บนโต๊ะมีสำรับอาหารจัดเรียงไว้อยู่ก่อนแล้ว เมื่อเปิดฝาครอบอาหารออก กลิ่นข้าวต้มไก่ฉีกก็ลอยแตะปลายจมูก พร้อมทั้งหมูหยองและไข่เค็ม ส่วนขิงซอยนั้นอยู่ในถ้วยเล็ก ๆ ไม่ได้ใส่พร้อมกันลงไปในชามข้าวต้มด้วย
เห็นเพียงแค่นี้ จู่ ๆ น้ำตาก็เอ่อคลอดวงตาคู่สวย หัวใจของไพลินกำลังเจ็บปวด เพราะมันทำให้เธอนึกย้อนไปถึงคืนวันเก่าก่อนที่เธอเกือบจะลืมไปแล้ว
มาโปรดเห็นน้ำตาที่คลอเบ้าของหญิงสาวแล้วก็ตกใจจนลนลานไปหมด กลัวว่าจะทำอะไรไม่ถูกใจ
“โทษที อาลืมไปว่าเพลินไม่ใช่เด็กเล็ก ๆ แล้ว ยังเตรียมของกินแบบเดิม ๆ ให้อีก เพลินอยากกินอะไร อาจะเปลี่ยนให้ใหม่” เขาจัดแจงคว้าถาดจะไปเปลี่ยนอาหารมาให้เธอใหม่
“อย่าเปลี่ยนเลยนะคะ เพลินชอบ” หญิงสาวรีบห้าม เงยหน้ากระพริบตาถี่ ๆ เพื่อไล่หยาดน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
เธอรีบนั่งลงที่เก้าอี้ ไม่ยอมให้มาโปรดยกอาหารหนี เขาเห็นเธอไม่เปลี่ยนใจจริง ๆ จึงยอมวางถาดอาหารกลับที่เดิม นั่งลงข้าง ๆ รินน้ำใส่แก้วไว้ให้ ข้างแก้วน้ำมียาสองสามเม็ดใส่ถ้วยใบเล็กรออยู่ ไพลินเลื่อนชามข้าวต้มมาตรงหน้า หยิบขิงซอยโรยใส่เล็กน้อย เหยาะพริกไทยและซอสถั่วเหลือง แล้วก้มหน้าก้มตากิน อาจเพราะเมื่อวานไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน เพราะเจอเหตุการณ์นั้นเข้าทำให้เช้านี้ ไม่สิ เที่ยงแล้วนี่ เธอจึงรู้สึกหิวมาก รสชาติคุ้นเคยทำให้รู้สึกเจริญอาหาร เผลอแป๊บเดียวข้าวต้มก็หมดชามจนต้องตักเพิ่มรอบสอง
มาโปรดเอนหลังพิงพนักเก้าอี้มองดูหญิงสาวกินอาหารเช้าที่เริ่มเอาตอนเที่ยง ความรู้สึกเก่า ๆ ก็หวนกลับมา
เขาเป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทในวัยเดียวนัก ใช้เวลาทุ่มเทไปกับเรื่องในไร่ ทั้งทำงานทั้งเรียนไปพร้อมกัน สีสันเดียวในชีวิตของเขาก็คือเด็กหญิงตัวน้อยที่ขะมุกขะมอมวิ่งมาหาเขาอยู่บ่อย ๆ เขาไม่ได้ชอบเด็ก แต่ถูกเด็กก่อกวนจนอ่อนใจ
แรกทีเดียวคิดว่าเป็นลูกหลานคนงานในไร่ จนกระทั่งคุณตาที่เป็นเจ้าของไร่เล็ก ๆ ติดกันมาตามหาหลานสาวจึงได้รู้ว่า ‘เจ้าเด็กเพลิน’ คือหลานของไร่ข้าง ๆ
ตัวเขาเองรู้จักแม่ของไพลินแต่ไม่สนิทกันเรียกว่าแค่ทักทายกันตามประสาคนบ้านใกล้เรือนเคียง ต่อมาจึงรู้ว่าพ่อกับแม่ของเพลินมีปัญหาชีวิตคู่ และส่งลูกให้กลับมาอยู่กับคุณตาคุณยาย ช่วงชีวิตมัธยมฯ ของไพลิน เขาไม่ค่อยได้พบเธอบ่อยนัก แต่ก็มีบางครั้งบางคราวที่เธอไปโรงเรียนไม่ทันเพราะรถของคุณตาเสีย เขาจึงขับรถไปส่ง เสียงหัวเราะหวานใสและเรื่องเล่าต่าง ๆ ยังคงแจ่มชัดในความทรงจำของเขา เหมือนกับว่าเด็กคนนี้ไม่เคยเจอเรื่องเลวร้ายหนักหนาใดในชีวิต
ยกเว้นก็แต่ครั้งนี้...
“ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี อาโปรดยังจำได้ว่าเพลินชอบกินอะไร”
เมื่อสัมผัสถึงบรรยากาศความคุ้นเคยเก่า ๆ คำสรรพนามเรียกขานห่างเหินเช่นเมื่อคืนวานก็เปลี่ยนกลับคืนมาดังเดิม เธออาจจะไม่รู้ตัว แต่มาโปรดพอใจมาก
“ก็มีเด็กซน ๆ แบบนี้อยู่คนเดียวนี่ จะลืมได้ไง” เขายิ้ม “เจ็ดหรือแปดปีแล้วใช่ไหม”
“ค่ะ เจ็ดปีแล้ว” ไพลินยกน้ำขึ้นดื่ม แต่ทำเป็นมองไม่เห็นยาสองสามเม็ดในถ้วยเล็ก ๆ นั้น
“ได้ยินว่าได้ทุนไปเรียนเมืองนอกด้วยนี่”
“ค่ะ แต่ได้เรียนแค่คอร์สภาษาค่ะ พอดีคุณแม่ป่วยเพลินเลยต้องกลับมาดูแลท่าน เพราะท่านไม่มีใคร”
“อาเสียใจด้วยนะ” เขาเสียใจ แต่การเสียใจนี้เกิดจากที่เพลินของเขาเดือดร้อนแต่กลับไม่มาขอความช่วยเหลืออะไรจากเขา
ตั้งแต่ตอนที่เธอไปใช้ชีวิตเด็กมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ระหว่างเขากับเธอก็กลายเป็นความเหินห่าง ไม่ได้ติดต่อใด ๆ กันอีก
“ค่ะ”
เพราะต้องการเลี่ยงการกินยา ไพลินจึงแสร้งมองไปทางอื่น ทว่าสายตากับสะดุดกับดวงตาคมวาวราวเสือดำของมาโปรดเข้าให้ เธอก้มหน้าหลบสายตาอย่างไม่รู้ตัวราวกับเด็กที่ทำผิดแล้วถูกผู้ใหญ่จับได้