เส้นทางสีเทา

1159 คำ
ตอนที่1 เส้นทางสีเทา [แจสเปอร์ TALKS] ผมมันก็แค่คนที่เอาดีอะไรไม่ได้เลยสักอย่างเหมือนที่พ่อชอบพูดกรอกหู จนถ้อยคำพวกนั้นมันฝังหัวผมมาตลอด ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่เราสองคนพ่อลูกเหมือนกับเจ้ากรรมนายเวรซึ่งกันและกัน ผมมันลูกนอกคอก เรียนมหาลัยก็ไม่จบทำตัวเกเร คบเพื่อนเลว เพื่อนขี้ยา เป็นอันธพาล นักเลงหัวไม้ และตามเนื้อตัวของผมมีรอยสักเหมือนพวกขี้คุก บางทีพวกผู้ใหญ่ก็คิดว่าความคิดของตนเองถูกเสมอ เมื่อใดที่พวกเรามีความคิดซึ่งแตกต่างออกไปก็มักจะถูกตำหนิ ด่าทอ เหมือนผมที่ได้ชื่อว่าลูก (ไม่) รักของพ่อ พ่อไม่รู้สักนิดว่าสิ่งที่พ่อให้ร้ายทางวาจาต่อผมมันได้ผลักดันให้ผมเป็นไปตามที่ท่านตำหนิแทบจะทุกอย่าง ผมออกจากบ้านตั้งแต่อายุยี่สิบปี ก่อนที่อีกสี่ปีต่อมาท่านจะจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับมาด่าว่าผมได้อีก เส้นทางที่ผมเลือกเดินหลายต่อหลายคนเลือกที่จะหนีให้ห่าง โลกของผมมันเป็นสีเทา ใครก็ตามที่ก้าวเท้าเข้ามาต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า… มึงจะไม่มีวันได้ออกไปง่ายๆ แน่ “ไอ้ดาจิมมันแม่งถูกยิงตายวันก่อน” พี่เสือทำท่าหงุดหงิด คีบบุหรี่เข้าปากแล้วพ่นควันออกมาใส่กลางวง พวกเราห้าคนยืนล้อมกันอยู่บนโต๊ะกลมในห้องที่พี่เสือหัวหน้าใหญ่มักจะใช้เป็นห้องประชุมสั่งงาน พี่เสือหน้าตาออกไปทางลูกครึ่งหนวดเคราครึ้ม รอยสักเต็มตัว ที่เป็นเอกลักษณ์คือเขาชอบสวมหมวกเบเร่ต์ และมีรอยสักรูปนกฮูกที่มีหัวกะโหลกอยู่ตรงกลางบริเวณลำคอ “ตอนนี้กูอยากหาคนมาทำงานแทนมัน พวกมึงใครจะอาสาบ้างวะ” คนทั้งโต๊ะพากันยกมือขึ้นยกเว้นผม งานที่ไอ้ดาจิมรับผิดชอบอยู่ทั้งคุมบาร์ คุมผับ และสถานอาบอบนวด งานพวกนี้มันเกี่ยวกับเรื่องคาวๆ จึงไม่แปลกที่มีใครหลายคนอยากเข้ามาทำหน้าที่ของมัน พี่เสือกวาดสายตามองทุกคนที่ยกมือขันอาสากระทั่งสายตาของเขามาหยุดที่ผม “เพื่อความยุติธรรม กูมีวิธีการเลือกง่ายๆ เลย” ปากที่คาบบุหรี่อยู่พ่นควันออกมา มือเขาก็เอื้อมไปคว้าปืนลูกโม่ออกมาจากด้านหลัง พี่เสือเทกระสุนออกจากโม่จนหมดแล้วใส่กระสุนกลับลงไปหนึ่งนัด “เอางี้เลยเหรอพี่เสือ” ผมเห็นหลายคนที่ยกมือหน้าเริ่มถอดสี ใครๆ ทั้งโต๊ะคงเดากันออกแล้วว่าพี่เสือจะเล่นเกมรัสเซียนรูเล็ต บางคนเอามือลงในทันที “งานนี้พวกมึงก็รู้ว่ามันเสี่ยง กูอยากได้คนที่ใจหน่อยใครที่เหนี่ยวไกเป็นคนสุดท้ายได้งานนี้ไป ใครปอดแหกจะถอยตอนนี้ก็ยังทัน” พี่เสือหมุนโม่แล้วตบปืนเข้าที่ก่อนจะวางไว้กลางโต๊ะ ตอนนี้ทุกคนเงียบกริบกันหมดพากันเอามือลงจนไม่เหลือใครที่ยกมือค้างไว้อีก “พวกมึงแม่งปอดแหกกันชิบหาย เชี้ยเอ้ย!” พี่เสือเริ่มหงุดหงิดจนหนวดกระตุก “ผมเล่นเอง” ผมยื่นมือไปหยิบปืนลูกโม่กระบอกนั้นขึ้นมาจ่อหัวตัวเอง ตอนนี้คนทั้งโต๊ะพากันมองมายังผมเป็นตาเดียวกัน ชีวิตผมตอนนี้แม่งก็บัดซบจะตายไป พอพ่อที่เกลียดผมราวกับเป็นศัตรูก็ตายจากไป จนผมคิดว่าโลกนี้ผมไม่เหลือใครอีกแล้ว “มึงแน่ใจเหรอไอ้แจสเปอร์” พี่เสือเลิกคิ้วขึ้น ผมเริ่มเหนี่ยวไก… แชะ… แชะ… แชะ… แชะ เสียงนกสับไกดังแชะติดกันสี่ครั้ง “พอไอ้เชี้ย เดี๋ยวก็ตายห่าหรอกมึง” พี่เสือคว้ามือของผมเอาไว้แล้วแย่งปืนไป เขาส่ายหัวไปมาพร้อมกับอมยิ้มอย่างชอบอกชอบใจ “มึงมันบ้าดีว่ะไอ้แจสเปอร์ กูชอบ ตั้งแต่วันนี้ไปกูให้มึงทำหน้าที่แทนไอ้ดาจิม คำพูดของมึงจะเหมือนเป็นคำพูดของกู พวกมึงที่เหลือฟังไว้ด้วย แค่นี้เลิกประชุมแยกย้าย” พอพี่เสือพูดจบทุกคนก็ต่างพากันค่อยๆ เดินออกจากห้องไปทีละคนสองคน มินนี่-ดาโซ [มินนี่ TALKS] ‘ดาโซ’ ‘คะคุณพ่อ มีเรื่องอะไรเหรอเปล่าคะ” สีหน้าของคุณพ่อดูเหมือนมีเรื่องกลุ้มใจซึ่งมันไม่เคยปิดบังฉันได้มิดสักครั้ง คงเป็นเพราะเรามีกันเพียงสองคนพ่อลูกเท่านั้น ‘บริษัทใหญ่เรียกตัวพ่อให้กลับไปช่วยงานที่เกาหลี 3-4 เดือน’ ‘เรื่องแค่นี้เองเหรอคะ หนูอยู่คนเดียวได้สบายมาก คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะคะ ลูกสาวคุณพ่อเข้มแข็งจะตายไป จริงมั้ยคะ ทานอาหารเยอะๆ นะคะคุณพ่อดูซูบผอมไปเยอะเลย’ ฉันตักอาหารใส่จานของคุณพ่อ ‘จริงด้วยสินะ ลูกเข้มแข็งและสวยเหมือนคุณแม่ของลูก’ ‘ค่ะ’ ฉันมองคุณพ่อตักอาหารเข้าปาก คุณพ่อของฉันเป็นชาวเกาหลีใต้ท่านทำงานเป็นวิศกรอยู่ในบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง พบรักกับคุณแม่ของฉันซึ่งเป็นผู้หญิงไทย คุณพ่อบอกฉันเสมอว่าคุณแม่เป็นคนสวยและจิตใจดี ฉันรู้จักคุณแม่ผ่านรูปถ่ายและคำบอกเล่าของคุณพ่อเท่านั้น เพราะท่านจากฉันกับคุณพ่อไปเนื่องจากอุบัติเหตุหลังจากคลอดฉันออกมาได้เพียงห้าเดือน ต่อมาบริษัทของคุณพ่อมีแพลนขยายบริษัทย้ายฐานการผลิตมาเปิดสาขาในประเทศไทย นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันต้องย้ายตามท่านมาเรียนที่ประเทศไทย นับจากวันที่คุณพ่อของฉันถูกเรียกตัวกลับประเทศเกาหลีไปจนถึงวันนี้ก็ 5 เดือนแล้วสินะ “มินนี่! ยืนเหม่ออะไรอยู่ เอากาแฟไปเสิร์ฟโต๊ะที่4ให้หน่อย” “อ่อค่ะ ขอโทษด้วยนะคะพี่บี” ฉันขอคุณพ่อมาทำงานพิเศษหลังเลิกเรียนเพราะอยากแบ่งเบาภาระของท่าน การหาเงินได้ด้วยตนเองเป็นความภาคภูมิใจแม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นจำนวนมากมายสักเท่าไหร่นักก็เหอะ “โต๊ะ4นะคะ” ผู้จัดการร้านกาแฟเป็นผู้หญิงชาวไทยรูปร่างค่อนไปทางอวบนิดๆ ชื่อว่าพี่บี พี่บีชอบทำหน้าทำตาเหมือนคนไม่สบอารมณ์อยู่ตลอดเวลา “ใช่ รีบไปสิ ลูกค้ารอนานแล้ว” ฉันรีบก้มหน้าก้มตาเดินเอากาแฟไปเสิร์ฟตามที่พี่บีบอก โต๊ะ4มีผู้ชายนั่งกันอยู่3คน พวกเขาพากันมองฉันด้วยสายตาที่ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม