บทที่ 8

1497 คำ
บทที่ 8 “ฟังสิต่อให้เป็นคำลวงก็อยากฟัง” ฮ่องเต้หนุ่มไม่สนใจจะเก็บท่วงท่าสง่างามเอาไว้ เขาแค่ต้องการรู้จริง ๆ ว่าสิ่งที่ภรรยาที่รักบอกสิ่งใดกับหญิงสาวที่อ้างว่ามีพลังวิเศษนี้ แม้จะเป็นคำลวงเขาก็อยากฟัง หลงเหยียนกระดิกนิ้วให้อีกฝ่ายขยับมาใกล้ ๆ คนทั้งท้องพระโรงตาโตกับท่าทางราวกับดูถูกนั่น แต่หวงตี้ฮ่องเต้กลับทำตามโดยไม่ได้พูดอะไรคงเพราะสร้อยที่มันเหมือนกับของคนที่เขารักอยู่บนคอของนาง ช่างทำออกมาได้เหมือนกับของหยูอิงมากจริง ๆ หวงจิงอวี๋ที่มองอยู่ก็รู้สึกกระสับกระส่ายอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ยิ่งเห็นสองคนกระซิบกระซาบใกล้กันก็ยิ่งรู้สึกแปลก ๆ “เข้าใจหรือไม่” คำช่วงแรกไม่มีใครได้ยินนอกจากหวงตี้อ่องเต้เท่านั้น แต่หลังจากเสียงของหลงเหยียนเงียบลง หวงตี้ฮ่องเต้ก็เดินกลับไปยังบัลลังก์ด้วยใบหน้าเคร่งเครียดและออกคำสั่งทันที “ให้นางเข้ามาอยู่ในวังหลวง นางคือเทพธิดาที่จะมาช่วยบ้านเมืองเรา” หลงหยียนตกใจ นางไม่ได้ต้องการเช่นนี้ หญิงสาวขมวดคิ้วและส่ายหน้า “เราเข้ามาอยู่ที่นี่ไม่ได้ จะทำเรื่องนั้นได้เราจำเป็นต้องมีหวงจิงอวี๋ ไหนยังจะต้องเดินทางอีก” ทุกครั้งที่หลงเหยียนเรียกฮ่องเต้และท่านอ๋องด้วยคำปกติธรรมดาเหล่าขุนนางก็แทบจะหยุดหายใจ “เช่นนั้นหรือ หากเทพธิดาว่าเช่นนั้นเราก็จะสนับสนุนเต็มที่อยากได้อะไรก็บอกกับน้องชายของเราก็แล้วกัน” หลงเหยียนยิ้ม เพราะคนพี่ดูจัดการยากไม่เหมือนคนน้องที่พูดอะไรก็เข้าใจ อีกอย่างเรื่องที่เธอบอกไปนั้นเป็นเรื่องจริงทั้งนั้น การจะแก้คำสาปไม่ได้ทำเพียงแค่นั่งสวดนั่นนี่อยู่แค่ในวังหลวงก็ทำได้ เพราะการร่ายคาถาทำพิธีครั้งแรกนั้นมีของที่ใช้ในพิธีหลายอย่าง จะต้องแก้ตั้งแต่ตรงนั้น และยังต้องปลดปล่อยวิญญาณชั่วร้ายที่ใช้เป็นเครื่องสังเวยอีกไม่อย่างนั้นวิญญาณบริสุทธิ์ทั้งสองก็จะถูกก่อกวนและกักขังอยู่อย่างนี้ หลังจากการประชุมเช้าผ่านไปหลงเหยียนก็ได้กลับมาที่จวนของหวงจิวอวี๋อีกครั้ง แต่ครั้งนี้หญิงสาวกลับมาพร้อมกับรถม้าพระราชทานและของหลายอย่างที่หวงตี้ฮ่องเต้ประทานให้เองซึ่งมากมายจนหัวขบวนเลี้ยวมุมถนนแล้วท้ายขบวนก็ยังไม่พ้นแยกแรก “รับของเสด็จพี่ข้ามาเยอะแยะถึงเพียงนี้ ถ้าท่านทำไม่ได้อย่างคำว่าท่านได้โดนเสด็จพี่ของข้าจัดการแน่ ๆ“ ชายหนุ่มยกนิ้วโป้งลากผ่านลำคอ แสดงให้หญิงสาวที่นั่งรถม้าเคียงกันดูว่าหากทำไม่สำเร็จจะเกิดสิ่งใดขึ้น คำพูดของหวงจิงอวี๋ไม่ใช่ว่าหลงเหยียนไม่รู้ แต่เพราะทำท่ามั่นใจตั้งแต่ต้น ตอนฮ่องเต้บอกว่าเตรียมของเอาไว้ให้ก็เลยทำเป็นไม่ได้สนใจ ฮ่องเต้เลยยิ่งให้มาอีกสุดท้ายต้องเป็นหวงจิงอวี๋ที่บอกกับพี่ชายของตนว่าจวนคงไม่มีที่เก็บของที่อีกฝ่ายประทานให้กับหญิงสาวซึ่งเป็นเทพธิดา อีกอย่างนางคงมีของเหล่านี้ดีไม่ดีมากกว่านี้บนสวรรค์ชั้นฟ้าแล้ว จะประทานแค่ไหนก็คงไม่ต่างอะไรกัน “ช่างเถอะ รับมาแล้วจะทำอะไรได้ แล้วก็เรื่องที่ต้องเดินทางเราสามารถบอกกับท่านได้ใช่ไหม แล้วท่านได้เอาคัมภีร์มาด้วยหรือไม่ สถานที่ที่เราไปล้วนบันทึกเอาไว้ในนั้น ต้องทำพิธีย้อนกลับ แต่การทำอย่างนั้นก็จะทำให้วิญญาณที่ถูกฮ่องเต้สังเวยย้อนกลับมาได้ ก็จะต้องทำพิธีทำให้วิญญาณเหล่านั้นไปสู่สุขคติ ปัญหาคือหวงตี้ฮ่องเต้ต้องเป็นคนทำเพราะครั้งแรกก็เป็นฮ่องเต้ที่ทำพิธีสังเวยวิญญาณเหล่านั้น แม้หัวหน้าครอบครัวพวกเขาจะทำผิดที่สังหารอดีตฮองเฮาและองค์ชาย แต่การนำลูกหลานและคนในตระกูลทั้งหมดมาทำพิธีบวงสรวงทั้งเป็นมิถูกต้องเลย“ หลงเหยียนส่ายหัวกับการนำคนมาฆ่าทั้งเป็นของฮ่องเต้ เพื่อทำไสยเวทมืดตามคัมภีร์โบราณเพราะเชื่อว่าจะสามารถคืนชีพให้ภรรยาและบูตรชายได้ แต่สุดท้ายนอกจากจะไม่ทำให้หยูอิงและหยงเล่อกลับมาได้ กลายเป็นจองจำเขาทั้งสองเอาไว้ระหว่างสองดินแดนระหว่างดินแดนคนเป็นและคำคนตาย “พวกเราแค่ช่วยเตรียมของและจัดการกับคำสาปแต่ละสถานที่ก็เท่านั้น” หลงเหยียนหันไปบอกชายหนุ่มที่นั่งนิ่งฟังนางอย่างตั้งใจวิธีเหล่านี้เป็นหยูอิงและหย่งเล่อที่อธิบายสิ่งที่อยู่ในคัมภีร์ให้กับนางฟังทั้งหมดแล้ว เหลือเพียงตามหาสิ่งของเหล่านั้น “มันจะได้ผลใช่ไหม” หวงจิงอวี๋ที่มีความหวังในตอนแรกเกิดกังวล หากเสด็จพี่เขาหวังไปแล้วแล้วมันไม่ได้ผลเสด็จพี่ก็คงรู้สึกแย่หนักเข้าไปอีก เพราะคราวนี้ทุกอย่างดูใกล้ความเป็นจริงมากกว่าทุกครั้ง ดูจากการประทานข้าวของมากหมายให้หลงเหยียนวันนี้ “ถ้าเราทำได้ถูกต้องทุกอย่างก็ไม่ควรจะมีอะไรผิดพลาด” หลงเหยียนบอกกับทั้งตัวเองและหวงจิงอวี๋ นางพยักหน้ากับตนเองอย่างมั่นใจ เพราะสิ่งที่หยูอิงบอกกับนางเป็นเรื่องราวที่ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานแล้ว แม้ตอนที่นางลืมตาครั้งแรกจะคิดว่าคงจะฝันเหมือนกับทุกคืนและ ตอนนี้ทุกอย่างพิสูจน์แล้วว่าหยูอิงได้พานางย้อนกลับมาในห้วงวันเวลาก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ และของแก้คำสาปยังไม่หายสาบสูญไปตามกาลเวลา “และที่แรกที่เราจะต้องไปก็ คือเจดีย์สีทองขอดูแผนที่หน่อยได้ไหม” หลงเหยียนดูแผนที่แบบโบราณได้แน่นอนเพราะนางดูมันเทียบกับแผนที่ปัจจุบันเป็นร้อยเป็นพันครั้งได้ นางจำแผนที่ทั้งหมดได้เพราะดูมาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง เรียกว่าให้วาดขึ้นมาใหม่ยังทำได้ และตอนนี้หญิงสาวก็มั่นใจว่านางอาจจะอยู่ที่เมืองลี่เจียง “แต่นั่นคือวัด” หวงจิวอวี๋ถามอย่างสงสัย แล้วก็ไม่มีตรงไหนในคัมภีร์พูดชัดขนาดนั้น “เชื่อเรา มีสิ่งของที่ทำพิธีกรรมจากที่นั่นนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของพิธี หากไม่เชื่อก็ไม่ไปถามพี่ชายของท่านได้ เพียงแต่เราคิดว่าต่อให้เขาบอกทุกอย่าง เราก็คงไม่ได้ของเหล่านั้นมาง่าย ๆ เรื่องของเรารู้อยู่แล้วไม่จำเป็นต้องยืนยัน ปัญหาก็คือจะเอามาได้อย่างไรมากกว่าเพราะสิ่งที่เราต้องการเป็นคัมภียร์อีกอันที่คู่กันกับอันนี้ของฮ่องเต้ แต่เพราะคัมภียร์อันนี้ต้นตระกูลของท่านได้มาจากที่นั่นอย่างไม่ค่อยเป็นธรรมกับคนเหล่านั้นสักเท่าไร” หวงจิงอวี๋ไม่รู้ว่าและก็ไม่แน่ใจว่าคัมภีร์โบราณนี้มาจากไหน และมาตั้งแต่เมื่อไร คัมภีร์พวกนี้กว่าเขาจะรู้ว่ามันมีอยู่ในหอคัมภีร์หลวงก็ตอนที่เสด็จพี่ของเขานำมันออกมาทำพิธีปลุกวิญญาณพี่สะใภ้กับหลานแล้ว หากเขารู้ว่ามีคัมภีร์ไสยศาสตร์เวทมนตร์ดำเช่นนนี้แอบซ่อนอยู่ในวัง เขาคงแอบนำมันไปเผาทิ้งแล้ว คัมภีร์นี้คือต้นตอของความบ้าบิ่นของเสด็จพี่ของเขาในตอนนี้ แต่หากเทพธิดาบอกก็คงจะเป็นจริงอย่างที่นางว่า นางถูกส่งมาช่วยนี่นา วันถัดมาทั้งสองก็เดินทางออกจากจวนของท่านอ๋อง หลงเหยียนรู้สึกว่าชุดโบราณกับผมสีขาวของนางก็เข้ากันได้เป็นอย่างดีอย่างน่าประหลาด ยิ่งผ้าไหมที่ได้มาจากฮ่องเต้ก็เรียกได้ว่าเป็นผ้าแพรไหมชั้นดี แต่ในยุคนี้ถึงจะมีเงินทองมากมายเพียงใดการเดินทางก็ยังยากลำบากอยู่ดี การเป็นนักโบราณคดีแม้จะต้องเดินทางไปในถิ่นทุรกันดารขนาดไหนก็ยังมีสิ่งอำนายความสะดวกมากกว่าตอนนี้ หลงเหยียนอดที่จะทึ่งคนในยุคนี้จริง ๆ ว่าสามารถผ่านความอยากลำบากได้และหาประดิษฐ์เครื่องมือมากมายออกมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างน่าประทับใจ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม