ฉันยิ้มหน้าบานอย่างมีความสุข ยักคิ้วใส่เขาเหมือนคนที่กำลังเดิมพันอะไรสักอย่างแล้วเล่นเกมชนะ ส่วนคุณพีทนะเหรอหน้างอเป็นตูดหมึก คงไม่ต้องบอกว่าตอนนี้เขามีความรู้สึกแบบใด เพราะสีหน้าของเขาที่เป็นอยู่คือคำตอบทุกอย่าง
เรามองสบตากันก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นมากอดอก แถมยังถอนหายใจออกมาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์
“ว่าแต่ แล้วฉันต้องทำตัวยังไงตอนที่เจอกับคุณแม่ของคุณที่อยู่ข้างนอกคะ” ฉันชี้นิ้วไปทางด้านหลังที่เป็นประตูพร้อมกับตั้งคำถาม
“ไม่ต้องทำอะไรแค่สวัสดีแม่ผม แล้วขอตัวกลับเลยก็พอ”
“ได้เลยค่ะ ไม่มีปัญหาค่ะที่รัก” ไม่ว่าเปล่ายังขยิบตายั่วให้เขาอีกหนึ่งทีก่อนจะก้มลงจุ๊บเอกสารสัญญาโครงการในมือ เอาเถอะในเมื่อเราสองคนลงเรือลำเดียวกันไปแล้ว รับรองนังมะลิคนนี้จะเล่นละครต่อหน้าคุณแม่เขาให้เพอร์เฟคที่สุดเท่าที่จะทำได้
เขามองสบตาฉันอีกครั้งด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่งไม่ต่างจากเดิม ก่อนจะกดอินเตอร์โฟนบอกเลขาหน้าห้องให้เชิญคุณแม่เขาเข้ามาได้
ส่วนฉันก็แค่เตรียมตัวด้วยการนั่งท่าสวย ๆ อยู่กับที่
มะลิพร้อมลุยเสมอ... (ถ้าเงินถึง) คิดเสียว่าเป็นค่าตอบแทนจากคอมมิชชั่นที่มะลิคนนี้จะได้จากการขายคอนโดก็แล้วกัน
จนกระทั่งประตูห้องทำงานถูกเปิดขึ้น เราสองคนรีบลุกขึ้นยืนก่อนที่จะโค้งคำนับคุณแม่เขาพร้อม ๆ กันราวกันนัด
“สวัสดีครับคุณแม่” / “สวัสดีค่ะคุณแม่”
“ตาพีท?”
คุณแม่ของเขารับไหว้เราสองคน ก่อนจะมองหน้าคุณพีทสลับกับมองหน้าฉัน ทำสีหน้างงมากถึงมากที่สุด
แต่ที่เห็นดูจะทำหน้าตกใจกว่าคุณแม่ของเขาคือเลขาคนสวยที่ทำหน้างงกว่า นางกำลังเก็บอาการ คล้ายกับตั้งคำถามว่าฉันมาเสนอหน้าอยู่ตรงนี้ทำไม และฉันควรจะออกไปได้แล้ว ก่อนที่เธอรีบทำท่าผายมือเชิญฉันออกจากห้อง
“ชะ เชิญค่ะ...”
“พีท แม่หนูคนนี้นี่ใช่แม่หนูที่ลูกส่งรูปมาให้แม่ดูหรือเปล่าคนที่บอกว่าเป็นแฟนของลูกอะ”
สิ้นเสียงประโยคของแม่เขา เลขาคนสวยก็เบิกตากว้าง มือที่ทำท่าจะผายมือเชิญชะงัก ก่อนจะเปลี่ยนมายกมือปิดปากด้วยความตกใจ
ก็แหมนะ คืออีตอนก่อนเข้ามา ฉันกับคุณพีทแทบจะไม่ได้ทำท่าทางเหมือนคนรู้จักกันมาเลยสักนิด แต่ตอนนี้สถานะเปลี่ยนไปแบบข้ามขั้นแถมเป็นแฟนกันเลยด้วย
แต่...
นี่ยังไม่พีคสุดของความตกใจหรอกนะ
“ใช่ครับ เธอเป็นแฟนผมเอง” คุณพีทตอบเสียงเรียบ ในขณะที่คุณเลขาเคลื่อนมือที่ปิดปากมาทาบอยู่กับอกทำเสียงอุทานออกมาด้วยท่าทางตกใจหนักกว่าเดิม
“ฟะ แฟน?”
