ชายหนุ่มเลิกคิ้วประหลาดใจกับท่าทางของเธอก่อนจะยกยิ้มมุมปาก เขาขยับตัวมาใกล้ ยื่นมือไปหยิบถ้วยยามาวางตรงหน้าของหญิงสาว
“เพลินไม่สบายต้องกินยา” เขาเอ่ยอย่างรู้ทัน
“เพลินดีขึ้นแล้วไม่ต้องกินก็ได้ค่ะ” เธอยืนยันเสียงแข็งเพราะเกลียดการกินยามาตั้งแต่ไหนแต่ไร
มาโปรดส่ายหน้าช้า ๆ ยกมือขึ้นแตะหน้าผากของเธอ “ตัวยังรุม ๆอยู่เลย กินยาไว้เถอะ นี่ยาที่หมอจัดไว้ให้ด้วยไม่อันตรายหรอก”
ไพลินถอนหายใจเบา ๆ จำใจกินยานั้นเสีย ที่ไม่ได้กินนี่ไม่ใช่เพราะกลัวอันตราย แต่เป็นเพราะยามันขม เธอไม่ชอบต่างหาก เธอเบ้ปากแต่เขากลับหัวเราะเสียงดังออกมา
“อาโทรบอกคุณตาแล้วว่าเราอยู่ที่นี่”
“เอ่อ...แล้วอาโปรดได้เล่าเรื่องอื่นด้วยหรือเปล่าคะ” สีหน้าของไพลินดูไม่ค่อยสบายใจนัก
ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อีกครั้งด้วยท่างทางผ่อนคลาย ปลายนิ้วเคาะบนโต๊ะ “อาไม่ได้บอกอะไร แต่อาคิดว่าอาควรรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไหนเล่ามาซิ ใครทำอะไรเพลินของอา”
เสียงเขานุ่มนวล แล้วคำสุดท้ายนั่นชวนให้ใจของไพลินสั่นไหวแปลก ๆ ไม่รู้ว่าเธอเป็นอะไรไปแล้ว เวลาอยู่ใกล้เขาเธอเหมือนกับคนจะเป็นโรคหัวใจ เพราะหัวใจดันเต้นแรงอยู่ตลอดเวลา แต่พอเวลาได้ใกล้ชิดและได้ฟังเขาใช้คำพูดคำจาแบบนี้ก็รู้สึกใจวูบหวิว ๆ
เธอไม่อยากเล่าเรื่องตัวเอง แต่มาโปรดก็ใจเย็นพอจะไม่เซ้าซี้ถามซ้ำ ทว่าการนิ่งเงียบของเขากลายเป็นความอึดอัดจนในที่สุดเธอต้องสารภาพออกไป
“อาโปรดได้ยินเรื่องเพลินหมั้นแล้วใช่ไหมคะ” เธอถามพลางช้อนตาขึ้นมอง และเมื่อเห็นเขาพยักหน้าเธอจึงเล่าต่อ “เพลินหมั้นกับเมธตั้งแต่คุณแม่เสีย เมื่อวานเพลินตั้งใจไปเซอร์ไพรส์เขาแต่กลับเจอเขานอนกับเพื่อนของเพลิน...”
คราวนี้เธอหยุดไปอีกและคิดว่าเขาคงเข้าใจ เพราะสภาพที่พบเธอนั้นก็น่าอนาถอยู่ไม่น้อย เธอนิ่งรอฟังเสียงหัวเราะหรือถ้อยคำดูแคลนว่าโง่เง่า แต่กลับมีเพียงความเงียบจนเธอเงยหน้าสบตากับเขา
“อาโปรดจะไม่พูดอะไรหน่อยหรือคะ” เธอเอียงคอ ทำให้ปอยผมตกลงมาเคลียใบหน้า “อาโปรดเชื่อที่เพลินพูดไหมคะ”
“เชื่อ” คำตอบรับหนักแน่น เขาเผยยิ้มบาง ๆ แต่ดูร้ายกาจ แต่นั่นกลับขับเน้นให้ใบหน้าคมเข้มดูน่ามองยิ่งขึ้น “แต่ตอนนี้อาเป็นห่วงเพลินมากกว่า เพลินจะทำยังไงต่อ”
“ตอนนี้เพลินยังคิดอะไรไม่ออกค่ะ” เธอสารภาพไปตามตรง “แต่ให้กลับไปเหมือนเดิมคงทำไม่ได้แล้ว”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาความเจ็บปวดก็จุกขึ้นมาในอก บาดแผลเธอยังสดใหม่เกินไป คงจะต้องใช้เวลาสักพักในการทำใจให้ยอมรับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และถึงแม้จะยังคิดอะไรไม่ออก หรือยังไม่อยากจะคิด แต่สิ่งหนึ่งที่เธอรู้คือตอนนี้เธอตาสว่างแล้ว
“ก็นับว่าไม่โง่เกินไปนัก” ชายหนุ่มพยักหน้าพึมพำในลำคอเบา ๆ เหมือนพูดกับตัวเองมากกว่า
“อาโปรด! อย่าซ้ำเติมเพลินสิคะ” เธอต่อว่าเขาแต่กลับหัวเราะออกมา ความทุกข์ใจกังวลใจที่คิดว่าใหญ่หลวงกลับหดเล็กลงทันทีเมื่ออยู่ต่อหน้าคนคนนี้ เธอรู้สึกได้รับความอบอุ่นใจไปเติมพลังชีวิต
“ถ้ากลับไปหาคนแบบนั้นอีกก็โง่เต็มทีแล้ว”
เห็นหญิงสาวหัวเราะออกมาได้ เขาก็เบาใจ คราวนี้เขารินน้ำดื่มให้ตัวเอง “เห็นธาตุแท้กันตอนนี้ดีกว่าไปรู้ตอนแต่งงานกันไปแล้ว”
ไพลินพยักหน้ารับ “แต่เมธเขาขอโอกาสแก้ตัวอีกครั้ง”
พรวด!
“อาโปรด! อาโปรดเป็นอะไรไปคะ” ไพลินหยิบกระดาษทิชชู่บนโต๊ะส่งให้มาโปรดที่พ่นน้ำดื่มออกมาแถมยังสำลักไอค่อกแค่กไม่หยุด
“นี่ยังคิดจะกลับไปหามันอีกเรอะ!” เขาถามเสียงเข้มหลังจากที่หยุดไอ ใบหน้าผ่อนคลายเมื่อครู่เปลี่ยนมาเป็นถมึงทึงราวกับโกรธใครมาเป็นสิบชาติจนไพลินนึกกลัว
“ก็...” ไพลินไม่กล้าพูดไปอย่างที่คิด “ก็เขาขอมาแบบนี้ แต่เพลินยังไม่ได้ให้คำตอบนี่คะ” เธอรีบหลุบสายตามองตักตัวเอง
“นี่รักมากขนาดยอมให้คนแบบนั้นทำร้ายจิตใจเลยเรอะ” มาโปรดยื่นหน้าไปขึงตาใส่ทำเอาหญิงสาวเอนหลังถอยหนี “รักมันมากขนาดนั้นเลยหรือไง”