ตอนที่2 ข้างห้องร้องดัง
“ขอโทษด้วยนะคะที่ให้คุณลูกค้าต้องรอนาน”
พอวางแก้วกาแฟเสร็จสรรพฉันก็ยืนโค้งเป็นการแสดงความขอโทษต่อพวกเขา
“น้องชื่ออะไร หน้าตาน่ารักจังครับ” ผู้ชายหนึ่งในนั้นเอ่ยถามฉันขึ้น
“มินนี่ค่ะ”
มินนี่ คือชื่อที่เพื่อนๆ ในประเทศไทยเรียกฉัน นอกจากคุณพ่อและญาติที่เกาหลีแล้วแทบจะไม่มีใครที่นี่รู้จักฉันในชื่อ ‘ดาโซ’ เลยสักคนเดียว ก่อนจะมาประเทศไทยฉันฝึกพูด อ่าน เขียนภาษาไทยมาอย่างหนักจนพูดภาษาไทยได้คล่อง แต่มันอาจจะฟังดูสำเนียงแปร่งๆ ไปบ้างสำหรับเจ้าของภาษา
“ชื่อน่ารักอีกตะหาก มีแฟนเหรอยังครับ” เพื่อนในกลุ่มอีกคนแซวขึ้น
“ยังค่ะ ขอตัวไปทำงานต่อนะคะ”
“เดี๋ยวสิครับช่วยเก็บขยะตรงนี้ไปทิ้งหน่อยสิคนสวย มันดูไม่สะอาดตาเลย” ผู้ชายผมเกรียนที่สุดในกลุ่มขยำบิลแล้วโยนลงข้างโต๊ะ
“ค่ะ อุ๊ย! ทำไมทำแบบนี้คะ”
พอฉันย่อตัวลงไปเก็บเศษกระดาษก็มีมือของหนึ่งในผู้ชายพวกนั้นมาจับที่ก้นของฉัน แล้วคนที่เหลือก็พากันหัวเราะชอบใจใหญ่ เท่านั้นไม่พอลูกค้าโต๊ะอื่นก็พากันมองมายังฉันและผู้ชายโต๊ะ4เป็นตาเดียวกัน ฉันทั้งโกรธและอายจนหน้าแดง ต้องรีบเดินกลับมาหลังเคาน์เตอร์
“เป็นไรมากมั้ยมินนี่”
วาวาซึ่งเป็นเพื่อนที่เรียนอยู่ด้วยกันร้องถามด้วยสีหน้าเจื่อนๆ ฉันเดาว่าวาวาคงเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด
“ไม่ ไม่เป็นไร ฉันแค่ตกใจนิดหน่อย”
วาวาพยักหน้า
“คราวหลังเวลาเสิร์ฟเสร็จก็รีบเดินออกมาเลย ไม่ต้องไปพูดจาต่อล้อต่อคำกับพวกนั้นอีกเข้าใจมั้ยมินนี่ พวกนั้นจะหาว่าเธอไปอ่อยเขา”
พี่บีตะคอกพร้อมกับขึงตาใส่ฉัน
อ่อย… งั้นเหรอ!
ฉันคิดว่าเข้าใจความหมายของคำนี้ดีนะ หัวสมองของฉันเริ่มประมวลผลค้นหาคำศัพท์ภาษาไทยที่เคยเรียน
อ่อย ผลการค้นหาคำศัพท์สำหรับ อ่อย
คำกริยา
1.โปรยเหยื่อเพื่อล่อปลา ในคำว่า อ่อยเหยื่อ
2.ให้เงินหรือสิ่งของคราวละเล็กละน้อยเป็นเหยื่อล่อเพื่อให้ตายใจ
“แต่มินนี่ไม่ได้อ่อยนะคะพี่บี”
ฉันไม่เข้าใจว่าฉันไปอ่อยพวกนั้นตรงไหน
“อย่ามาเถียงมินนี่ ฉันเห็นว่าเธอไปยืนคุยกับพวกเขา”
พี่บีเริ่มขึ้นเสียงใส่ฉัน จนวาวาต้องดึงแขนฉันเอาไว้เหมือนต้องการให้ฉันหยุดเถียงพี่บี ใช่สินะ! ไม่ว่าจะผิดหรือถูกพวกเราก็ไม่เคยถกเถียงกับพี่บีชนะอยู่แล้วนี่
“ค่ะ ขอโทษค่ะ” ฉันได้แต่ก้มหัวขอโทษ
“เอานี้ ไปเสิร์ฟเค้กโต๊ะ7 กาแฟร้อนโต๊ะ10”
เห้อ… การทำงานมันสอนอะไรฉันได้มากมายจริงๆ นะ อดทนเข้าไว้นะ
คอนโดมิเนียม เวลา01:37 น.
ตึก! ตึก! ตึก!
เอี๊ยด เอี๊ยด เอี๊ยด
โอวว์ อ่าห์ อือๆ ๆ
ฉันงัวเงียหันไปมองนาฬิกาปลุกซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะโคมไฟ
เอาอีกแล้วสินะ!
เสียงเหมือนขอบเตียงกระแทกกับฝาผนังห้อง ของห้องที่ติดกับฉันจนสะเทือนมาถึงห้องที่ฉันนอนอยู่ เสียงดังเอี๊ยดๆ ของเตียง และเสียงร้องครางซี้ดซ้าดที่บาดแก้วหูจนปลุกฉันขึ้นมากลางดึกบ่อยๆ พอเสียงพวกนี้ดังขึ้นทีไรทำเอาฉันนอนไม่หลับตลอดเลย ต้องลุกขึ้นมานั่งรอจนกว่าคนในห้องข้างๆ จะเสร็จกิจกรรมของพวกเขา ซึ่งบางทีก็ปาไปตีสองตีสาม ทำให้ฉันนอนพักผ่อนไม่เพียงพอขอบตาดำเป็นหมีแพนด้าไปเรียนเกือบทุกเช้า
นี่มันเวรกรรมอะไรของฉันกันนะ?
ฉันพักอยู่คอนโดชั้นที่สิบสอง ห้องเก่าที่เคยพักอยู่กับคุณพ่อ หลังจากที่ท่านไปเกาหลีก็เหมือนว่ายังไม่มีวี่แววจะได้ย้ายกลับมาประเทศไทยอีกเลย พักหลังๆ เราสองคนพ่อลูกไม่ค่อยได้พูดคุยกันบ่อยนักเพราะเวลาว่างไม่ค่อยตรงกันเท่าไหร่ เงินที่ท่านเคยส่งมาให้ฉันใช้จ่ายก็ลดจำนวนลงเกือบครึ่งของเมื่อก่อน ด้วยเหตุผลที่ท่านบอกว่ามีความจำเป็นนำเงินไปใช้ในส่วนอื่น ซึ่งฉันเองก็ไม่เคยถามซักไซ้ท่านเพราะฉันเองก็มีรายได้จากการทำงานพิเศษอยู่แล้วเลยไม่ได้เดือดร้อนอะไรมากนัก
เมื่อก่อนก็ไม่มีหรอกนะเสียงหลอนๆ ร้องโหยหวนครวญครางกระเส่าดึกดื่นแบบนี้ เพิ่งจะมาได้ยินไม่กี่เดือนมานี่เอง ฉันไม่เคยพบหน้าคร่าตากับเจ้าของห้องที่พักอยู่ติดกันเลยสักครั้ง คาดว่าเขาหรือเธอคงจะย้ายเข้ามาใหม่ ไม่รู้ว่าเขาเป็นผู้ชายเหรอว่าเป็นผู้หญิงด้วยซ้ำ ปกติฉันก็ไม่ค่อยสุงสิงกับใครเท่าไหร่ ชอบอยู่แบบสันโดษ แต่สิ่งที่พวกเขาทำมันเกือบจะทำให้ฉันกลายเป็นบ้าอยู่แล้ว
“ทำกันเบาๆ เงียบๆ เสียงหน่อยไม่ได้เหรอคะ ฉันง่วงนอน”
ฉันเอามือป้องปากชิดกับผนังบริเวณหัวนอนแล้วตะโกนออกไปสุดเสียง
โอ้ยย อืออ อ๊าก (จู่ๆ เสียงจากห้องข้างๆ ก็ดังขึ้นสวนกลับมาเหมือนแกล้งฉัน)
“ฆ่ากันตายแล้วมั้ง เอาเลยตามสบาย อยากทำอะไรก็เชิญเลยค่า”
ฉันล้มตัวนอนคว่ำหน้าคว้าหมอนมาอุดหูสองข้างเอาไว้ คิดว่ายังไงพรุ่งนี้เช้าฉันต้องนำเรื่องนี้ไปบอกคนดูแลคนคอนโดให้ช่วยจัดการให้หน่อย แต่เสียงกวนประสาทนั้นก็ยังทะลุหมอนเข้ามาในหูของฉันอีก เมื่อก่อนเคยได้ยินเกี่ยวกับผู้คนที่เดือดร้อนกับเหตุการณ์คล้ายๆ แบบนี้เหมือนกัน ตอนนั้นฉันฟังเพื่อนเล่าแล้วก็ได้แต่นึกขำเหมือนเรื่องตลกร้ายทั่วไป ทว่าพอมาเจอกับตัวเองเต็มๆ ก็เลยขำไม่ออก วันพรุ่งนี้ก็ต้องลากสังขารไปเรียนแต่เช้าอีก
โถ ชีวิตของเธอนี่มันช่างน่าสงสารจริงเชียว ดาโซ
ฉันพยายามข่มตานอนจนในที่สุดก็หลับไปด้วยความง่วงและอ่อนเพลีย ท่ามกลางเสียงร้องครางที่ไม่รู้ว่าหยุดลงไปตอนไหน… เห้อ