“อ่า...ค่ะ ขะ ขอโทษค่ะท่านประธาน งั้นดิฉันขอตัวก่อนนะคะ”
คนตกใจอารามรีบร้อนเดินออกไป ทำให้ตอนนี้ภายในห้องเลยเหลือแค่เราสามคน คุณพีทรีบเดินออกจากโต๊ะผู้บริหารเข้ามาประคองแม่ของเขาให้ไปนั่งที่เก้าอี้รับรอง ในขณะแม่เขาไม่ได้ละสายตาจากใบหน้าฉันเลย
“ทำไมไม่เห็นคุณแม่ไม่บอกผมล่วงหน้าละครับว่าจะมา ผมจะได้ไม่ปล่อยให้คุณแม่รอนาน”
“แม่ต้องถามเรามากกว่าว่ามีไปมีแฟนตอนไหน ว่าไงยัยหนู เธอคบกับลูกชายฉันตอนไหน” เธอไม่ตอบคำถามลูกชายแถมยังไม่ได้รอลูกชายตอบ แต่ดันหันมาถามฉัน
“อา…” ฉันอ้าปากพะงาบ รีบมองหาตัวช่วยซึ่งก็คือคุณพีทเพื่อให้เขาตอบแทน
“คือเราสองคนคบกันได้สักพักแล้วครับ”
“อา...ใช่ค่ะ เราสองคนคบกันสักพักแล้ว” ตอนนี้เหมือนเรากำลังร่วมกำลังงานทฤษฎีสมคบคิดยังไงก็ไม่รู้ คอยช่วยคอยดันกันเต็มที่
“สักพัก? สักพักของลูกกับแฟนน่ะกี่เดือน กี่ปี ทำไมแม่ไม่รู้ หรือไม่มีคนมารายงานแม่เลยว่าลูกมีแฟนแล้ว ว่าไงยัยหนูตอบฉันสิว่าเธอกับตาพีทคบกันนานหรือยัง จริงจังกันหรือเปล่า”
ถามแบบรัวสปีด แบบไม่เว้นจังหวะให้สมองอันน้อยนิดของฉันได้คิดคำตอบบ้างเลย
“ก็ เออ ประมาณ…อ่า…” ฉันมองสบตาหาตัวช่วยอีกครั้ง แต่ตัวช่วยก็มีสีหน้าลำบากใจไม่แพ้กัน
“คือ เออเกือบปีแล้วครับคุณแม่ นี่ว่าถ้าครบปีอีกไม่กี่เดือน ผมจะพาเธอไปพบคุณพ่อคุณแม่อยู่พอดีเลยครับ”
“ไม่ใช่ว่าลูกไปจ้างผู้หญิงคนนี้มาเพราะไม่อยากให้แม่จับคู่กับเราหนูวิเวียนหรอกนะ”
โอะ…คุณแม่เขาฉลาดมาก
ไม่ว่าเปล่า ท่านยังจ้องตาฉันเหมือนจับผิด ส่วนฉันก็ได้แต่ยืนสงบเสงี่ยมเจี๋ยมเจี้ยมไม่กล้าพูดอะไรมากเดี๋ยวไม่ตรงกัน
“ผมไม่ทำแบบนั้นแน่ครับ เพราะเราสองคนรักกันจริง ๆ นี่ผมก็เพิ่งซื้อคอนโดร่วมกับเธอ กะว่าเราสองคนจะลองอยู่ด้วยกันก่อนแต่งด้วยครับ”
เป็นตุเป็นตะมากค่ะพ่อ
“จริงไหมครับที่รัก”
“จริงที่สุดคะเบบี๋ อุฟไม่ใช่จริงที่สุดค่ะพี่พีท”
ฉันฉีกยิ้มกว้างในขณะที่เขาเขยิบเข้ามายืนตรงข้างฉัน ซ้ำยังยื่นมือมาโอบบ่า
หวานซะไม่มี
เอาเถอะทำตามน้ำไปก่อน เนียนไม่เนียนไม่รู้ แต่คิดซะว่าตอบแทนที่เขาช่วยซื้อคอนโดของฉันก็แล้วกัน
“โอเค ถ้าคิดว่าคบกันจริงงั้นเย็นนี้ ลูกก็พาแม่หนูคนนี้ไปแนะนำตัวกับคุณพ่อด้วยเลยก็แล้วกัน”
เย็นนี้!
หมายความว่าไงเย็นนี้ หมายถึงเย็นนี้เราสองคนต้องรับบทแฟนชั่วคราวกันอีกแล้วเหรอ โอ๊ย...ถ้าตัวต้องติดกันขนาดนี้ นังมะลิจะมีเวลาไปหาสามีอย่างชาวบ้านไหมละคะคุณแม่
ฉันได้แต่ยิ้มแหย กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เราสองคนมองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย ก่อนจะฝืนยิ้มให้กันแบบคนรัก
“แล้ววันนี้คุณแม่มาหาผมถึงที่ทำงานมีอะไรหรือเปล่าครับ ความจริงน่าจะโทรมาหาผมก่อน”
“เฮ้อ ก็ไม่มีอะไร คือแม่นัดหนูวิเวียนเอาไว้แล้วผ่านมาทางบริษัทของลูก เลยว่าจะชวนลูกออกไปกินข้าวด้วยกัน แต่ดูแล้วลูกคงไม่ว่างแล้วสินะ งั้นไม่เป็นไรแม่จะออกไปกินข้าวกับหนูวิเวียนแล้วอธิบายให้ทางนั้นฟังเอง ว่าลูกมีแฟนแล้ว”
พูดจบคุณแม่เขาก็มองหน้าฉันแล้วถอนหายใจอีกหนึ่งที
“งั้นให้เราสองคนไปออกไปทานข้าวเที่ยงด้วยก็ได้ครับ”
หา...
ฉันมองหน้าเขาขวับทันที เพราะบทที่เราสองคนวางไว้ตอนแรกคือแค่สวัสดีแล้วกลับเลย แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะเล่นเลยบทไปมากแล้ว มีอย่างที่ไหนตอนเที่ยงให้ออกไปทานอาหารด้วย แถมตอนเย็นยังต้องพาไปทานข้าวมื้อเย็นกับคุณพ่อของเขาที่บ้านอีก