะร่างที่เริ่มแข็ง อีกไม่กี่วันก็จะกลายเป็นซากศพเน่าเปื่อย ดังนั้นเขาจึงต้องหาอุบายเพื่อให้เด็กตัวน้อยเข้าใจความตาย และฝังกระรอกตัวนี้ เพราะถ้าหากนางเก็บมันไว้จนได้เห็นมันกำลังเน่าเปื่อย อาจกลายเป็นแผลใจติดตัวไปจนถึงตอนนางโตเป็นสาวก็เป็นได้ “ไหน...ขอข้าดูอาการมันหน่อย” “ท่านรู้เรื่องการแพทย์หรือ” แม้จะเอ่ยถามแต่ก็ยอมยื่นกระรอกขาวให้แต่โดยดี คุณชายเฉินแสร้งทำเป็นจับตรงโน้นจับตรงนี้เพื่อตรวจดูอาการด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ในหัวสมองกำลังประมวลผลว่าควรจะหลอกล่อนางอย่างไรดี เด็กหญิงคนนี้ช่างซักช่างถาม ดวงตากลมแป๋วที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตานั้นฉายชัดว่าเป็นเด็กที่มีความมั่นใจในตัวเอง การจะหลอกให้เชื่อคงไม่ง่ายนัก ไม่เหมือนน้องสาวของเขาที่ว่านอนสอนง่ายค่อนไปในทางหัวอ่อน ไม่ว่าจะหลอกอะไรก็ยอมเชื่อไปหมดทุกอย่าง “ดูเหมือนว่าเจ้าไป๋ของเจ้าจะกลับสวรรค์เสียแล้ว” “กะ...กลับสวรรค์งั้นเหรอ” คุณหนูหวางตกใจจนแสดงสีหน้าออกมาอย่างชัดเจน ใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงงและไม่เข้าใจ ในขณะที่คุณชายเฉินยังคงทำหน้าเคร่งขรึมจริงจังแล้วพยักหน้าน้อยๆ ‘ยังไงนางก็ยังเป็นเด็ก ลองหลอกดูสักหน่อยหวังว่าคงจะเชื่อ’ คิดเช่นนั้นก็เอ่ยต่อไปว่า... “เจ้าไป๋หมดเวลาที่จะเที่ยวซนอยู่บนโลกใบนี้แล้ว จึงได้ทิ้งร่างนี้ไว้แล้วเดินทางกลับคืนสู่สวรรค์ เราทุกคนเมื่อถึงเวลาก็ต้องออกเดินทางสู่สวรรค์เฉกเช่นเจ้าไป๋ของเจ้า อย่าได้เสียใจไปเลย” “งะ...งั้นเหรอ” ดวงตาของเด็กหญิงยังฉายแววเคลือบแคลงใจ ความไม่เชื่อนั้นมีมากกว่าสี่ในห้าส่วน จนเด็กหนุ่มต้องแอบไขว้มือไปทางด้านหลัง แล้วลองใช้วิชาเรียกลมเรียกน้ำที่เพิ่งร่ำเรียนมา ทันใดนั้นเองก็เกิดเป็นหมอกสีขาวรูปกระรอกตัวน้อยๆ ล่องลอยอยู่รอบๆ ตัวเด็กหญิง “จะ...เจ้าไป๋ นะ...นั่นเจ้าไป๋จริงหรือ” เซียวเหยาดีใจจนปล่อยโฮออกมา แหงนมองหมอกสีขาวที่ค่อยๆ ลอยสูงขึ้นไปบนฟ้าก่อนจะจางหายไป “ลาก่อนเจ้าไป๋ ขอให้บนสวรรค์มีผลไม้ที่เจ้าชอบเยอะๆ นะ สักวันหนึ่งข้าคงได้พบกับเจ้าอีก” หนูน้อยโบกมือลาหย็อยๆ เชื่อในสิ่งที่เด็กหนุ่มแปลกหน้าเล่าเสียสนิทใจ “เช่นนั้นเราเอาร่างของเจ้าไป๋ไปทำพีธีส่งดวงวิญญาณกันเถอะ” “พิธีส่งดวงวิญญาณหรือเจ้าคะ” เฉินซือหยางเดินนำเด็กหญิงไปยังใต้ดอกกุ้ยฮวาที่กำลังส่งกลิ่นหอมอบอวล ก่อนจะลงมือขุดดินขนาดพอดีตัวกระรอกสีขาวนามว่าไป๋ “วางเจ้าไป๋ลงสิ ฝังร่างของมันไว้กับผืนดินเป็นการส่งกลับคืนสู่ธรรมชาติ” “เจ้าค่ะ” เด็กหญิงยอบกายลงนั่งข้างๆ เด็กหนุ่มใจดีจนหัวไหล่เล็กๆ เบียดชิดกับต้นแขนเก้งก้าง แล้ววางร่างไร้ลมหายใจของเจ้ากระรอกน้อยอย่างเบามือ เฝ้ามองคนตัวโตกว่าใช้ดินกลบฝังร่างเจ้าไป๋ด้วยน้ำตานองหน้า “เอ้านี่...” ซือหยางยื่นดอกไม้ให้ เด็กหญิงกะพริบเปลือกตาน้อยๆ จนหยาดน้ำใสกลิ้งกลอกไปบนแก้มนุ่มนิ่ม ก่อนจะยื่นมือออกไปรับดอกไม้มาอย่างงงๆ จนกระทั่งเห็นเขาค่อยๆ ปลิดกลีบดอกไม้โรยบนหลุมฝังร่างเจ้าไป๋ เด็กหญิงจึงทำตามและพบว่าการประดับตกแต่งหลุมศพของเจ้าไป๋ให้สวยงามนั้น ช่วยทำให้นางรู้สึกดีขึ้นอย่างน่าประหลาด “ขอบคุณนะเจ้าคะ” เด็กหญิงโค้งกายคำนับอย่างงดงามสมกับเป็นลูกขุนนางที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาเป็นอย่างดี เวลานี้ใบหน้ากลมจิ้มลิ้มไม่ได้มีคราบน้ำตาไหลรินอีกต่อไปแล้ว ทว่าดวงตายังคงบวมตุ๋ยจนแทบลืมตาไม่ขึ้นจากการร้องไห้อย่างหนัก “ข้ามีนามว่าหวางเซียวเหยา ขอขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือข้าและเจ้าไป๋เจ้าค่ะ ข้าขอทราบนามของท่านได้หรือไม่เจ้าคะ” เด็กหนุ่มสูงเก้งก้างถึงกับนิ่งอึ้งไปหลายอึดใจ ไม่คิดว่าเขาจะได้พบกับคู่หมั้นคู่หมายของตนเอง แต่แล้วเขาก็ยิ้มกว้างออกมา เมื่อได้พบว่าคู่ชีวิตในอนาคตของเขาเป็นเด็กหญิงแก้มป่องที่มีจิตใจเมตตากรุณาต่อสัตว์ตัวเล็กๆ ‘คู่หมั้นของเจ้าเป็นเด็กน่ารัก ใบหน้าหวานล้ำราวกับตุ๊กตา กิริยามารยาทอ่อนหวาน หัวไว ช่างสังเกต แม่เชื่อว่าหากเจ้าได้พบนางเจ้าจะต้องชื่นชอบอย่างแน่นอน’ คำพูดของมารดาเมื่อครั้งบอกเล่าถึงเรื่องราวการหมั้นหมายฉายชัดขึ้นมาอีกครั้ง เวลานี้เขาเชื่อแล้วว่าในคำพูดของมารดานั้นไม่มีการเติมแต่งเกินจริงเลยแม้แต่น้อย คุณหนูหวางผู้นี้งดงามและน่าเอ็นดูจนเขาอยากจะเสียมารยาทยื่นมือไปหยิกแก้มเสียหลายครา
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม