บทที่ 7
หลงเหยียนได้อาบน้ำและพักผ่อน ทุกครั้งที่เธอหลับหยูอิงและหย่งเล่อจะมาบอกเรื่องต่าง ๆ ที่หญิงสาวควรจะรู้และต้องรู้
“บอกพระสวามีของข้าว่าต่อให้ดื่มน้ำแกงของยายเมิ่งแล้วข้าก็ยังคงจะจดจำเขาได้”
หลงเหยียนตื่นขึ้นมาด้วยเสียงของนางกำนัลในจวนอ๋อง คำพูดของหยูอิงในความฝันนั้นช่างน่าแปลก แต่หลงเหยียนก็จำได้ทุกคำ ไม่เท่านั้น
“บอกเขาแค่คนเดียวนะ อย่าให้ใครได้ยิน”
เสียงกระซิบที่คล้ายจะลอยมากับสายลมทำให้หญิงสาวต้องพยักหน้าเบา ๆ เธอไม่รู้แล้วว่าเรื่องตอนนี้อะไรจริงอะไรเท็จ แต่หากนี่เป็นเรื่องจริงที่เธอไม่ได้คิดนึกขึ้นเอง การได้เจอกับหวงตี้ฮ่องเต้ก็เป็นอะไรที่น่ากลัวภาพในความฝันที่เห็นบ่อยครั้ง อีกฝ่ายไม่ได้ใจดีเหมือนกับน้องชายหวงจิงอวี๋ แต่กลับมีความโหดร้ายและเอาแต่ใจหนักอยู่
ก่อนหน้าฮองเฮาจะจากไปก็ว่าแย่แล้วหลังจากจากไปก็ยิ่งแย่ขึ้นกว่าเดิมอีก
หลงเหยียนถูกจับแต่งตัวโดยนางกำนัลมากมาย เธอนึกเห็นใจหญิงสาวสมัยก่อนที่ต้องเปิดเผยร่างกายให้กับสาวใช้ได้รู้ แต่จะให้ทำนั่นนี่เองไปทั้งหมดก็เป็นเรื่องที่ยากเกินไป ไม่ชินเลยจริง ๆ หลงเหยียนคิด
ชุดของเธอเป็นสีขาวเหมือนกับผมของเธอแต่มีผ้าวกกลับขึ้นไปคลุมผมของหญิงสาวเอาไว้ ซึ่งนั่นก็ทำให้ตอนนี้หญิงสาวเหมือนเทพธิดาจริง ๆ แม้จะไม่ใช่ก็ตาม
หวงจิงอวี๋นั่งรออยู่พักใหญ่สุดท้ายคนที่เขารอคอยก็ถูกพามา ภาพของคนที่เขาช่วยขึ้นมาจากแม่น้ำไม่ได้เป็นอย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้นางทั้งสวยและสง่าอย่างที่ชายหนุ่มไม่เคยคิดว่าจะมีใครงดงามเช่นนี้ได้
“ท่านอ๋อง” องครักษ์จูเอ่ยเรียกท่านอ๋องของตนเบา ๆ เมื่อเห็นว่าตอนนี้คนที่ท่านอ๋องของเขาเรียกว่าเทพธิดามายืนอยู่ตรงงหน้าแต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้พูดอะไร
“อื้อมม ไป ไปกันเถอะ” ท่าทางที่ไม่เคยได้เห็นทำให้องครักษ์จูแอบยิ้ม ท่านอ๋องของเขาไม่สนใจเรื่องใดทั้ง ๆ ที่ฮ่องเต้ซึ่งเป็นเสด็จพี่ของพระองค์มีมเหสีและมีพระโอรสที่อีกไม่กี่ปีก็จะได้สวมกวานถ้าไม่ได้สิ้นไปซะก่อน แต่สำหรับเจ้านายของเขาก็ยังคงมีแค่สนามรบเท่านั้นกับกระบี่เท่านั้นที่อยู่ข้างกาย
ทั้งสองนั่งรถม้าไปด้วยกัน หลงเหยียนเห็นอีกฝ่ายจ้องเธอโดยไม่ได้พูดอะไรก็ทนไม่ไหว “มองเราทำไม” เธอถามด้วยความสงสัย
“สร้อยนั่นสะดุดตาเกินไป” หวงจิงอวี๋พูดเพราะกังวลเรื่องสร้อยคอที่เทพธิดาผู้นี้ขอนำกลับไปใส่ เขากลัวว่าเสด็จพี่ของเขาจะทำอะไรกับนาง หลังจากเกิดเรื่องราวทั้งหมดเสด็จพี่ของเขาจิตใจเปลี่ยนแปลงไปจนคาดเดาไม่ได้
“เราถอดไม่ได้ หากถอดก็จะติดต่อกับหยูอิงและหย่งเล่อไม่ได้” ที่จริงหลงเหยียนก็ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า แต่เธอก็คิดว่าควรจะทำแบบนี้นั่นแหละ
พระราชวังที่กว้างใหญ่เดินจนเมื่อยทำให้หลงเหยียนแอบคิดว่าทำไมจะต้องสร้างไว้ใหญ่ขนาดนี้กันนะ มีพื้นที่บางส่วนไม่ได้ใช้ในวันธรรมดา ถ้าหากไม่จัดงานอะไร แต่เวลาเดินก็เสียแรงมาก ๆ แล้วคนข้าง ๆ นี่ก็หญิงสาวคิดอย่างไม่พอใจเมื่อขายาว ๆ ของเขายังก้าวไม่หยุด
“เป็นอะไรหรือเปล่า” หวงจิงอวี๋ถามเพราะเห็นท่าทางของหญิงสาวข้าง ๆ ดูเหมือนนางจะไม่พอใจเขาอยู่
“เราเดินเร็วไม่ไหว” หลงเหยียนจำต้องบอกออกไปเพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้นเธออาจจะเป็นลมเอาก่อนที่จะถึงท้องพระโรงก็เป็นได้ แต่พอเดินมาถึงเข้าจริง ๆ ก็ยังต้องรอจนกว่าจะถูกเรียกเข้าเฝ้าอีก
หลงเหยียนถอนหายใจอย่างไม่พอใจ และนั่นก็ทำให้คนข้าง ๆ กายของเธอหันมองและยิ้มขำ
ไม่นานนักทั้งสองก็ถูกเรียกให้เข้าเฝ้า แน่นอนว่าสร้อยบนคอของหญิงสาวทำให้หวงตี้ฮ่องเต้กำมือของตัวเองแน่น เพราะเขาเองก็มีสร้อยเช่นนี้อยู่เหมือนกัน และมันก็ถูกถอดออกมาจากคอของหยูอิงภรรยาของเขา
“นี่น่ะหรือเทพธิดา”
หลายคนในท้องพระโรงเริ่มพูดกันอื้ออึง บางคนบอกว่านางอาจจะเป็นเทพธิดาจริง ๆ แต่จะรู้ได้อย่างไรจะเอาอะไรมาพิสูจน์ บางคนก็ตีไปแล้วว่าหญิงสาวอาจจะเป็นมารมาหลอกล่อให้ฮ่องเต้ของพวกเขาเสียสติไปมากกว่านี้
“เงียบ” หวงตี้ฮ่องเต้เอ่ยเสียงดัง ทั้งท้องพระโรงเงียบนิ่งไปหมด ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรอีกหากยังอยากมีชีวิตก็ควรจะเงียบเอาไว้ก่อน
“สร้อยนั่นเจ้าได้มาจากที่ใดกัน”
หลงเหยียนกลัวจนตัวสั่นแต่กลับตอบกลับไปอย่างถือดี เพราะบทบาทของเธอในตอนนี้เป็นอย่างนั้นน่ะสิ
“เรื่องนั้นเราจะบอกกับท่านโดยตรงเท่านั้น” และเพราะไม่รู้ว่าต้องใช้คำศัพท์นั่นนี่อย่างไร จึงเลือกที่จะไม่ใช้เลยดีกว่า หญิงสาวยืนตรงแววตามุ่งมั่น เธอทำเหมือนกำลังพรีเซนต์งานวิจัยปริญญาเอกต่อหน้าอาจารย์ของเธอ ภายในใจทั้งกลัวและกังวล แต่ก็ทำเป็นมั่นอกมั่นใจในผลงาน แต่ก็เกือบจะหลุดเพราะสายตาที่น่ากลัวของหวงตี้ฮ่องเต้ แต่ก็เป็นคนที่เดินมาข้าง ๆ ที่เข้ามากันด้านหน้าเมื่อพี่ชายของตนเดินเข้ามาใกล้
“เจ้าเป็นใครกันเราถึงต้องฟังคำ แล้วยังการพูดจานั่นอีก” คำนั้นทำให้เหล่าขุนนางเริ่มกลับมาใส่ร้ายหญิงสาวอีกครั้ง แต่หลงเหยียนมั่นใจว่าเธอรอดแน่ ๆ
“มีคำฝากจากหยูอิงฝากมาบอก จะฟังหรือไม่” เพราะอีกฝ่ายอยู่ใกล้ ๆ หลงเหยียนจึงพูดเบา ๆ และนั่นก็ทำให้หวงตี้ฮ่องเต้อ่อนลงในทันที
แต่ก่อนที่จะได้เอ่ยอะไรหลงเหยียนรู้สึกถึงสายตาที่มองมาด้วยความเกลียดชัง
“ว่านหนิง” หลงเหยียนเผลอหลุดเรียกชื่อของเพื่อนสนิทของเธอออกมา เธอเอียงคอเพื่อมองผ่านแผ่นหลังหวงจิงอวี๋เพื่อที่จะได้มองใบหน้าของหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านข้างบัลลังก์มังกรให้ชัดขึ้น แม้เสียงของเธอจะเบา แต่ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำนางมาที่ท้องพระโรงแห่งนี้สายตาและจิตใจของเขามุ่งตรงมาที่นางตลอดเวลาจึงได้ยิน เขามองตามหลงเหยียน
“นางมิได้มีนามว่าว่านหนิง นางเป็นองค์หญิงบรรณาการจากแคว้นซ่าง นามว่าม่านหลิน นางถูกส่งตัวมาเป็นองค์ประกันตั้งแต่เยาว์วัยเพือให้คำมั่นว่าแคว้นซ่างจะสวามิภักดิ์ต่อแคว้นของเสด็จพี่ข้าตลอดไป”
หลงเหยียนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ นั่นสินะ ว่านหนิงจะมาอยู่ทีนี่ได้อย่างไร คงแค่เพียงมีใบหน้าคล้ายกันเท่านั้น เพราะจากเท่าที่มองใบหน้าแค่คล้ายกันเท่านั้นเองจริง ๆ ในยุคที่เธอจากมาคนที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกันมีมากมายอีกทั้งหญิงสาวผู้นั้นสวมใส่เครื่องประดับล้ำค่า และอาภรณ์สีฉูดฉาดราวกับหญิงสาวสูงศักดิ์ รัศมีแห่งความงามเปล่งประกายดั่งองค์หญิงในซีรีส์จีนโบราณ